สหภาพโซเวียต
สหภาพโซเวียต[j] มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต[k] เป็นรัฐสังคมนิยมที่ตั้งอยู่ระหว่างทวีปยุโรปและเอเชีย สหภาพโซเวียตดำเนินการปกครองและเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์กลางอย่างยิ่งมาจนปีท้าย ๆ สหภาพโซเวียตยังจัดเป็นรัฐพรรคการเมืองเดียวเพราะมีพรรคคอมมิวนิสต์ปกครองเพียงพรรคเดียว สหภาพโซเวียตประกอบด้วยสาธารณรัฐย่อย 15 แห่ง มีกรุงมอสโกเป็นเมืองหลวงของสหภาพโซเวียต และเป็นเมืองหลวงของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย ซึ่งเป็นสาธารณรัฐย่อยที่มีขนาดใหญ่และมีประชากรมากที่สุดของสหภาพโซเวียต สหภาพโซเวียตยังเมืองสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ เลนินกราด (รัสเซีย) เคียฟ (ยูเครน) มินสค์ (เบียโลรัสเซีย) ทาชเคนต์ (อุซเบกิสถาน) อัลมา-อะตา (คาซัคสถาน) และโนโวซีบีสค์ (รัสเซีย) สหภาพโซเวียตยังเป็นหนึ่งในรัฐห้าแห่งที่มีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในครอบครอง[10] เป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และเป็นสมาชิกขององค์การความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป และเป็นสมาชิกหลักของสภาเพื่อความช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางเศรษฐกิจ และสนธิสัญญาแห่งไมตรี ความร่วมมือ และการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สหภาพโซเวียตมีรากฐานจากการปฏิวัติเดือนตุลาคมในปี 1917 เมื่อพรรคบอลเชวิค ภายใต้การนำของวลาดีมีร์ เลนิน โค่นล้มรัฐบาลชั่วคราวรัสเซียที่ซึ่งได้เข้ามาแทนที่จักรพรรดินีโคไลที่ 2 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ในปี 1922 สหภาพโซเวียตก่อตั้งขึ้นด้วยการรวมกันของ สาธารณรัฐรัสเซีย, ทรานส์คอเคซัส, ยูเครน และ เบียโลรัสเซีย หลังจากการอสัญกรรมของเลนิน ค.ศ. 1924 และการต่อสู้แย่งชิงอำนาจในระยะเวลาสั้น ๆ โจเซฟ สตาลินเถลิงอำนาจในกลางคริสต์ทศวรรษ 1920 สตาลินปราบปรามฝ่ายค้านการเมืองต่อเขา ยึดมั่นอุดมการณ์ของรัฐกับลัทธิมากซ์–เลนิน (ซึ่งเขาสร้าง) และริเริ่มเศรษฐกิจที่มีการวางแผนจากส่วนกลาง ผลคือ ประเทศเข้าสู่สมัยการปรับให้เป็นอุตสาหกรรมและการทำให้เป็นระบบรวมอำนาจการผลิต (collectivisation) ทว่า สตาลินเกิดหวาดระแวงทางการเมือง และเริ่มการกวาดล้างใหญ่ ซึ่งต่อมาทางการส่งคนจำนวนมาก (ผู้นำทหาร สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ พลเมืองสามัญ) ไปค่ายกูลักหรือตัดสินประหารชีวิต เมื่อเริ่มสงครามโลกครั้งที่สอง หลังสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสปฏิเสธพันธมิตรกับสหภาพโซเวียตต่อนาซีเยอรมนี สหภาพโซเวียตลงนามในสนธิสัญญาไม่รุกรานกับเยอรมนี ซึ่งชะลอการเผชิญหน้าระหว่างสองประเทศ แต่ถูกฉีกใน ค.ศ. 1941 เมื่อนาซีบุกครอง เปิดฉากเขตสงครามใหญ่สุดและมีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์ กำลังพลสูญเสียของโซเวียตในสงครามคิดเป็นสัดส่วนมากที่สุดของสงครามโลกครั้งที่สอง แต่พลิกกลับมาได้เปรียบเหนือฝ่ายอักษะในยุทธการอันดุเดือดอย่างสตาลินกราด สุดท้ายกำลังโซเวียตยกผ่านยุโรปตะวันออกและยึดกรุงเบอร์ลินใน ค.ศ. 1945 ทำให้ฝ่ายเยอรมันสูญเสียกำลังพลไปเป็นส่วนใหญ่ ดินแดนยึดครองของโซเวียตที่พิชิตจากกำลังอักษะในยุโรปกลางและตะวันออกกลายเป็นรัฐบริวารของกลุ่มตะวันออก ความแตกต่างทางอุดมการณ์และการเมืองกับกลุ่มตะวันตกซึ่งมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำนำไปสู่การตั้งสนธิสัญญาทางเศรษฐกิจและทางทหารจนลงเอยด้วยสงครามเย็นอันยืดเยื้อ หลังสตาลินถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. 1953 เกิดสมัยการปรับให้เสรี (liberalization) ทางสังคมและเศรษฐกิจสายกลางภายใต้รัฐบาลนีกีตา ครุชชอฟ จากนั้น สหภาพโซเวียตริเริ่มความสำเร็จทางเทคโนโลยีสำคัญในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งรวมการปล่อยดาวเทียมดวงแรกและเที่ยวบินอวกาศของมนุษย์เที่ยวแรกของโลก นำไปสู่การแข่งขันอวกาศ (Space Race) วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา ค.ศ. 1962 เป็นสมัยความตึงเครียดสุดขีดระหว่างสองอภิมหาอำนาจ ถือว่าใกล้ต่อการเผชิญหน้านิวเคลียร์ระหว่างทั้งสองที่สุด ในคริสต์ทศวรรษ 1970 เกิดการผ่อนคลายความสัมพันธ์ แต่กลับมาตึงเครียดอีกครั้งเมื่อสหภาพโซเวียตเริ่มให้ความช่วยเหลือทางทหารในอัฟกานิสถานด้วยคำขอของรัฐบาลสังคมนิยมใหม่ใน ค.ศ. 1979 การทัพนั้นผลาญทรัพยากรธรรมชาติและลากยาวโดยไร้ผลลัพธ์ทางการเมืองที่มีความหมายใด ๆ ในปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 ผู้นำโซเวียตคนสุดท้าย มีฮาอิล กอร์บาชอฟ มุ่งปฏิรูปสหภาพและขับเคลื่อนประเทศในทิศทางสังคมประชาธิปไตยแบบนอร์ดิก เริ่มใช้นโยบายกลัสนอสต์และเปเรสตรอยคาในความพยายามยุติสมัยเศรษฐกิจชะงักและปรับการปกครองให้เป็นประชาธิปไตย ทว่าผลที่ได้นำไปสู่ขบวนการชาตินิยมและพยายามแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียตอย่างเข้มข้น ทางการกลางริเริ่มการลงประชามติซึ่งถูกสาธารณรัฐบอลติก อาร์มีเนีย จอร์เจีย และมอลโดวาคว่ำบาตร ซึ่งพลเมืองที่ลงมติส่วนใหญ่ออกเสียงเห็นชอบการรักษาสหภาพเป็นสหพันธรัฐทำใหม่ ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1991 สายแข็ง (hardliner) พยายามรัฐประหารต่อกอร์บาชอฟ โดยเจตนาย้อนนโยบายของเขาแต่รัฐประหารล้มเหลว ประธานาธิบดีรัสเซีย บอริส เยลต์ซิน มีบทบาทเด่นในการทำให้ผู้ก่อรัฐประหารยอมจำนน ส่งผลให้มีการห้ามพรรคคอมมิวนิสต์ ในวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1991 กอร์บาชอฟลาออกและสาธารณรัฐองค์ประกอบที่เหลือสิบสองสาธารณรัฐกำเนิดขึ้นจากการยุบสหภาพโซเวียตเป็นรัฐเอกราชหลังโซเวียต สหพันธรัฐรัสเซีย สืบสิทธิและข้อผูกพันของสหภาพโซเวียตและได้รับการยอมรับเป็นนิติบุคคลต่อ[11][12] ประวัติศาสตร์การปฏิวัติรัสเซีย และการก่อตั้งสหภาพโซเวียต (ค.ศ. 1917–1927)สหภาพโซเวียตถูกก่อตั้งมาจากการยึดอำนาจของพรรคบอลเชวิก นำโดยวลาดิมีร์ เลนิน โดยยึดอำนาจจากจักรพรรดินิโคลัสที่ 2 เรียกการปฏิวัติครั้งนั้นว่าการปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1917 เกิดขึ้นในวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2460 ซึ่งอยู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง การปฏิวัติครั้งนั้นส่งผลให้ รัฐบาลของกษัตริย์ถูกยกเลิก ระบอบการปกครองโดยกษัตริย์ถูกยกเลิก ก่อเกิดรัฐสังคมนิยมขึ้นมาแทน และเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ราชวงศ์โรมานอฟในเวลาต่อมา ผลอื่น ๆ คือ กิจการธนาคารและโรงงานทั้งหมดถูกโอนเป็นของรัฐ และบัญชีส่วนบุคคลทั้งหมดถูกโอนให้แก่รัฐ และสหภาพโซเวียตถอนตัวออกจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ยุคสตาลิน (ค.ศ. 1927–1953)นับตั้งแต่สตาลินได้ถูกแต่งตั้งเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ในปี ค.ศ. 1922 สตาลินได้ดำเนินนโยบายแบบรวมอำนาจ แข็งกร้าว และรุนแรง เขาได้ริเริ่มแผนปฏิรูป 5 ปี เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม แผนดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการทหารและเศรษฐกิจ โดยเน้นการพึ่งตนเองเป็นหลัก นโยบายดังกล่าวได้ทำให้เกิดการก่อตั้งนารวม (Collective farm) ขึ้น ส่งผลให้ชาวนาผู้ถือครองที่ดินอยู่ก่อนเกิดความไม่พอใจ สตาลินจึงสร้างค่ายกักกัน (Gulak) ขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ในการคุมขังผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับเขา ตลอดการปกครองของสตาลินมีผู้คาดการณ์ว่ามีนักโทษเสียชีวิตในค่ายกักกันถึง 60 ล้านคน สตาลินได้ทำการกวาดล้างผู้ต่อต้านครั้งใหญ่ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1930 ซึ่งบุคคลเหล่านั้นรวมถึงสมาชิกพรรคบอลเชวิคหลาย ๆ คนซึ่งเคยร่วมกับเลนินในการทำการปฏิวัติรัสเซียปี ค.ศ. 1917 ด้วย ในปี ค.ศ. 1932 สหภาพโซเวียตได้มีส่วนร่วมในการประชุมเพื่อลดอาวุธ ณ กรุงเวียนนา ในปีถัดมาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตได้ถูกสถาปนาขึ้นอย่างเป็นทางการ ในปลายทศวรรษที่ 1930 สหภาพโซเวียตได้ทำสนธิสัญญาไม่รุกรานกับนาซีเยอรมนีและในปีเดียวกันความล้มเหลวในการเจรจาให้ฟินแลนด์เลื่อนเขตแดนให้ห่างจากเมืองเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก (เลนินกราดในสมัยนั้น) ออกไปอีก 25 กิโลเมตร ทำให้สหภาพโซเวียตได้ใช้กำลังบุกฟินแลนด์ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของสหภาพโซเวียต แม้ว่าสหภาพโซเวียตและนาซีเยอรมนีจะได้ทำข้อตกลงไม่รุกราน แต่นาซีเยอรมนีได้ละเมิดข้อตกลงและรุกรานสหภาพโซเวียตในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1941 แม้ว่ากองทัพของสหภาพโซเวียตจะมียุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยซึ่งเป็นผลมาจากแผนปฏิรูป 5 ปี แต่กองทัพแดง ขาดผู้นำทางการทหารซึ่งเป็นผลมาจากการกวาดล้างครั้งใหญ่ของสตาลิน ทำให้กองทัพแดงขาดบุคลากรไปเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ในช่วงแรกของสงครามสหภาพโซเวียตพ่ายแพ้มาโดยตลอด แต่เมื่อกำลังเสริมจากไซบีเรียมาถึงสงครามจึงเปลี่ยนไป ฝ่ายเยอรมนีประสบกับความพ่ายแพ้มาตลอดจนเสียกรุงเบอร์ลินให้แก่สหภาพโซเวียต และสิ้นสุดสงครามเมื่อปี ค.ศ. 1945 อย่างไรก็ตาม สงครามดังกล่าวส่งผลให้ชาวรัสเซียเสียชีวิตไปกว่า 10 ล้านคน บ้านเรือน ไร่นา เสียหายอย่างใหญ่หลวง เมื่อสิ้นสุดสงครามสหภาพโซเวียตได้สถาปนาการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ขึ้นในรัฐต่าง ๆ ที่ถูกปลดแอกจากการยึดครองของนาซีเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น โปแลนด์ โรมาเนีย เป็นต้น ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหภาพโซเวียตได้ซ่อมแซมบ้านเมืองที่เสียหายจากสงคราม ฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจ พร้อมทั้งแผ่ขยายอำนาจและก่อตั้งรัฐบริวารในยุโรบตะวันออก ต่อมาได้ก่อตั้งสภาเพื่อความช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางเศรษฐกิจ (Comecon) ในปี ค.ศ. 1949 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นับเป็นการเริ่มตันของสงครามเย็นอย่างแท้จริง ซึ่งเปลี่ยนประเทศพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่าง สหราชอาณาจักร และ สหรัฐอเมริกา ให้กลายเป็นศัตรูกับสหภาพโซเวียต ล้มล้างอิทธิพลสตาลินและการผ่อนปรนในสมัยครุชชอฟ (ค.ศ. 1953–1964)สตาลินถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 1953 โดยไม่มีผู้สืบทอดที่ถูกยอมรับโดยร่วมกัน ในตอนแรกเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์เลือกที่จะปกครองสหภาพโซเวียตร่วมกัน ผ่านระบบตรอยก้าที่นำโดยเกออร์กี มาเลนคอฟ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ก็ไม่ได้ยั่งยืนเสมอไป และในที่สุด นีกีตา ครุชชอฟ ก็ชนะการแข่งขันเพื่อแย่งชิงอำนาจที่ตามมาในช่วงกลางคริสต์ทษวรรษที่ 1950 ใน ค.ศ. 1956 ครุชชอฟได้ประจานโจเซฟ สตาลิน และได้มีการดำเนินการเพื่อบรรเทาการควบคุมพรรคและสังคม ซึ่งสิ่งนี้ถูกเรียกว่า การล้มล้างอิทธิพลของสตาลิน ในช่วงปลายของ ค.ศ. 1950 เกิดความแตกแยกระหว่างจีน–โซเวียต ในเรื่องของอุดมการณ์ของคอมมิวนิสต์ เนื่องจากจีน โดย เหมา เจ๋อตง ไม่เห็นด้วยกับการยอมรับระบบทุนของโซเวียต และเห็นว่าควรรักษาแนวคิดระบบนารวมเอาไว้ การแตกแยกครั้งนี้ส่งผลให้ แอลบาเนีย กัมพูชา และ โซมาเลีย เลือกที่จะเป็นพันธมิตรกับจีนแทนโซเวียต ในช่วงเวลานี้ของสหภาพโซเวียตดำเนินความพยายามอย่างต่อเนื่องในการหาประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเปิดตัวดาวเทียมเทียมดวงแรกของโลก สปุตนิก 1 ส่งสุนัขไลก้าขึ้นสู่อวกาศ มนุษย์คนแรกของโลกที่ขึ้นสู่อวกาศคือ ยูริ กาการิน ในปี ค.ศ. 1963 ส่งผู้หญิงคนแรกของโลกขึ้นสู่อวกาศคือ วาเลนตีนา เตเรชโควา ในปี ค.ศ. 1965 ส่ง อเล็กซี ลีโอนอฟ มนุษย์คนแรกที่เดินในอวกาศ รวมทั้งส่งโรเวอร์คันแรกไปยังดวงจันทร์ ได้แก่ Lunokhod 1 และ Lunokhod 2 แม้ครุชชอฟจะดำเนินนโยบายเน้นสันติภาพ และพยายามผ่อนคลายสงครามเย็น แต่เขาก็ดำเนินนโยบายทางการเมืองผิดพลาดหลายครั้ง อาทิ วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา ในปี ค.ศ. 1962 ได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโซเวียตกับสหรัฐอเมริกาตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง นอกจากนี้เขาสถาปนากติกาสัญญาวอร์ซอในปี ค.ศ. 1955 และยังส่งทหารเข้าไปยังโปแลนด์และฮังการีเพื่อสนับสนุนการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ ในที่สุดเขาก็ถูกยึดอำนาจในปี ค.ศ. 1964 ยุคซบเซา (ค.ศ. 1964–1985)ยุคเบรจเนฟ-โคชิกิน (ค.ศ. 1964–1982)ในวันที่ 14 ตุลาคม ปี ค.ศ. 1964 คณะกรรมาธิการเพื่อความมั่นคงแห่งรัฐ (Committee for State Security หรือ KGB) นำโดย เลโอนิด เบรจเนฟ และ อเล็กซี โคชิกิน ได้เข้าทำรัฐประหารยึดอำนาจจากครุชชอฟ โดยครุชชอฟถูกบีบให้ลาออกจากตำแหน่ง เบรจเนฟ ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการพรรคและประธานาธิบดี โดยมีนายโคซิกิน เป็นนายกรัฐมนตรี จึงเรียกยุคนี้ว่าสมัยผู้นำร่วม เบรจเนฟ-โคชิกิน การดำเนินนโยบายต่างประเทศมีลักษณะผ่อนคลาย มีการดำเนินการเจรจาการจำกัดอาวุธทางยุทธศาสตร์ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 (SALT I, SALT II) ในปี ค.ศ. 1972และ ค.ศ. 1979 ตามลำดับ มีการดำเนินการเจรจาเพื่อความร่วมมือกันในยุโรปที่กรุงเฮลซิงกิ ในปี ค.ศ. 1975 มีการประกาศใช้ หลักการเบรจเนฟ เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1968 เพื่อยืนยันสิทธิและพันธกิจของสหภาพโซเวียต ในการพิทักษ์ความปลอดภัยแก่ลัทธิสังคมนิยม ในด้านการบริหารของพรรคคอมมิวนิสต์ เบรจเนฟได้ตั้งกฎการเปลี่ยนตัวบุคคลจากภายในโปลิตบูโรขึ้นมาใหม่โดยการจัดให้มีการเปลี่ยนบุคคลต่าง ๆ โดยไม่ต้องผ่านสมัชชา แต่ผ่านแค่คณะกรรมการกลางพรรคเท่านั้น ซึ่งตามธรรมนูญของพรรคแล้วถือว่าสมัชชาพรรคเป็นองค์กรสูงสุดของพรรค ที่สามารถดำเนินเป็นอิสระจากฝ่ายผู้นำได้ ที่ประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตประกอบด้วยสมาชิกถาวรทั้ง 14 คน กับสมาชิกสมทบทั้ง 10 คนของโปลิตบูโร เบรจเนฟ ถึงแก่อสัญกรรมวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1982 ด้วยความสงบ ยุคอันโดรปอฟ และ เชียร์เนนโค (ค.ศ. 1982–1985)อันโดรปอฟ ขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคคนใหม่ใน วันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1982 ในช่วงเวลานั้นได้มีการเจรจาให้สหรัฐถอดขีปนาวุธรอบชายแดน แลกกับการถอนกองกำลังในอัฟกานิสถาน แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ หลังสงครามอันยาวนานจึงมีแผนการถอดทัพแต่ยูริ อันโดรปอฟถึงแก่อสัญกรรมวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1984 ไปก่อน จากนั้นเชียร์เนนโค (Konstantin Chernenko) ขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1984 เขาเป็นบุคคลลึกลับทาง CIA มีข้อมูลน้อยมาก เขาไม่ยอมเจรจาต่อกับสหรัฐตลอดหนึ่งปีสุดท้ายก่อนถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1985 การปฏิรูปเปเรสตรอยคา และกลัสนอสต์ (ค.ศ. 1985–1991)เมื่อ มีฮาอิล กอร์บาชอฟได้ขึ้นครองอำนาจเขาได้ดำเนินนโยบายปฏิรูปการเมืองและเศรษฐกิจในสหภาพโซเวียตที่เรียกว่าแผน "เปเรสตรอยคา" (Perestroika) ที่ให้เสรีภาพแก่ประชาชนมากขึ้น เปิดโอกาสให้มีการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ให้เสรีภาพแก่สื่อมวลชน ซึ่งเป็นนโยบายที่ไม่มีผู้นำโซเวียตคนใดทำมาก่อน นอกจากนี้ เขาได้ดำเนินโยบายถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน ในปีค.ศ. 1988 การปฏิรูปของกอร์บาชอฟได้ส่งผลให้เกิดกฎหมาย Law on Cooperatives ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่สมัยเลนิน กฎหมายนี้ได้อนุญาตให้ประชาชนมีทรัพย์สินส่วนบุคคล และดำเนินกิจการเอกชนได้ ซึ่งขัดต่อลัทธิมาร์กซ์อย่างสิ้นเชิง ต่อมา ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1990 ที่ประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ได้มีมติเห็นชอบยกเลิกการรวมอำนาจไว้ที่พรรคคอมมิวนิสต์ นั่นหมายถึงพรรคคอมมิวนิสต์ได้กระจายอำนาจสู่ประชาชนและทำให้เกิดการเลือกตั้ง ส่งผลให้อีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา รัฐจำนวน 15 รัฐของสหภาพโซเวียตได้รับรองกฎหมายเลือกตั้งทั่วไป และผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซียในปี ค.ศ. 1991 คือ บอริส เยลซิน ได้คะแนนสูงสุดถึง 57.3% (มีการเลือกตั้งในวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 1991) เนื่องจากกอร์บาชอฟมีความพยายามที่จะลดความเป็นศูนย์กลางอำนาจของสหภาพโซเวียต สหภาพโซเวียตจึงได้มีแผนจะผ่านสนธิสัญญา New Union Treaty ซึ่งจะมาแทน สนธิสัญญาการก่อตั้งสหภาพโซเวียต ปี ค.ศ. 1922 ซึ่งมีแผนจะลงนามในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 1991 มีเนื้อหาแปลงสหภาพโซเวียตให้เป็นสหพันธรัฐ มีประธานาธิบดีเป็นผู้นำของรัฐนั้น ๆ การปฏิรูปของกอร์บาชอฟส่งผลให้เกิดความไม่พอใจในหมู่สมาชิกซ้ายจัดของพรรคคอมมิวนิสต์ และเกิดเป็นความพยายามที่จะยึดอำนาจการบริหารจากกอร์บาชอฟ เรียกการรัฐประหารครั้งนั้นว่า รัฐประหารเดือนสิงหาคม แต่ไม่เป็นผลสำเร็จเนื่องจากเกิดการต่อต้านจากประชาชนส่วนมากในประเทศและเยลต์ซินสามารถกู้สถานการณ์เอาไว้ได้ ผลคือ คณะรัฐประหารถูกจับกุมและถูกสังหาร สนธิสัญญาถูกเห็นชอบ หลังจากผ่านสนธิสัญญารัฐย่อยต่าง ๆ ของสหภาพโซเวียตซึ่งมีความพยายามจะแยกตัวมากก่อนหน้านี้แล้ว ได้มีการลงประชามติเห็นชอบการแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียต รัฐย่อยต่าง ๆ จึงได้แยกตัวจากสหภาพโซเวียตอย่างสมบูรณ์ ท้ายสุดในวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1991 กอร์บาชอฟได้เห็นชอบโอนอำนาจการบริหารทั้งหมดจากประธานาธิบดีแห่งสหภาพโซเวียต ให้กับ ประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย และในคืนวันนั้นธงชาติสหภาพโซเวียตได้ถูกเชิญลงจากยอดเสาที่เครมลิน อันเป็นการสิ้นสุดสหภาพโซเวียตอย่างสมบูรณ์ ภูมิศาสตร์สหภาพโซเวียตมีพื้นที่ 22,402,200 ตารางกิโลเมตร (8,649,500 ตารางไมล์) และเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดของโลก สหภาพโซเวียตมีชายแดนยาวที่สุดในโลกเฉพาะดินแดนรัสเซียกว่า 60,000 กิโลเมตร (37,000 ไมล์) หรือ 112 เส้นรอบวงของโลก สองในสามของเป็นแนวชายฝั่งมีช่องแคบแบริ่งกันระหว่างสหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียตมีชายแดนติดกับอัฟกานิสถาน, จีน, สโลวาเกีย, ฟินแลนด์, ฮังการี, อิหร่าน, มองโกเลีย, เกาหลีเหนือ, นอร์เวย์, โปแลนด์, โรมาเนีย และตุรกี ในช่วง ค.ศ. 1945–1991 ภูเขาที่สูงที่สุดของสหภาพโซเวียตเป็นยอดเขาคอมมิวนิสต์ (ปัจจุบัน เป็นยอดเขาอิสมาอิล ยัคโซโมนี) ในทาจิกิสถานที่ 7,495 เมตร (24,590 ฟุต) สหภาพโซเวียตยังมีทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของโลกที่ทะเลสาบแคสเปียน (ร่วมกับอิหร่าน) และทะเลสาบไบคาล ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่และลึกที่สุดในโลกซึ่งเป็นแหล่งน้ำภายในของรัสเซีย นโยบายต่างประเทศองค์กรสตาลินมักจะตัดสินใจครั้งสุดท้ายในนโยบายในช่วงปี 1925–1953 ก่อนที่นโยบายต่างประเทศของโซเวียตจะถูกกำหนดโดยคณะกรรมาธิการว่าด้วยนโยบายต่างประเทศของคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต หรือจากองค์กรสูงสุดของพรรคอย่างโปลิตบูโร การดำเนินการถูกแยกออกจากกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะ People's Commissariat for Foreign Affairs (หรือ Narkomindel) จนถึงปี 1946 โฆษกที่มีอิทธิพลมากที่สุดคือ Georgy Chicherin (1872–1936), Maxim Litvinov (1876–1951), วยาเชสลาฟ โมโลตอฟ (1890–1986), อันเดรย์ วืยชินสกี (1883–1954) และ อันเดรย์ โกรมืยโค (1909–1989) ปัญญาชนที่สนใจในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะศึกษาในสถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศรัฐมอสโก[13]
นโยบายต่างประเทศของสหภาพโซเวียตในช่วงต้น (1919–1939)ความเป็นผู้นำของคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียตถกเถียงประเด็นนโยบายต่างประเทศและการเปลี่ยนเส้นทางหลายครั้ง แม้ว่าสตาลินจะควบคุมการปกครองแบบเผด็จการในช่วงปลายทศวรรษที่ 1920 มีการอภิปรายและเขาก็เปลี่ยนตำแหน่งเป็นอย่างมาก อย่างแรกคือการปฏิวัติคอมมิวนิสต์จะเกิดขึ้นในไม่ช้าในทุกประเทศอุตสาหกรรมหลักและเป็นความรับผิดชอบของโซเวียตที่จะช่วยเหลือพวกเขา โคมินเทิร์นเป็นตัวเลือกอาวุธอย่างหนึ่ง แต่การปฏิวัติก็ล้มเหลวและถูกปราบปรามอย่างรวดเร็ว (ที่ยาวนานที่สุดคือฮังการี) สาธารณรัฐโซเวียตฮังการี กินเวลาเพียงวันที่ 21 มีนาคม ถึงวันที่ 1 สิงหาคม 1919 ซึ่งพวกบอลเชวิครัสเซียไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ โดยในปี 1921 อย่างที่สองมาพร้อมกับการตระหนักถึงโดยเลนิน, ทรอตสกี และสตาลินว่าระบบทุนนิยมมีเสถียรภาพตัวเองในยุโรป และจะไม่มีการปฏิวัติอย่างกว้างขวางในเร็ว ๆ นี้ มันกลายเป็นหน้าที่ของพวกบอลเชวิครัสเซียเพื่อปกป้องสิ่งที่พวกเขามีในรัสเซีย และหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทางทหารที่อาจทำลายสะพานของพวกเขา ตอนนี้รัสเซียอยู่ในสภาพเดียวกันกับเยอรมนี ทั้งสองเข้ามามีส่วนร่วมในปี 1922 ในสนธิสัญญาราพาลโล (ค.ศ. 1922) ที่ตัดสินความคับข้องใจยาวนาน ในเวลาเดียวกันทั้งสองประเทศแอบจัดตั้งโครงการฝึกอบรมสำหรับกองทัพเยอรมัน และกองทัพอากาศที่ผิดกฎหมายที่ค่ายกักกันในสหภาพโซเวียต[22] ในเวลาเดียวกันมอสโกได้ขู่รัฐอื่นและเพื่อแลกกับทำงานเพื่อเปิดความสัมพันธ์อันสงบสุขในแง่ของการยอมรับทางการค้าและทางการทูต สหราชอาณาจักรเมินคำเตือนของวินสตัน เชอร์ชิลล์ และอีกสองสามข้อเกี่ยวกับการคุกคามคอมมิวนิสต์ที่ต่อเนื่องและเปิดความสัมพันธ์ทางการค้าและทางการทูตในทางพฤตินัยในปี 1922 มีความหวังสำหรับการตั้งถิ่นฐานของหนี้ของซาร์ช่วงก่อนสงคราม แต่ปัญหาที่ถูกเลื่อนออกไปซ้ำแล้วซ้ำอีก การรับรู้อย่างเป็นทางการเกิดขึ้นเมื่อพรรคแรงงานใหม่เข้ามามีอำนาจในปี 1924[23] ประเทศหลักอื่น ๆ ทั้งหมดได้เปิดความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหภาพโซเวียต เฮนรี ฟอร์ดได้เปิดความสัมพันธ์ทางธุรกิจขนาดใหญ่กับโซเวียตในช่วงปลายทศวรรษที่ 1920 โดยหวังว่าจะนำไปสู่สันติภาพในระยะยาว ท้ายที่สุดในปี 1933 สหรัฐอเมริกาได้ยอมรับสหภาพโซเวียตอย่างเป็นทางการ การตัดสินใจสนับสนุนโดยความคิดเห็นของประชาชนและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผลประโยชน์ทางธุรกิจของอเมริกาที่คาดว่าจะสร้างตลาดใหม่ที่ทำกำไรได้[24] อย่างที่สามเข้ามาในช่วงปลายทศวรรษ 1920 และต้นทศวรรษ 1930 เมื่อสตาลินสั่งให้พรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลกคัดค้านพรรคการเมืองที่ไม่ใช่พรรคคอมมิวนิสต์สหภาพแรงงานหรือองค์กรฝ่ายซ้ายอื่น ๆ แต่สตาลินกลับคำตัวเองในปี 1934 ด้วยโครงการกลุ่มพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายที่เรียกร้องให้ทุกพรรคคอมมิวนิสต์เข้าร่วมกับพรรคการเมืองฟาสซิสต์, แรงงาน และองค์กรทั้งหมดที่ต่อต้านลัทธิฟาสซิสต์โดยเฉพาะอย่างยิ่งความหลากหลายของนาซี[25][26] ยุคสงครามโลกครั้งที่สอง (1939–1945)ยุคสงครามเย็น (1945–1991)การเมืองสหภาพโซเวียตมีชั้นอำนาจสามลำดับ โดยที่สภานิติบัญญัติเป็นตัวแทนของอภิสภาโซเวียตแห่งสหภาพโซเวียต รัฐบาลเป็นตัวแทนของคณะรัฐมนตรี และ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต เป็นฝ่ายกฎหมายและผู้กำหนดนโยบายขั้นสูงสุดในประเทศเท่านั้น[27] รูปแบบการปกครองอภิสภาโซเวียต (ผู้สืบต่อจากรัฐสภาโซเวียต และ คณะกรรมาธิการบริหารส่วนกลาง) เป็นสภารัฐสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของโซเวียตเพียงในนาม[28] ในตอนแรกได้ทำหน้าที่เป็นสถาบันที่อนุมัติและดำเนินการตัดสินใจทั้งหมดที่ทำโดยพรรค อย่างไรก็ตามอำนาจและหน้าที่ของอภิสภาโซเวียตได้ขยายออกไปในปลายคริสต์ทศวรรษ 1950, 1960 และ 1970 รวมถึงการสร้างคอมมิชชั่นและคณะกรรมการของรัฐใหม่ อภิสภาโซเวียตยังได้รับอำนาจเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติแผนห้าปีและงบประมาณของรัฐบาลโซเวียต[29] อภิสภาโซเวียตเลือกประธานคณะผู้บริหารสูงสุดเพื่อใช้อำนาจระหว่างการประชุมใหญ่[30] โดยปกติแล้วจะจัดขึ้นปีละสองครั้งและแต่งตั้งศาลฎีกาสูงสุด[31], อัยการสูงสุด[32] และคณะรัฐมนตรี (ชื่อเดิมคือ สภาคอมมิสซาร์ประชาชน) นำโดยประธาน (นายกรัฐมนตรี) และการจัดการระบบราชการขนาดใหญ่ที่รับผิดชอบในการบริหารเศรษฐกิจและสังคม[30] โครงสร้างรัฐและพรรคของสาธารณรัฐส่วนใหญ่จำลองโครงสร้างของสถาบันกลางแม้ว่าสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย จะแตกต่างจากสาธารณรัฐอื่น ๆ ที่เป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่ในประวัติศาสตร์ของ โดยไม่มีสาขาสาธารณรัฐของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต และถูกปกครองโดยตรงโดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตจนถึงปี 1990 เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นถูกจัดให้มีคณะกรรมการฝ่ายโซเวียตและคณะผู้บริหารระดับสูง ในขณะที่ระบบของรัฐเป็นรัฐบาลกลางในนามพรรครวมกัน[33] การแบ่งเขตการปกครองสหภาพโซเวียตเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐซึ่งมีสมาชิกเป็นรัฐที่รวมกันเช่นยูเครน และ เบียโลรัสเซีย (สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต) กับรัฐสหพันธรัฐเช่น รัสเซีย และทรานส์คอเคซัส (สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต)[27] ทั้งสี่เป็นสาธารณรัฐผู้ก่อตั้งซึ่งลงนามในสนธิสัญญาการก่อตั้งสหภาพโซเวียตในเดือนธันวาคม 1922 ในปี 1924 ในช่วงการปักปันเขตในเอเชียกลาง อุซเบกิสถานและเติร์กเมนิสถานเกิดจากส่วนต่าง ๆ ของรัสเซีย เป็นสาธารณรัฐปกครองตนเองสังคมนิยมโซเวียตเติร์กเมน และอีกสองแห่งคือ สาธารณรัฐบูฮาราน และ สาธารณรัฐโฮเรซม์ ในปี 1929 ทาจิกิสถานถูกแยกออกจากสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตอุซเบก ตามรัฐธรรมนูญปี 1936 สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมโซเวียตทรานส์คอเคซัสถูกยุบลง ส่งผลให้สาธารณรัฐองค์ประกอบคือ อาร์เมเนีย จอร์เจีย และอาเซอร์ไบจาน ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐสหภาพ ขณะที่คาซัคสถานและเคอร์กีเซียถูกแยกออกจากสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย ส่งผลเป็นสถานะเดียวกัน[34] ในเดือนสิงหาคม 1940 สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตมอลเดเวียซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยรวมพื้นที่บางส่วนของเบสซาเรเบีย และ นอร์เทิร์นบูโควินา รัฐบอลติกทั้งสามคือ เอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนีย (สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต) ได้ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต ซึ่งไม่ได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศและถือว่ารัฐบอลติกอยู่ภายใต้การยึดครองที่ผิดกฎหมายตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 1940–1991 คาเรเลียถูกแยกออกจากรัสเซียในฐานะสาธารณรัฐสหภาพในเดือนมีนาคม 1940 และถูกรวมเข้ากับรัสเซียอีกครั้งในปี 1956 ระหว่างเดือนกรกฎาคม 1956 ถึงเดือนกันยายน 1991 สหภาพโซเวียตมี 15 สาธารณรัฐที่เป็นส่วนหนึงของสาธารณรัฐสหภาพ[35] (ดูแผนที่ด้านล่าง)
อดีตเขตการปกครอง
เศรษฐกิจ
สหภาพโซเวียตกลายเป็นประเทศแรกที่ใช้เศรษฐกิจตามแผนซึ่งการผลิตและการกระจายสินค้าถูกรวมศูนย์และกำกับโดยรัฐบาล ประสบการณ์แรกของบอลเชวิคที่มีต่อระบบเศรษฐกิจต่อการบังคับคือนโยบายสงครามคอมมิวนิสต์ซึ่งเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมของประเทศ การแจกจ่ายส่วนกลางของผลผลิตการบีบบังคับของการผลิตทางการเกษตร และความพยายามที่จะกำจัดการไหลเวียนของเงินทุนภาคเอกชนและการค้าเสรี หลังจากการล่มสลายทางเศรษฐกิจที่รุนแรง เลนินได้แทนที่สงครามคอมมิวนิสต์โดยนโยบายเศรษฐกิจใหม่ (NEP) ในปี 1921 นโยบายดังกล่าวอนุญาตให้เอกชนดำเนินกิจการบางอย่างได้เช่นการค้าเสรีและการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในธุรกิจขนาดเล็ก เศรษฐกิจจึงฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว[44] หลังจากการถกเถียงกันในหมู่สมาชิกโปลิตบูโร เกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจในปี 1928–1929 เมื่อสหภาพโซเวียตถูกโจเซฟ สตาลินปกครอง สตาลินก็ละทิ้งนโยบายเศรษฐกิจใหม่ และผลักดันให้มีการวางแผนกลางแบบเต็มรูปแบบทำให้ต้องบังคับให้เกิดการรวมตัวของภาคเกษตรกรรมและบังคับใช้กฎหมายแรงงานที่เข้มงวด ทรัพยากรที่ถูกระดมเพื่อการอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วซึ่งขยายความสามารถของสหภาพโซเวียตในอุตสาหกรรมหนักและสินค้าทุนในช่วงทศวรรษที่ 1930[44] แรงจูงใจหลักของอุตสาหกรรมคือการเตรียมพร้อมสำหรับสงครามซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความไม่ไว้วางใจของโลกทุนนิยมภายนอก[45] เป็นผลให้สหภาพโซเวียตถูกเปลี่ยนจากเศรษฐกิจการเกษตรส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมที่มีอำนาจมากนำทางสำหรับการเกิดเป็นมหาอำนาจของสหภาพโซเวียตหลังสงครามโลกครั้งที่สอง[46] สงครามได้ทำลายเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานของสหภาพโซเวียตอย่างมหาศาลและพวกเขาจำเป็นต้องมีการฟื้นฟูอย่างกว้างขวาง[47] ช่วงต้นทศวรรษที่ 1940 เศรษฐกิจโซเวียตเริ่มมีความสามารถพอเพียงได้เกือบทุกช่วงเวลาจนกระทั่งการก่อตั้งสภาเพื่อความช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางเศรษฐกิจ สหภาพโซเวียตมีส่วนแบ่งเพียงเล็กน้อยของผลิตภัณฑ์ในประเทศที่มีการซื้อขายระหว่างประเทศ[48] หลังจากที่มีการจัดตั้งกลุ่มตะวันออกขึ้น การค้าต่างประเทศก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังคงมีอิทธิพลของเศรษฐกิจโลกในสหภาพโซเวียตถูกจำกัด โดยราคาในประเทศคงที่และการผูกขาดของรัฐในการค้าต่างประเทศ[49] ธัญพืชและผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีความซับซ้อนกลายเป็นสินค้านำเข้าที่สำคัญในช่วงทศวรรษที่ 1960[48] ในช่วงการแข่งขันในทางอาวุธของสงครามเย็นเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตถูกแบกรับภาระหนักจากการใช้จ่ายทางทหารซึ่งได้รับการยกระดับด้วยระบบราชการที่มีประสิทธิภาพที่ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมอาวุธ ในขณะเดียวกันสหภาพโซเวียตก็กลายเป็นผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่ที่สุดไปยังประเทศโลกที่สาม จำนวนมหาศาลของทรัพยากรของโซเวียตในช่วงสงครามเย็นได้รับการจัดสรรในการช่วยเหลือรัฐสังคมนิยมอื่น ๆ[48] จากช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1930 จนถึงการล่มสลายในช่วงปลายปี 1991 เศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตยังไม่เปลี่ยนแปลง เศรษฐกิจได้รับการกำกับอย่างเป็นทางการโดยการวางแผนกลางซึ่งดำเนินการโดย Gosplan และจัดทำขึ้นในแผนห้าปี อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติแผนการดังกล่าวได้รับการรวบรวมและรวมกันเป็นอย่างมากโดยเฉพาะภายใต้การแทรกแซงโดยคนใหญ่กว่า การตัดสินใจทางเศรษฐกิจที่สำคัญทั้งหมดถูกยึดครองในทางการเมือง การจัดสรรทรัพยากรและเป้าหมายตามแผนเป็นเงินสกุลรูเบิลมากกว่าสินค้าในทางกายภาพ การจัดสรรผลผลิตขั้นสุดท้ายได้ผ่านการกระจายอำนาจโดยไม่ได้ตั้งใจไปแล้ว แม้ว่าในทางทฤษฎีราคาถูกต้องตามกฎหมายจากเบื้องบน แต่ในทางปฏิบัติพวกเขามักจะเจรจาและการเชื่อมโยงในแนวนอน (ระหว่างโรงงานผู้ผลิต ฯลฯ ) เป็นที่แพร่หลาย[44] การบริการพื้นฐานหลายประเภทได้รับการสนับสนุนจากรัฐเช่นการศึกษาและการดูแลสุขภาพ ในภาคอุตสาหกรรมการผลิตอุตสาหกรรมหนักและการป้องกันมีการจัดลำดับความสำคัญมากกว่าสินค้าอุปโภคบริโภค[50] สินค้าอุปโภคบริโภคโดยเฉพาะอย่างยิ่งในนอกเมืองใหญ่ มักขาดแคลนคุณภาพไม่ดีและมีทางเลือกที่จำกัด ผู้บริโภคไม่ค่อยมีอิทธิพลต่อการผลิตดังนั้นความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของประชากรที่มีรายได้เพิ่มขึ้นจึงไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ในราคาคงที่[51] เศรษฐกิจที่ไม่คาดคิดจำนวนมากที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับต่ำควบคู่ไปกับแผนงานที่วางแผนไว้โดยให้บางส่วนของสินค้า และการบริการที่นักวางแผนไม่สามารถทำได้ถูกต้องตามกฎหมายขององค์ประกอบบางอย่าง และระบบเศรษฐกิจแบบกระจายอำนาจได้รับการพยายามด้วยการปฏิรูปในปี 1965[44] แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตจะไม่น่าเชื่อถือและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เดาได้ยาก[52][53] โดยบัญชีเศรษฐกิจส่วนใหญ่ยังคงขยายตัวต่อไปจนถึงกลางทศวรรษที่ 1980 ในช่วงทศวรรษที่ 1950 และ 1960 มีอัตราการเติบโตสูงและมีการจับจองทางฝั่งตะวันตก[54] อย่างไรก็ตามหลังจากที่ปี 1970 การเติบโตในขณะที่ยังคงเป็นบวกอย่างต่อเนื่องลดลงอย่างรวดเร็ว และต่อเนื่องกว่าในประเทศอื่น ๆ แม้จะมีการเพิ่มทุนอย่างรวดเร็วในหุ้นทุน (อัตราการเพิ่มทุนถูกกว่าของญี่ปุ่นเท่านั้น)[44] โดยรวมระหว่างปี 1960 ถึงปี 1989 อัตราการเติบโตของรายได้ต่อหัวในสหภาพโซเวียตสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกเล็กน้อย (102 ประเทศในขณะนั้น) ตามที่ Stanley Fischer และ William Easterly การเติบโตอาจเร็วขึ้น จากการคำนวณรายได้ต่อหัวของสหภาพโซเวียตในปี 1989 ควรสูงกว่าเมื่อพิจารณาจากจำนวนเงินลงทุนการศึกษาและประชากร ผู้เขียนเชื่อว่าผลงานที่น่าเศร้านี้จะนำไปสู่การผลิตเงินทุนต่ำในสหภาพโซเวียต[55] Steven Rosenfielde ระบุว่ามาตรฐานการครองชีพลดลงเนื่องจากการปกครองแบบเผด็จการของสตาลินและในขณะที่มีการปรับปรุงโดยย่อหลังจากการตายของเขาแล้วมันก็กลายเป็นความซบเซา[56] ในปี 1987 มิฮาอิล กอร์บาชอฟพยายามที่จะปฏิรูปและฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยนโยบายเปเรสตรอยคา นโยบายของเขาผ่อนคลายการควบคุมของรัฐในรัฐวิสาหกิจ แต่ไม่ได้แทนที่ด้วยแรงจูงใจในตลาดส่งผลให้ผลผลิตลดลงอย่างมาก เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากรายได้จากการส่งออกปิโตรเลียมลดลงเริ่มล่มสลาย ราคายังคงมีอยู่และทรัพย์สินส่วนใหญ่ยังคงเป็นของรัฐจนสหภาพโซเวียตล่มสลาย[44][51] ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองจนล่มสลาย ผลิตภัณฑ์ในประเทศเบื้องต้นของสหภาพโซเวียตเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก[57] และอันดับ 3 ในโลกในช่วงกลางทศวรรษที่ 1980–1989 แม้ว่าจะอยู่ตามหลังประเทศในโลกที่หนึ่งก็ตาม[58] เมื่อเทียบกับประเทศที่มีผลิตภัณฑ์ในประเทศเบื้องต้นต่อหัวในปี 1928 สหภาพโซเวียตมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ[59] ในปี 1990 สหภาพโซเวียตมีดัชนีการพัฒนามนุษย์ที่ 0.920 ซึ่งอยู่ในระดับ "สูง" ในการพัฒนามนุษย์ เป็นอันดับ 3 ในกลุ่มตะวันออกรองจากเชโกสโลวาเกียและเยอรมนีตะวันออก และอันดับที่ 25 ใน 130 ประเทศทั่วโลก[60] พลังงานความจำเป็นในการใช้เชื้อเพลิงลดลงในสหภาพโซเวียตตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 ถึงคริสต์ทศวรรษ 1980[61] ต่อค่าเงินรูเบิลของผลิตภัณฑ์ทางสังคมขั้นต้นและต่อเศษของผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม การลดลงนี้ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ค่อย ๆ ชะลอตัวลงระหว่างปี 1970 ถึงปี 1975 และจากปี 1975 ถึงปี 1980 มีอัตราการเติบโตเพียงร้อยละ 2.6[62] นักประวัติศาสตร์ David Wilson เชื่อว่าอุตสาหกรรมก๊าซจะคิดเป็นร้อยละ 40 ของการผลิตเชื้อเพลิงของสหภาพโซเวียตในช่วงสิ้นศตวรรษ แต่ทฤษฎีของเขาไม่ได้เกิดขึ้นเนื่องจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต[63] ในทางทฤษฎีสหภาพโซเวียตจะยังคงมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ 2 ถึง 2.5 เปอร์เซ็นต์ในช่วงปี 1990 จากแหล่งพลังงานในสหภาพโซเวียต[64] อย่างไรก็ตามภาคพลังงานต้องเผชิญกับปัญหาหลายประการรวมทั้งค่าใช้จ่ายทางทหารที่สูงของประเทศและความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นมิตรกับประเทศในโลกที่หนึ่ง (ก่อนยุคกอร์บาชอฟ)[65] ในปี 1991 สหภาพโซเวียตมีโครงข่ายท่อส่งน้ำมันดิบ 82,000 กิโลเมตร (51,000 ไมล์) และก๊าซธรรมชาติอีกประมาณ 206,500 กิโลเมตร (128,300 ไมล์)[66] ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม, ก๊าซธรรมชาติ, โลหะ, ไม้, ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารถูกส่งออก[67] ในยุคคริสต์ทศวรรษ 1970 ถึงคริสต์ทศวรรษ 1980 สหภาพโซเวียตได้พึ่งพาการส่งออกเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างหนักเพื่อหารายได้มหาศาล[48] และอยู่จุดสูงสุดในปี 1988 สหภาพโซเวียตเป็นกลายเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุด และเป็นผู้ส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่เป็นอันดับสองรองจากซาอุดีอาระเบีย วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีสหภาพโซเวียตให้ความสำคัญในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ[68] แต่ความสำเร็จที่โดดเด่นที่สุดของสหภาพโซเวียตคือเทคโนโลยีดาวเทียมดวงแรกของโลกโดยมีการสนับสนุนจากกองทัพ[50] เลนินกล่าวในภายหลังว่าสหภาพโซเวียตจะไม่สามารถแซงประเทศที่พัฒนาแล้วถ้ายังมีเทคโนโลยีที่ล้าหลัง ทำให้หลังเลนินเสียชีวิตก็มีความพยายามพัฒนาวิทยาการเป็นจำนวนมากจนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีวิทยาการและเทคโนโลยีมากที่สุด ในช่วงต้นทศวรรษ 1960 สตรีโซเวียตได้รับปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตสาขาเคมี 40% เมื่อเทียบกับเพียง 5% ที่ได้รับปริญญาในสหรัฐอเมริกา[69] โดยปี 1989 นักวิทยาศาสตร์โซเวียตเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีในหลายด้านเช่นฟิสิกส์, พลังงาน, สาขาวิชายา, คณิตศาสตร์, การเชื่อม และเทคโนโลยีด้านการทหาร โซเวียตยังคงอยู่เบื้องหลังเทคโนโลยีในด้านเคมี, ชีววิทยา และคอมพิวเตอร์เมื่อเปรียบเทียบกับโลกที่หนึ่งเนื่องจากการวางแผนและการปกครองของรัฐที่เข้มงวด โครงการ Project Socrates ภายใต้การบริหารของเรแกน ระบุว่าสหภาพโซเวียตได้กล่าวถึงการได้มาซึ่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในลักษณะที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่สหรัฐกำลังใช้อยู่ ในกรณีของสหรัฐ การจัดลำดับความสำคัญทางเศรษฐกิจถูกนำมาใช้เพื่อการวิจัยและพัฒนาในประเทศเป็นวิธีการในการแสวงหาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งในภาคเอกชนและภาครัฐ ในทางตรงกันข้ามสหภาพโซเวียตใช้กลยุทธ์ในการครอบครองและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีทั่วโลกเพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันที่ได้มาจากเทคโนโลยี ในขณะเดียวกันก็ช่วยป้องกันสหรัฐจากการได้เปรียบในการแข่งขัน อย่างไรก็ตามในการวางแผนเทคโนโลยีของสหภาพโซเวียตได้ดำเนินการในรูปแบบส่วนกลางซึ่งเป็นศูนย์กลางของรัฐบาลซึ่งขัดขวางความยืดหยุ่น นี่คือการขาดความยืดหยุ่นอย่างมีนัยสำคัญที่ถูกใช้โดยสหรัฐเพื่อบ่อนทำลายความเข้มแข็งของสหภาพโซเวียตและทำให้เกิดการปฏิรูป[70][71][72] การคมนาคมการคมนาคมขนส่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของเศรษฐกิจในประเทศ การรวมศูนย์เศรษฐกิจในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1920 และ 1930 นำไปสู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระดับใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดตั้งแอโรฟลอต ซึ่งเป็นบริษัทการบิน[73] สหภาพโซเวียตมีรูปแบบการขนส่งที่หลากหลายทั้งทางบก, ทางน้ำ และทางอากาศ[66] อย่างไรก็ตามเนื่องจากการบำรุงรักษาถนนที่ไม่ดี ทางน้ำ และการขนส่งทางอากาศพลเรือนของสหภาพโซเวียตยังล้าสมัยและล้าหลังทางเทคโนโลยีเมื่อเทียบกับโลกที่หนึ่ง[74] การขนส่งทางรถไฟของสหภาพโซเวียตมีขนาดใหญ่ที่สุดและใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุดในโลก[74] นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาที่ดีขึ้นกว่าคู่สัญญาตะวันตกอีกด้วย[75] ในตอนปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 นักเศรษฐศาสตร์โซเวียตกำลังเรียกร้องให้มีการก่อสร้างถนนเพื่อบรรเทาภาระบางส่วนจากทางรถไฟ และแผนปรับงบประมาณของรัฐบาลโซเวียต[76] เครือข่ายถนนและอุตสาหกรรมยานยนต์[77] ยังคงอยู่ภายใต้การพัฒนา[78] และถนนที่สกปรกอยู่ทั่วไปนอกเมืองสำคัญ[79] โครงการบำรุงรักษาของสหภาพโซเวียตพิสูจน์ไม่ได้ว่าจะสามารถดูแลแม้แต่ถนนเล็ก ๆ ในประเทศได้ ในช่วงต้นถึงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 เจ้าหน้าที่โซเวียตได้พยายามแก้ปัญหาถนนด้วยการสั่งให้ก่อสร้างอาคารใหม่[79] ในขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์เติบโตขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าการก่อสร้างถนน[80] เครือข่ายถนนที่ด้อยพัฒนานำไปสู่ความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับการขนส่งสาธารณะ[81] แม้จะมีการปรับปรุงหลายด้านของภาคการขนส่ง แต่ก็ยังคงพรุนกับปัญหาเนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัย การขาดการลงทุน การทุจริต และการตัดสินใจที่ไม่ดี เจ้าหน้าที่โซเวียตไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและการบริการ กองเรือพาณิชย์ของสหภาพโซเวียตเป็นหนึ่งในกองเรือพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก[66] ประชากรการเสียชีวิตส่วนเกินในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามกลางเมืองของรัสเซีย (รวมถึงความอดอยากหลังสงคราม) มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 18 ล้านคน,[82] 10 ล้านคนในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1930[83] และมากกว่า 26 ล้านคนในปี 1941-1945 ประชากรโซเวียตหลังสงครามโลกครั้งที่สองมีขนาดเล็กกว่า 45 ถึง 50 ล้านคนหากว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของประชากรก่อนสงครามยังคงดำเนินต่อไป[84] อ้างอิงจาก Catherine Merridale "... การประมาณการที่สมเหตุสมผลจะทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตส่วนเกินตลอดช่วงเวลาประมาณ 60 ล้านคน"[85] อัตราการเกิดของสหภาพโซเวียตลดลงจาก 44.0 ต่อ 1000 คน ในปี 1926 เป็น 18.0 ในปี 1974 ส่วนใหญ่เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของเมืองและอายุเฉลี่ยของการแต่งงานที่เพิ่มขึ้น อัตราการตายลดลงเรื่อย ๆ - จาก 23.7 ต่อ 1000 คน ในปี 1926 เป็นร้อยละ 8.7 ในปี 1974 โดยทั่วไปอัตราการเกิดของสาธารณรัฐทางใต้ในทรานส์คอเคซัสและเอเชียกลาง สูงกว่าทางภาคเหนือของสหภาพโซเวียตและในบางกรณีเพิ่มขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองปรากฏการณ์ส่วนหนึ่งเกิดจากอัตราการชะลอตัวของการทำให้เป็นเมือง และประเพณีแต่งงานก่อนหน้านี้ในสาธารณรัฐทางใต้[86] ในสหภาพโซเวียตฝั่งยุโรป ได้ย้ายไปสู่แนวโน้มประชากรลดลง ในขณะที่เอเชียกลางยังคงแสดงการเติบโตของประชากรได้ดีกว่าความอุดมสมบูรณ์ในระดับทดแทน[87] ในปลายศริสต์ทศวรรษ 1960 ถึง 70 มีการพยายามลดอัตราการเสียชีวิตในสหภาพโซเวียต และเป็นที่ชื่นชมมากในหมู่คนวัยทำงาน แต่ยังเป็นที่แพร่หลายในรัสเซียและพื้นที่สลาฟอื่น ๆ ส่วนใหญ่ของประเทศ[88] การวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นทางการจากปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 แสดงให้เห็นว่าหลังจากที่เลวร้ายลงในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 การตายของคนวัยผู้ใหญ่เริ่มกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง[89] อัตราการตายของทารกเพิ่มขึ้นจาก 24.7 ในปี 1970 เป็น 27.9 ในปี 1974 นักวิจัยบางคนให้ความสำคัญกับการเพิ่มขึ้นของความเป็นจริงอันเป็นผลมาจากภาวะสุขภาพและบริการที่แย่ลง[90] การตายเพิ่มขึ้นทั้งในผู้ใหญ่และทารกไม่ได้ถูกอธิบายหรือปกป้องโดยเจ้าหน้าที่โซเวียตและรัฐบาลโซเวียตก็หยุดการเผยแพร่สถิติการตายทั้งหมดเป็นเวลา 10 ปี นักวิจัยด้านสุขภาพและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพของสหภาพโซเวียตยังคงนิ่งเงียบเกี่ยวกับอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นจนถึงช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 เมื่อมีการเผยแพร่ข้อมูลการเสียชีวิต และนักวิจัยก็สามารถเจาะลึกสาเหตุที่แท้จริงได้[91] การศึกษาอะนาโตลี ลูนาชาร์สกี กลายเป็นผู้ก่อตั้งกรมเพื่อการศึกษาโซเวียต ในตอนต้นเจ้าหน้าที่โซเวียตให้ความสำคัญกับการกำจัดการไม่รู้หนังสือ คนที่รู้หนังสือได้รับการว่าจ้างให้เป็นครูโดยอัตโนมัติ ในช่วงเวลาสั้น ๆ คุณภาพถูกเสียสละเพื่อปริมาณ เมื่อถึงปี 1940 สตาลินได้ประกาศว่าการไม่รู้หนังสือในสหภาพโซเวียตได้รับการกำจัดแล้ว ตลอดช่วงคริสต์ทศวรรษ 1930 การเคลื่อนไหวทางสังคมได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นผลมาจากการปฏิรูปการศึกษาของสหภาพโซเวียต[92] หลังจากมหาสงครามของผู้รักชาติ ระบบการศึกษาของประเทศที่ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว การขยายตัวนี้มีผลอย่างมาก ในปี 1960 เด็กในสหภาพโซเวียตเกือบทั้งหมดมีการเข้าถึงการศึกษายกเว้นเพียงเป็นผู้ที่อยู่ในพื้นห่างไกล นีกีตา ครุชชอฟ พยายามทำให้การศึกษาสามารถเข้าถึงได้มากขึ้นทำให้เด็ก ๆ เห็นได้ชัดว่าการศึกษามีความสัมพันธ์กับความต้องการของสังคมอย่างใกล้ชิด การศึกษาก็กลายเป็นเรื่องสำคัญในการทำให้คนใหม่ ๆ[93] พลเมืองที่เข้าทำงานโดยตรงมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญในการทำงานและการฝึกอบรมวิชาชีพโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ระบบการศึกษาของประเทศมีความเป็นส่วนกลางและสามารถเข้าถึงได้โดยทั่วกันสำหรับพลเมืองทุกคนโดยมีการยืนยันสำหรับผู้สมัครจากประเทศที่เกี่ยวข้องกับความล้าหลังทางวัฒนธรรม อย่างไรก็ตามในฐานะส่วนหนึ่งของนโยบายต่อต้านยิว การใช้โควต้าของชาวยิวอย่างไม่เป็นทางการในสถาบันชั้นนำของการศึกษาระดับอุดมศึกษานั้นบังคับให้ผู้สมัครชาวยิวสมัครสอบที่เข้มงวดมากขึ้น[94][95][96][97] ในยุคเบรจเนฟยังแนะนำกฎที่จำเป็นสำหรับผู้สมัครทุกมหาวิทยาลัยที่จะนำเสนอการอ้างอิงจากเลขานุการ Komsomol ท้องถิ่น[98] ตามสถิติจากปี 1986 จำนวนนักเรียนระดับอุดมศึกษาต่อประชากร 10,000 คนเป็น 181 คนสำหรับสหภาพโซเวียต เทียบกับ 517 คนสำหรับสหรัฐอเมริกา[99] เชื้อชาติสหภาพโซเวียตเป็นประเทศที่มีความหลากหลายเชื้อชาติมากที่มีมากกว่า 100 กลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่างกันประชากรทั้งหมดของอยู่ที่ประมาณ 293 ล้านคนในปี 1991 ตามการประมาณการในปี 1990 ประชากรในสหภาพโซเวียตส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซียคิดเป็น 50.78% ตามด้วย ชาวยูเครน 15.45% และ ชาวอุซเบก 5.84%[100] พลเมืองทั้งหมดของสหภาพโซเวียตมีความเกี่ยวพันกับชาติพันธุ์ของตน[101] เชื้อชาติของบุคคลได้รับการคัดเลือกเมื่ออายุสิบหกปีโดยพ่อแม่ของเด็ก หากบิดามารดาไม่เห็นด้วยเด็กจะได้รับการกำหนดเชื้อชาติของบิดาโดยอัตโนมัติ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนโยบายของสหภาพโซเวียตบางกลุ่มชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยที่มีขนาดเล็กถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มใหญ่เช่น Mingrelians of Georgia ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเกี่ยวกับจอร์เจีย กลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่มได้หลอมรวมกันโดยสมัครใจในขณะที่บางกลุ่มถูกนำตัวเข้ามาโดยใช้กำลัง ชาวรัสเซีย เบลารุส และ ยูเครน มีส่วนสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมที่ใกล้ชิดในขณะที่กลุ่มอื่น ๆ ไม่ได้มี การมีเชื้อชาติหลายเชื้อชาติที่อาศัยอยู่ในดินแดนเดียวกันได้เกิดเป็นความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ของชาติต่าง ๆ และพัฒนาขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา[102] สาธารณสุขในปี 1917 ก่อนเกิดการปฏิวัติ ภาวะสุขภาพมีความสำคัญอยู่เบื้องหลังต่อการพัฒนาประเทศ ดังที่เลนินกล่าวในภายหลังว่า "เหาจะพ่ายแพ้ต่อลัทธิสังคมนิยม หรือลัทธิสังคมนิยมจะพ่ายแพ้ต่อเหา"[103] หลักการการดูแลสุขภาพของสหภาพโซเวียตถูกกำหนดโดย People's Commissariat for Health ในปี 1918 การดูแลสุขภาพต้องถูกควบคุมโดยรัฐและจะจัดให้แก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวคิดการปฏิวัติ มาตราที่ 42 ของรัฐธรรมนูญแห่งสหภาพโซเวียต 1977 ประชาชนมีสิทธิ์ในการคุ้มครองสุขภาพและการเข้าถึงสถาบันสุขภาพใด ๆ ในสหภาพโซเวียตโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ก่อนที่ เลโอนิด เบรจเนฟ ขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรค ระบบสาธารณสุขของสหภาพโซเวียตได้รับความนิยมอย่างสูงจากผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ[104] อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงนี้จากยุคเบรจเนฟสู่ยุคกอร์บาชอฟ ระบบการดูแลสุขภาพของโซเวียตถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักสำหรับข้อบกพร่องขั้นพื้นฐานหลายอย่างเช่นคุณภาพการให้บริการ และความไม่สม่ำเสมอในการจัดหาเครื่องมือแพทย์[105] รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข Yevgeny Chazov และ รัฐบาลสหภาพโซเวียตได้ให้ความสำคัญในด้านทางการแพทย์ของโซเวียตเป็นอย่างมาก และพัฒนาโรงพยาบาลให้อยู่ในระดับสากล โดยได้มีการปรับปรุงระบบใหม่เป็นเงินหลายพันล้านรูเบิลโซเวียต[106] หลังจากการปฏิวัติสังคมนิยม อายุขัยเฉลี่ยของทุกกลุ่มอายุเพิ่มขึ้น ในสถิตินี้บางคนเห็นว่าระบบสังคมนิยมดีกว่าระบบทุนนิยม การปรับปรุงเหล่านี้ยังคงดำเนินต่อไปในคริสต์ทศวรรษ 1960 เมื่ออายุขัยเฉลี่ยในสหภาพโซเวียตสูงกว่าของสหรัฐอเมริกา มันยังคงมีเสถียรภาพในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแม้ว่าในคริสต์ทศวรรษ 1970 จะลดลงไปเล็กน้อยอาจเป็นเพราะการดื่มแอลกอฮอล์ ในเวลาเดียวกันการตายของทารกเริ่มเพิ่มขึ้น หลังจากปี 1974 รัฐบาลได้สั่งให้หยุดเผยแพร่สถิติเกี่ยวกับเรื่องนี้ แนวโน้มนี้อาจอธิบายได้จากจำนวนการตั้งครรภ์ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในภูมิภาคเอเชียของประเทศที่อัตราการตายของทารกสูงที่สุดในขณะที่การลดลงอย่างมากในส่วนที่พัฒนาขึ้นในภูมิภาคยุโรปของสหภาพโซเวียต[107] สหภาพโซเวียตยังมีศูนย์ความเป็นเลิศหลายแห่งเช่น Fyodorov Eye Microsurgery Complex ซึ่งเกียวกับการรักษาตา ก่อตั้งขึ้นในปี 1988 โดยศัลยแพทย์ตาชาวรัสเซีย Svyatoslav Fyodorov ภาษารัฐบาลโซเวียตที่นำโดยวลาดีมีร์ เลนินได้ให้กลุ่มภาษาเล็ก ๆ เป็นระบบการเขียนของตัวเอง[108] การพัฒนาระบบการเขียนเหล่านี้ประสบความสำเร็จอย่างมากแม้ว่าจะมีข้อบกพร่องบางอย่าง ในช่วงหลัง ๆ ของสหภาพโซเวียต ประเทศใช้นโยบายเดียวกันที่มีสถานการณ์เดียวกันหลายภาษา ปัญหาร้ายแรงเมื่อสร้างระบบการเขียนเหล่านี้ก็คือภาษาที่แตกต่างกันอย่างมาก[109] เมื่อภาษาได้รับการเขียนระบบและปรากฏในสิ่งพิมพ์ที่โดดเด่นภาษานั้นจะมีสถานะ "ภาษาราชการ" มีภาษาชนกลุ่มน้อยจำนวนมากที่ไม่เคยได้รับระบบการเขียนของตัวเอง ดังนั้นการพูดของพวกเขานั้นจะมีสถานะ "ภาษาที่สอง" มีตัวอย่างที่รัฐบาลโซเวียตถอยห่างจากนโยบายนี้ที่โดดเด่นที่สุดในระบอบการปกครองของสตาลินซึ่งการศึกษายุติลงในภาษาที่ไม่แพร่หลายมากนัก ภาษาเหล่านี้ล้วนส่วนใหญ่แล้วถูกหลอมรวมเข้าเป็นภาษาอื่นในรัสเซีย[110] ในช่วงมหาสงครามของผู้รักชาติบางภาษาของชนกลุ่มน้อยถูกห้ามและการพูดภาษาของชนกลุ่มน้อยบางภาษาจะถูกกล่าวหาว่าทำงานร่วมกับศัตรู[111] ภาษาที่พูดอย่างกว้างขวางที่สุดแห่งสหภาพโซเวียตคือ ภาษารัสเซีย และถูกประกาศว่าเป็นภาษาราชการในทางนิตินัยในปี 1990[112] ศาสนา
ในสหภาพโซเวียต ศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามมีจำนวนศาสนิกชนมากที่สุด[113] คริสต์ศาสนิกชนส่วนใหญ่นับถือนิกายออร์ทอดอกซ์ โดยคริสตจักรรัสเซียออร์ทอดอกซ์เป็นนิกายที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ชาวมุสลิมในประเทศร้อยละ 90 ถือนิกายซุนนี ส่วนชาวชีอะฮ์พบมากในอาเซอร์ไบจาน นอกจากนี้ยังมีศาสนิกชนกลุ่มน้อย ได้แก่ ชาวโรมันคาทอลิก ชาวยิว ชาวพุทธ และชาวโปรเตสแตนต์หลายนิกาย (โดยเฉพาะแบปทิสต์และลูเทอแรน)[113] ในสมัยจักรวรรดิรัสเซีย คริสตจักรรัสเซียออร์ทอดอกซ์ได้รับสถานะพิเศษในฐานะเป็นคริสตจักรประจำชาติและมีส่วนในการปกครองประเทศ[114] แต่ในสมัยสหภาพโซเวียตคริสตจักรถูกต่อต้านอย่างหนักจากฝ่ายปฏิวัติ เพราะถูกมองว่าเป็นพวกชนชั้นปกครอง[115] กองทัพมรดกวัฒนธรรมวัฒนธรรมของสหภาพโซเวียตผ่านช่วงหลายช่วงของการดำรงอยู่ของสหภาพโซเวียต 69 ปี ในช่วงสิบเอ็ดปีแรกหลังจากการปฏิวัติ (1918–1929) ยังอนุโลมให้มีเสรีภาพและศิลปินทดลองด้วยรูปแบบต่าง ๆ เพื่อหารูปแบบของโซเวียตที่โดดเด่น เลนินต้องการให้ศิลปะสามารถเข้าถึงคนรัสเซียได้ ในทางกลับกันนักเขียนและศิลปินหลายร้อยคนถูกเนรเทศหรือถูกประหารชีวิต และงานของพวกเขาถูกห้าม ตัวอย่างเช่น Nikolay Gumilyov (ถูกยิงหลังถูกกล่าวหาว่าสมคบคิดต่อต้านระบอบคอมมิวนิสต์) และ เยฟเกนี ซาเมียติน (ถูกห้าม)[116] รัฐบาลโซเวียตสนับสนุนให้มีแนวคิดที่หลากหลาย ในงานศิลปะและวรรณคดีหลายโรงเรียนบางแบบและอื่น ๆ การทดลองอย่างรุนแรงถูกแพร่กระจายออกไป นักเขียนคอมมิวนิสต์อย่าง มักซิม กอร์กี และวลาดีมีร์ มายาคอฟสกี กำลังทำงานอยู่ในช่วงเวลานี้ ภาพยนตร์เป็นวิธีการที่มีอิทธิพลต่อสังคมส่วนใหญ่ที่ไม่รู้หนังสือซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ผลงานของผู้กำกับเซียร์เกย์ ไอเซนสไตน์ เป็นผลงานที่ดีที่สุดนับจากช่วงนี้ ต่อมาในช่วงของการปกครองของสตาลิน วัฒนธรรมโซเวียตเป็นลักษณะการปกครองที่เพิ่มขึ้นและการครอบงำของรัฐบาลที่กำหนดรูปแบบของแนวคิดสัจนิยมสังคมนิยมกับแนวโน้มอื่น ๆ ทั้งหมดถูกคุมขังอย่างหนักด้วยข้อหาหนัก เช่นงานของ มิคาอิล บัลกาคอฟ นักเขียนหลายคนถูกคุมขังและถูกสังหาร[117] หลังจากช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1950 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1960 การผ่อนปรนครุชชอฟทำให้การตรวจพิจารณาลดลง ในช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่โดดเด่นของวัฒนธรรมโซเวียตที่พัฒนาขึ้นโดยการปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตของประชาชนและการให้ความสำคัญกับชีวิตส่วนตัว การทดลองในรูปแบบศิลปะได้รับอนุญาตอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ผลงานที่สำคัญและซับซ้อนยิ่งขึ้นจึงเริ่มมีการสร้างสรรค์ขึ้น ระบอบการปกครองคลี่คลายความสำคัญเกี่ยวกับแนวคิดสัจนิยมสังคมนิยมตัวอย่างเช่นตัวเอกของนิยายของนักเขียน Yury Trifonov กังวลตัวเองกับปัญหาของชีวิตประจำวันมากกว่าที่จะสร้างสังคมนิยม วรรณกรรมใต้ดินที่เรียกว่า samizdat ได้รับการพัฒนาขึ้นในช่วงปลายยุคนี้ สถาปัตยกรรมในยุคครุชชอฟส่วนใหญ่เน้นเรื่องการออกแบบซึงทางตรงกันข้ามกับสไตล์การออกแบบในยุคสตาลิน ในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ทศวรรษ 1980 นโยบายเปเรสตรอยคา และ กลัสนอสต์ ของกอร์บาชอฟ ได้ขยายเสรีภาพในการแสดงออกไปทั่วทั้งสหภาพโซเวียตทั้งในสื่อและสิ่งพิมพ์[118] วันสำคัญ
กีฬาผลงานของทีมชาติสหภาพโซเวียต ได้แก่
หมายเหตุ
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|