ทฤษฎีจิตทฤษฎีจิต (อังกฤษ: Theory of mind, มักจะย่อว่า "ToM") เป็นความสามารถในการจัดเอาสภาพจิต เช่นความเชื่อ ความตั้งใจ ความต้องการ การเล่นบทบาท (role-playing) ความรู้ ว่าเป็นของตนหรือของผู้อื่น และในการเข้าใจว่า คนอื่น ๆ มีความเชื่อ ความต้องการ และความตั้งใจเป็นต้น ที่ต่างกับของตน[1] ความบกพร่องของสมรรถภาพนี้จะเกิดกับคนไข้โรคออทิซึม (autism spectrum disorder) โรคจิตเภท โรคสมาธิสั้น[2] และในบุคคลที่เกิดพิษต่อประสาท (neurotoxicity) จากการเสพสุรา[3] แม้จะมีแนวคิดทางปรัชญาที่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้ แต่ทฤษฎีจิตก็เป็นประเด็นการศึกษาต่างหากกับปรัชญาจิต (philosophy of mind) นิยาม
ทฤษฎีจิตเรียกว่าเป็น "ทฤษฎี" เพราะว่า จิตไม่สามารถสังเกตได้โดยตรง[1] การสมมุติว่าคนอื่นมีจิต เรียกว่า "ทฤษฎีจิต " ก็เพราะว่า แม้ว่าเราจะรู้โดยรู้เอง (intuition) ว่า ตัวเราเองมีจิต โดยผ่านกระบวนการพินิจภายใน (introspection) แต่ไม่มีใครที่สามารถเข้าถึงสภาพจิตใจของคนอื่นได้โดยตรง เราจึงต้องสมมุติว่าคนอื่นมีจิตเหมือนกับเรา โดยอาศัยเหตุต่าง ๆ คือ พฤติกรรมที่มีร่วมกันในสังคม[4] การใช้ภาษา[5] และความเข้าใจถึงอารมณ์และการกระทำของผู้อื่น[6] การมีทฤษฎีจิตทำให้เราสามารถยกความคิด ความต้องการ ความต้องใจ ว่าเป็นของผู้อื่น สามารถพยากรณ์และอธิบายการกระทำของผู้อื่น และสามารถเข้าใจถึงความตั้งใจของคนอื่นได้ นิยามดั้งเดิมก็คือ ทฤษฎีจิตทำให้เราสามารถเข้าใจว่า สภาพจิตอาจเป็นเหตุพฤติกรรมของผู้อื่น และดังนั้น จึงทำให้เราสามารถพยากรณ์และอธิบายพฤติกรรมของผู้อื่นได้[1] ความสามารถในการยกสภาพจิตว่าเป็นของผู้อื่น และในการเข้าใจว่าสภาพจิตนั้นเป็นเหตุของพฤติกรรม เป็นตัวชี้บ่งโดยส่วนหนึ่งว่า เราต้องเข้าใจว่าจิตเป็น "ตัวสร้างตัวแทนทางใจ" (generator of representations)[7][8][9] การมีทฤษฎีจิตที่ไม่สมบูรณ์ อาจจะเป็นอาการของความเสียหายทางประชาน หรือความเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงพัฒนาการ ทฤษฎีจิตดูเหมือนจะเป็นความสามารถตามธรรมชาติของมนุษย์ แต่เป็นความสามารถที่ต้องอาศัยประสบการณ์ทางสังคมและประสบการณ์อื่น ๆ ที่ต้องพัฒนาเป็นช่วงเวลาหลายปีก่อนที่จะสมบูรณ์ แต่ละบุคคลอาจจะมีทฤษฎีจิตที่มีประสิทธิภาพไม่เท่ากัน ส่วนแนวคิดเรื่องการเห็นใจผู้อื่น (Empathy) เป็นเรื่องที่สัมพันธ์กัน เป็นการรู้จำและเข้าใจสภาพจิตของคนอื่น รวมทั้งความเชื่อ ความต้องการ และโดยเฉพาะอารมณ์ ซึ่งบางครั้งเรียกว่าเป็นความสามารถที่จะ "เอาใจเราไปใส่ใจเขา" งานทดลองทางพฤติกรรมวิทยาในสัตว์เมื่อปี ค.ศ. 2007 ดูเหมือนจะบอกว่า แม้แต่สัตว์ฟันแทะ (เช่นหนู) ก็อาจจะมีความเห็นใจผู้อื่นและความรู้สึกผิดชอบชั่วดี[10] ส่วนทฤษฎีทางประชานอย่างหนึ่งคือ "Neo-Piagetian theories of cognitive development" ซึ่งเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับพัฒนาการทางประชานที่ต่อยอดแก้ไขทฤษฎีของฌ็อง ปียาแฌ กำหนดว่า ทฤษฎีจิตเป็นผลพลอยได้ของความสามารถทางประชาน ที่จะบันทึก ตรวจสอบ และแสดงการทำงานของตน[11] การตรวจสอบโดยหลักฐาน
ความบกพร่องความบกพร่องของ ToM หมายถึงความยากลำบากในการมองจากมุมมองของผู้อื่น ซึ่งบางครั้งเรียกว่า mind-blindness (การบอดจิต)[12] ผู้มีความบกพร่องอาจจะมีปัญหาในการเข้าใจความตั้งใจของคนอื่น ในการเข้าใจว่าพฤติกรรมของตนมีผลต่อผู้อื่นอย่างไร และในการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่น[13] ความบกพร่องของ ToM พบแล้วในคนไข้โรคออทิซึม (autism spectrum disorder) โรคจิตเภท โรคสมาธิสั้น[2] ในบุคคลที่เกิดพิษต่อประสาท (neurotoxicity) จากการเสพสุรา[3] ในบุคคลที่นอนไม่พอ และในบุคคลที่กำลังประสบความเจ็บปวดทางกายหรือทางใจ ออทิซึมในปี ค.ศ. 1985 มีงานวิจัยที่แสดงว่า เด็กที่มีโรคออทิซึมไม่ใช้ทฤษฎีจิต[4] ซึ่งแสดงว่า เด็กโรคออทิซึมมีปัญหาในการทำงานที่ต้องเข้าใจความเชื่อของคนอื่น ปัญหาเหล่านี้ก็ยังมีอยู่แม้เมื่อเทียบกับเด็กปกติที่มีความสามารถในการสื่อสารเท่า ๆ กัน[14] และตั้งแต่นั้น การไม่ใช้ทฤษฎีจิตก็ได้มาเป็นตัวกำหนดอย่างหนึ่งของโรคออทิซึม คนไข้ที่วินิจฉัยว่ามีโรคออทิซึม มีปัญหาอย่างรุนแรงในการเข้าใจสภาพจิตใจของคนอื่น และดูเหมือนจะขาดสมรรถภาพต่าง ๆ ของทฤษฎีจิต[4] นักวิจัยในประเด็นนี้ได้พยายามศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทฤษฎีจิตและโรคออทิซึม พวกหนึ่งสมมุติว่า ทฤษฎีจิตมีบทบาทในการเข้าใจจิตของผู้อื่น และในการเล่นสมมุติของเด็ก ๆ[15] ตามนักวิชาการพวกนี้ ทฤษฎีจิตเป็นสมรรถภาพในการสร้างตัวแทนทางจิตเกี่ยวกับความคิด ความเชื่อ และความต้องการ ไม่ว่าจะในเรื่องจริงหรือเรื่องสมมุติ ซึ่งสามารถอธิบายว่า ทำไมเด็กโรคออทิซึมจึงมีความบกพร่องอย่างรุนแรงทั้งในทฤษฎีจิตและในการเล่นสมมุติ แต่ว่า ก็มีนักวิชาการอีกท่านหนึ่งที่ใช้คำอธิบายโดยอารมณ์ความรู้สึกทางสังคม[16] คือเสนอว่า คนไข้โรคออทิซึมมีความบกพร่องของทฤษฎีจิตที่มีผลมาจากความบิดเบือนในการเข้าใจและการตอบสนองต่ออารมณ์ เขาเสนอว่า มนุษย์ที่มีพัฒนาการปกติจะไม่เหมือนกับคนไข้โรคออทิซึม คือจะเกิดมาพร้อมกับทักษะต่าง ๆ ทางสังคม ที่ทำให้สามารถเข้าใจและตอบสนองต่อความรู้สึกของผู้อื่นเมื่อถึงวัยที่สมควรได้ ส่วนนักวิชาการท่านอื่นเน้นว่า โรคออทิซึมเป็นความล่าช้าทางพัฒนาการเฉพาะอย่าง ดังนั้นเด็กที่มีปัญหาจะมีความบกพร่องต่าง ๆ กัน เพราะว่า มีปัญหาต่าง ๆ กันในช่วงพัฒนาการที่ต่าง ๆ กัน เช่น การมีปัญหาตั้งแต่ต้น ๆ สามารถทำพฤติกรรมแบบ joint-attention ให้เสียหาย ซึ่งอาจนำไปสู่ความล้มเหลวในการเกิดทฤษฎีจิตแบบสมบูรณ์[4] มีการเสนอว่า ToM มีความเป็นไปเป็นลำดับ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การมีหรือไม่มีดังที่คิดกันมาตั้งแต่เดิม ๆ[15] แม้ว่าจะมีงานวิจัยที่แสดงว่า คนไข้โรคออทิซึมบางพวกไม่สามารถเข้าใจเรื่องจิตใจของคนอื่น ๆ[4] แต่ก็ปรากฏหลักฐานเมื่อปี ค.ศ. 2006 ที่ชี้ว่า มีวิธีการบริหารบางอย่างที่ช่วยเตือนสติเพื่อให้มีพฤติกรรมที่เหมาะสม[17] นอกจากนั้นแล้ว มีงานวิจัยที่แสดงว่า เด็กที่มีโรคออทิซึมทำคะแนนในการทดสอบทฤษฎีจิต ได้ต่ำกว่าเด็กที่มีกลุ่มอาการแอสเปอร์เจอร์[18] พิษสุราความมีความเสียหายในเรื่องทฤษฎีจิต และความบกพร่องของประชานทางสังคมประเภทอื่น ๆ เป็นเรื่องสามัญในบุคคลที่มีโรคพิษสุรา (alcoholism) เพราะความเป็นพิษต่อระบบประสาท (neurotoxicity) โดยเฉพาะในส่วนคอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า (prefrontal cortex)[3] กลไกทางสมอง
สัตว์อื่นนอกจากมนุษย์คำถามที่ยังไม่มีคำตอบอย่างหนึ่งก็คือว่า มีสัตว์อื่นหรือไม่นอกจากมนุษย์ที่มีความสามารถตามกรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อมทางสังคม ที่ทำให้มีทฤษฎีจิตแบบเดียวกับเด็กมนุษย์[1] นี่เป็นเรื่องที่ยากที่จะหาข้อยุติเพราะเหตุปัญหาการอนุมานจากพฤติกรรมสัตว์ว่ามีความคิดบางอย่าง มีความคิดว่าตน (self concept) หรือมีความสำนึกตน (self-awareness) บ้างหรือไม่ ความยากลำบากเกี่ยวกับการศึกษา ToM ในสัตว์ก็คือไม่มีข้อมูลจากการสังเกตการณ์ตามธรรมชาติเพียงพอ ที่จะให้ความเข้าใจว่า ความกดดันทางวิวัฒนาการอะไรเป็นเหตุให้เกิดการพัฒนาทฤษฎีจิตในสปีชีส์นั้น ๆ แต่งานวิจัยในสัตว์ก็ยังมีความสำคัญต่อสาขาวิชานี้ เพราะว่า อาจจะช่วยแสดงว่าพฤติกรรมที่ไม่ใช้วาจาอะไรที่สามารถชี้องค์ประกอบของทฤษฎีจิต และช่วยชี้ขั้นตอนในกระบวนการวิวัฒนาการของทฤษฎีจิต ที่นักวิชาการเป็นจำนวนมากอ้างว่าเป็นประชานทางสังคมที่มีเฉพาะในมนุษย์ แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะศึกษาทฤษฎีจิตที่มีในมนุษย์ในสัตว์ และที่จะศึกษาสภาพจิตใจของสัตว์ที่เราไม่มีความเข้าใจเรื่องสภาพจิตที่ดี นักวิจัยก็ยังสามารถเล็งความสนใจไปที่องค์ประกอบง่าย ๆ ของความสามารถซับซ้อนที่มีในมนุษย์ ยกตัวอย่างเช่น นักวิจัยหลายท่านได้ตรวจสอบความเข้าใจของสัตว์เกี่ยวกับความตั้งใจ การมอง มุมมอง หรือความรู้ (คือความเข้าใจว่าสัตว์อื่นได้เห็นอะไร) มีงานวิจัยที่ตรวจสอบความเข้าใจเกี่ยวกับความตั้งใจในลิงอุรังอุตัง ลิงชิมแปนซี และเด็กมนุษย์ที่พบว่า สัตว์ทั้งสามสปีชีส์ล้วนแต่เข้าใจความแตกต่างกันระหว่างเหตุการณ์ที่ทำโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่ความยากลำบากอย่างหนึ่งในงานวิจัยประเภทนี้ก็คือว่า ปรากฏการณ์ที่สังเกตได้สามารถอธิบายได้ว่าเป็นเพียงการเรียนรู้แบบสิ่งเร้า-ปฏิกิริยา (stimulus-response learning) แบบง่าย ๆ ซึ่งเป็นความยากลำบากที่เหมือนกับสถานการณ์ตามธรรมชาติจริง ๆ ของสัตว์ที่มีทฤษฎีจิต (เช่นมนุษย์) ที่จะต้องอนุมานว่า สัตว์อื่น (เช่นคนอื่น) มีสภาพจิตอะไรบางอย่างภายในจริง ๆ หรือไม่ โดยเพียงอาศัยการสังเกตพฤติกรรมภายนอกเพียงเท่านั้น (คือไม่ใช่เป็นเพียงพฤติกรรมที่เป็นการเรียนรู้แบบสิ่งเร้า-ปฏิกิริยา) ในเร็ว ๆ นี้ งานวิจัยเกี่ยวกับทฤษฎีจิตในสัตว์มักจะเป็นไปในลิงและลิงใหญ่ เพราะว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจในการศึกษาวิวัฒนาการของประชานทางสังคม (social cognition) ในมนุษย์ แต่ก็มีงานวิจัยอื่น ๆ ที่ใช้นกหัวโตวงศ์ย่อย Charadriinae[19] และสุนัข[20] เป็นสัตว์ทดลอง และได้แสดงหลักฐานเบื้องต้นของความเข้าใจการใส่ใจของสัตว์อื่น ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของทฤษฎีจิตอย่างหนึ่ง แต่ว่าก็มีการถกเถียงกันเกี่ยวกับการตีความหลักฐานต่าง ๆ ว่า เป็นการสนับสนุนหรือไม่สนับสนุน ว่าสัตว์อื่นมีทฤษฎีจิต[21] มีตัวอย่างที่เห็นได้คือ ในปี ค.ศ. 1990 มีงานวิจัย[22] ที่แสดงผู้ทำการทดลองสองคนให้ลิงชิมแปนซีเห็นเพื่อที่จะขออาหาร คนหนึ่งจะเห็นว่าอาหารซ่อนอยู่ที่ไหน อีกคนหนึ่งจะไม่เห็นเพราะเหตุต่าง ๆ (เช่นมีถังหรือถุงครอบศีรษะ มีอะไรปิดตาอยู่ หรือว่าหันไปทางอื่น) ดังนั้นจะไม่รู้ว่าอาหารอยู่ที่ไหนและจะได้แต่เดาเท่านั้น นักวิจัยพบว่า ลิงไม่สามารถแยกแยะผู้ที่รู้ว่าอาหารอยู่ที่ไหนเพื่อที่จะขอให้ถูกคน แต่อีกงานวิจัยหนึ่งในปี ค.ศ. 2001[23] พบว่า ลิงชิมแปนซีที่เป็นรองสามารถใช้ความรู้ของลิงชิมแปนซีคู่แข่งที่เป็นใหญ่ในการกำหนดว่า ที่เก็บอาหารไหนที่ลิงที่เป็นใหญ่ได้เข้าไปตรวจสอบ และก็มีนักวิจัยอื่น ๆ ที่ไม่สงสัยเลยว่า ลิงโบโนโบ (ลิงชิมแปนซีประเภทหนึ่ง) มี ToM โดยอ้างการสื่อสารกับลิงโบโนโบที่มีชื่อเสียงตัวหนึ่งชื่อว่า Kanzi เป็นหลักฐาน[24] ดูเพิ่มเชิงอรรถและอ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
วิกิตำรามีตำราในหัวข้อ Consciousness |