ทองคำสี
ทองคำบริสุทธิ์จะมีสีเหลือง แต่ทองอาจจะเป็นสีอื่นได้โดยการเจือธาตุอื่นลงไปในทองตามสัดส่วนที่ต่างกัน เช่น ทองคำ 14 ส่วนโลหะเจือ 10 ส่วนจะเป็นทอง 14 กะรัตหรือทองคำ 18 ส่วนโลหะเจือ 6 ส่วนก็จะเป็นทอง 18 กะรัต ปกติจะแสดงเป็นสัดส่วนแทน เช่น 14/24 เท่ากับ 0.585 (ปัดเศษ) และ 18/24 เท่ากับ 0.750 มีธาตุกว่า 100 ชนิดที่สามารถเจือลงในทองได้ แต่โดยปกติแล้วจะเจือเงินเพื่อให้ทองมีสีขาว เจือทองแดงเพื่อให้ทองมีสีแดง ถ้าผสมทองแดงและเงินในอัตราส่วน 50/50 จะให้โลหะเจือที่มีสีคล้ายทอง ทองขาว กับ ทองคำขาวบางท่านอาจเข้าใจว่า ทองคำขาว นั้นหมายถึง "Platinum" ในภาษาอังกฤษ ส่วนคำว่า ทองขาว นั้นคือ "White Gold" ทองขาว หมายถึงโลหะเจือของทองคำ และโลหะขาวอื่น ๆ เช่น นิกเกิล หรือแพลเลเดียม ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วด้วยความที่ White Gold เป็นที่นิยมมากกว่า Platinum คนไทยส่วนใหญ่จึงนิยมเรียก White Gold ทั้งทองคำขาวและทองขาวสลับกัน ส่วน Platinum จะนิยมเรียกทับศัพท์ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจที่ง่ายกว่าเพราะไม่ใช่ทอง ความบริสุทธิ์มีหน่วยเป็นกะรัต คุณสมบัติของทองขาขึ้นอยู่กับโลหะและสัดส่วนการใช้ ทำให้โลหะเจือทองขาว สามารถใช้ในวัตถุประสงค์แตกต่างกันไป เช่น โลหะเจือนิกเกิล จะแข็งจึงเหมาะสำหรับทำแหวนและหมุด โลหะเจือทอง-แพลเลเดียมจะนุ่มอ่อนและเหมาะสำหรับประดับอัญมณี โลหะอย่างทองแดง เงิน และ แพลทินัม ใช้สำหรับเพิ่มน้ำหนักและความคงทน ซึ่งต้องใช้ช่างทองที่ชำนาญเป็นพิเศษ คำว่าทองคำขาวมักจะใช้กันอย่างผิด ๆ ในภาคอุตสาหกรรมโดยใช้เพื่อบ่งถึงโลหะเจือทองคำที่มีสีขาว หลายคนเชื่อว่าสีที่ชุบโรเดียมที่พวกเขาเห็นในเชิงพาณิชย์เป็นสีทองคำขาวที่แท้จริง คำว่าสีขาวนั้นครอบคลุมกว้างมากซึ่งอาจแบ่งหรือเหลื่อมทับไปถึง สีเหลืองอ่อน สีน้ำตาลอ่อนมาก และสีกุหลาบอ่อน สีปกติของทองขาวมีสีเทาอ่อนขึ้นกับโลหะเจือ โดยปกติเครื่องประดับที่ทำจากทองขาว นิยมเคลือบด้วย โรเดียม เพื่อเพิ่มความขาว และเงางาม แต่เดิมในภาษาไทย คำว่า ทอง หมายถึง โลหะที่มีสีสันสวยงาม อาจผสมหรือไม่ผสมก็ได้ เช่นทองคำ ทองสำริด ทองเหลือง ทองแดง ฯลฯ ถ้าเป็นทองคำแท้ ๆ ที่ภาษาอังกฤษเรืยกว่า โกลด์ ภาษาไทยใช้คำประสมประเภทคำซ้อนว่าทองคำ ซึ่งคำว่า คำ ก็แปลว่า ทอง เช่นคำว่าเชียงคำ เวียงคำ ดอยคำ ฯลฯ ทองคำจึงแปลว่าทองทอง โดยนัยหมายถึงทองแท้ ๆ ต่อมาในต่างประเทศมีการนำเอาแพลทินัม มาทำเป็นเครื่องประดับ ซึ่งโดยทั่วไปในประเทศไทยจะไม่มีพระพุทธรูปหรือศิลปวัตถุเป็นแพลทินัม แพลทินัมหายากกว่าทองคำ จึงมีราคาสูงกว่าทองคำ คนไทยจึงตั้งชี่อแพลทินัมว่าทองคำขาวเพราะว่าเป็นโลหะมีค่าเหมือนทองคำ มีสีขาวและหายาก จึงเป็นที่มาของคำว่าทองคำขาว ส่วนไวท์โกลด์ ซึ่งคิดค้นขึ้นในเวลาต่อมา จึงใช้คำว่าทองขาว เพราะเป็นโลหะผสมแบบเดียวกับทองเหลือง ทองเขียว ฯลฯ และสีสันเหมือนทองคำขาว ซึ่งเป็นคำกำกวม เพราะทองขาวในภาษาไทยก็มีความหมายเดิมอยู่แล้วดังที่ปรากฏในพจนานุกรม ยังมีคำกำกวมคล้ายกันนี้อีก เช่นคำว่า เรดโกลด์ ซึ่งไม่ได้หมายถึงคอปเปอร์หรือทองแดง แต่เป็นโลหะผสมระหว่างทองคำและทองแดง ทองคำเขียวทองคำเขียว (Green gold) เป็นทองคำโลหะเจือที่สร้างโดยดึงเอาทองแดงออกไป เหลือไว้เพียงแค่ทองคำและเงิน ความจริงแล้วมันจะปรากฏเป็นสีเหลืองสีเขียวแทนที่จะเป็นสีเขียว ทองเขียว 18 กะรัตประกอบไปด้วยทองคำ 75% และเงิน 25% วิธีลงยาน่าจะเป็นวิธีเหมาะสมกว่าที่จะสร้างทองคำเขียว ทองคำชมพู แดง สีกุหลาบ (นาก)ทองคำสีกุหลาบ (Rose gold) เป็นโลหะเจือระหว่างทองคำและทองแดง (บางทีก็เจือด้วยเงินด้วย) นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในเครื่องประดับเฉพาะเนื่องจากสีที่แดงเรื่อของมัน เป็นที่รู้จักในชื่อ ทองคำชมพู (Pink gold) และ ทองคำแดง (Red gold) มันเคยเป็นที่นิยมกันมากในรัสเซียในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ทองรัสเซีย แต่ปัจจุบันไม่ค่อยใช้คำนี้กันแล้ว แต่นิยมใช้คำว่านากแทน[1] แม้ว่าจะมีการใช้ชื่อสลับกันบ่อย ๆ แต่ความแตกต่างระหว่างทองคำ แดง สีกุหลาบ และ ชมพู ขึ้นกับทองแดงที่เจืออยู่ ถ้ามีทองแดงมากก็จะมีสีแดงเข้มมาก สีทองคำบริสุทธิ์มีสีเหลืองและทองแดงบริสุทธิ์มีสีแดงเรื่อ โลหะเจือปกติของทองคำสีกุหลาบ (18 กะรัต) จะเป็นทองคำ 75%, ทองแดง 22.25% และเงิน 2.75% โดยมวล ดังนั้นจึงไม่มีทองคำสีกุหลาบบริสุทธิ์เพราะมันเป็นโลหะเจือ ทองคำสีกุหลาบกะรัตสูง ทองคำสีกุหลาบกะรัตสูงหรือที่รู้จักกันในชื่อ Crown gold เป็นทอง 22 กะรัต โดยมีทองคำ 91.67% และที่เหลือเจือด้วย เงินและ/หรือทองแดง ทองคำแดง 14 กะรัตมักพบในแถบตะวันออกกลางซึ่งมีทองแดง 41.67% ทองคำดำทองคำดำ (Black gold) เป็นทองที่ใช้กันในเครื่องเพชรพลอย[2][3] สีของทองคำดำสามารถสร้างได้หลายวิธี เช่น
เมื่อเร็ว ๆ นี้ เทคนิคเลเซอร์ได้รับการพัฒนาที่ทำให้พื้นผิวของโลหะมีสีดำเข้ม เลเซอร์สัญญาณจังหวะขนาดเฟมโตวินาทีจะทำให้ผิวหน้าของโลหะเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างนาโน ผิวหน้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจะดูดซับแสงที่ตกลงมากระทบทำให้มองเห็นเป็นสีดำเข้ม[5] ทองคำเทาทองคำเทา (Grey gold) เป็นทองคำโลหะเจือที่สร้างโดยผสมเงิน แมงกานีส และ ทองแดงลงไปตามสัดส่วนเฉพาะ[6] ทองคำฟ้าและม่วงทองคำม่วง (Purple gold) เป็นโลหะเจือของทองคำและอะลูมิเนียม โดยจะประกอบด้วยทองประมาณ 79% จึงสามารถเรียกเป็นทอง 18 กะรัตได้ ทองคำม่วงเปราะกว่าโลหะเจือทองคำชนิดอื่น ๆ แตกหักได้ง่าย[4] ดังนั้นปกติจึงช้เป็นตัวเรือนแทนอัญมณีมากกว่าจะใช้เป็นทำเป็นตัวเรือนเครื่องประดับเลย ทองคำฟ้า (Blue gold) เป็นโลหะเจือที่คล้ายกัน เกิดจากการผสมระหว่างทองคำและอินเดียม[4] ทองสัมฤทธิ์และทองเหลืองไม่มีส่วนผสมของทองคำ เป็นโลหะที่ใช้ทองแดงเป็นโลหะหลัก (copper base alloys) และเป็นที่รู้จักกันมานานแล้วคือ ทองเหลือง (Brass) และทองสัมฤทธิ์ (Bronze) นอกจากนี้ก็มีโลหะผสมทองแดง-นิกเกิล โลหะผสมทองแดง-อะลูมิเนียม เป็นต้น ทองเหลือง คือโลหะผสมระหว่างทองแดงกับสังกะสี ใช้ทำเครื่องใช้เครื่องประดับ และงานทางศิลปะ ทองเหลืองที่ใช้งานทั่ว ๆ ไปมีอยู่มากมายหลายชนิด แต่สามารถแยกออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ 2 ประเภท คือ ทองเหลือง แอลฟา และทองเหลืองแอลฟา-บีตา (alpha, alpha-beta brass)
ทองสัมฤทธิ์ หรือ สำริด เป็นโลหะผสมระหว่างทองแดง และดีบุก สัมฤทธิ์บางชนิดอาจมีส่วนผสมของสังกะสี หรือตะกั่วปนอยู่ด้วย สัมฤทธิ์ที่เป็นโลหะผสมของทองแดง นิยมใช้ทำเป็นชิ้นส่วนของเครื่องจักรกลที่ใช้กันมากในงานอุตสาหกรรม สัมฤทธิ์แบ่งออกเป็น 6 ประเภท ตามชนิดและส่วนผสมของสาร คือ อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|