ทอล์กกิงเฮดส์
ทอล์กกิงเฮดส์ (อังกฤษ: Talking Heads) เป็นวงดนตรีร็อกสัญชาติอเมริกันที่ก่อตั้งใน ค.ศ. 1975 ที่นครนิวยอร์ก และมีผลงานจนถึง ค.ศ. 1991[9] สมาชิกในวงได้แก่เดวิด เบิร์น (ร้องนำและกีตาร์) คริส ฟรันทซ์ (กลองชุด) ทีนา เวย์มัท (เบส) และเจอร์รี แฮร์ริสัน (คีย์บอร์ดและกีตาร์) ทอล์กกิงเฮดส์มีส่วนร่วมจุดกระแสดนตรีแนวนิวเวฟโดยการนำลักษณะของดนตรีแนวต่าง ๆ ได้แก่พังก์ร็อก อาร์ตร็อก ฟังก์ และเวิลด์มิวสิกมาผสมผสาน และเป็นที่รู้จักว่าเป็น "วงที่ได้รับเสียงวิจารณ์ทางบวกมากที่สุดวงหนึ่งในยุค '80"[3] ทอล์กกิงเฮดส์เกิดจากกลุ่มนักเรียนศิลปะที่เบนเข็มไปยังดนตรีพังก์ร็อกแบบนิวยอร์กในช่วงทศวรรษ 1970 โดยผลงานอัลบั้มแรกเผยแพร่เมื่อ ค.ศ. 1977 โดยใช้ชื่อ ทอล์กกิงเฮดส์: 77 และได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี[10] ก่อนที่จะร่วมกับโปรดิวเซอร์ไบรอัน อีโนและมีผลงานอีกสามอัลบั้มได้แก่ มอร์ซองส์อะเบาต์บิลดิงส์แอนด์ฟุด (ค.ศ. 1978) เฟียร์ออฟมิวสิก (ค.ศ. 1979) และรีเมนอินไลต์ (ค.ศ. 1980) ซึ่งได้รับคำวิจารณ์เชิงบวกอย่างมากเช่นกัน[3] ก่อนจะหยุดพักไปช่วงหนึ่ง หลังจากนั้นทอล์กกิงเฮดส์ได้รับความนิยมสูงสุดใน ค.ศ. 1983 จากเพลง "เบิร์นนิงดาวน์เดอะเฮาส์" ในอัลบั้ม สปีกกิงอินทังส์ และออกภาพยนตร์คอนเสิร์ต สต็อปเมกกิงเซนส์ กำกับโดยโจนาธาน เดมมี[3] และยังคงออกอัลบั้มอีกหลายอัลบั้มรวมทั้ง ลิตเติลครีเอเจอส์ (ค.ศ. 1985) ซึ่งทำยอดขายสูงสุด ก่อนที่จะยุบวงใน ค.ศ. 1991 ฟรันทซ์ เวย์มัท และแฮร์ริสันยังคงออกแสดงร่วมกันโดยใช้ชื่อ ชรังเคนเฮดส์ (อังกฤษ: Shrunken Heads) และออกอัลบั้ม โนทอล์กกิง จัสต์เฮด ในนาม เดอะเฮดส์ ใน ค.ศ. 1996 ทอล์กกิงเฮดส์ได้รับเกียรติให้เข้าสู่หอเกียรติยศร็อกแอนด์โรลใน ค.ศ. 2002 ผลงานสี่อัลบั้มติดอันดับในรายการ 500 อันดับอัลบั้มที่ดีที่สุดตลอดกาลโดยนิตยสารโรลลิงสโตน นอกจากนี้ หอเกียรติยศร็อกแอนด์โรลได้จัดให้ผลงานเพลง "ไลฟ์ดูริงวอร์ไทม์" และ "วันซ์อินอะไลฟ์ไทม์" ติดอันดับในรายการ 500 เพลงที่ทำให้ร็อกแอนด์โรลเป็นรูปร่าง[11] นอกจากนี้ ทอล์กกิงเฮดส์ยังอยู่ในอันดับที่ 64 ในรายการ 100 อันดับศิลปินยอดเยี่ยมตลอดกาลโดยสถานีโทรทัศน์วีเอชวัน[12] และอันดับที่ 100 ในรายการ 100 อันดับศิลปินยอดเยี่ยมตลอดกาลโดยนิตยสารโรลลิงสโตน[13] ประวัติช่วงแรก (ค.ศ. 1973 – 1977)เดวิด เบิร์นและคริส ฟรันทซ์ นักศึกษาสองคนจากโรงเรียนดีไซน์โรดไอแลนด์ได้ก่อตั้งวงดนตรี "ดิอาร์ทิสติกส์" ขึ้นใน ค.ศ. 1973 โดยเบิร์นเป็นนักร้องนำและเล่นกีตาร์ ส่วนฟรันทซ์เป็นมือกลอง[14] ทีนา เวย์มัท แฟนสาวของฟรันทซ์ซึ่งเป็นนักศึกษาร่วมสถาบันมักจะอาสาขับรถรับส่งให้วง วงดิอาร์ทิสติกส์ยุบลงในปีถัดมา และทั้งสามคนได้ย้ายจากรัฐโรดไอแลนด์ไปยังนครนิวยอร์ก และพักอาศัยในห้องลอฟต์เดียวกัน[15] หลังจากที่พวกเขาหามือเบสไม่ได้ ฟรันทซ์จึงเสนอให้เวย์มัทหัดเล่นเบสโดยฟังจากอัลบั้มของซูซี กวาโตร[16] ทอล์กกิงเฮดส์ขึ้นแสดงในชื่อทอล์กกิงเฮดส์เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 1975 โดยเป็นวงแสดงเปิดรายการให้กับวงราโมนส์ที่สโมสรดนตรีซีบีจีบี[9] เวย์มัทกล่าวว่าชื่อทอล์กกิงเฮดส์มาจากคำศัพท์เฉพาะในวงการโทรทัศน์ที่ใช้เรียกการถ่ายเฉพาะส่วนศีรษะและไหล่ของบุคคลที่กำลังพูด[17] ปลายปีเดียวกันพวกเขาอัดเทปตัวอย่างส่งไปยังซีบีเอสแต่ไม่ผ่านการคัดเลือก อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้ส่งไปยังไซร์เออเรเคิดส์และไซร์เออได้ตอบรับในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1976 โดยซิงเกิลแรก "เลิฟ → บิลดิงออนไฟร์" ออกในเดือนกุมภาพันธ์ปีถัดมา ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1977 ทอล์กกิงเฮดส์ได้เพิ่มเจอร์รี แฮร์ริสัน อดีตสมาชิกวงเดอะโมเดิร์นเลิฟเวอส์ของโจนาทาน ริชแมนเข้ามาเป็นสมาชิกคนที่สี่ในตำแหน่งคีย์บอร์ด กีตาร์ และร้องร่วม[18] ในช่วงระหว่างนี้เบิร์นขอให้เวย์มัทออดิชันเพิ่มอีกสามครั้งเพื่อรักษาตำแหน่งในวง[19][20] อัลบั้มแรก ทอล์กกิงเฮดส์: 77 ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี และซิงเกิล "ไซโคคิลเลอร์" ติดอันดับเป็นครั้งแรก[21] หลายคนคิดว่าเพลงนี้เกี่ยวข้องกับบุตรแห่งแซม ฆาตกรต่อเนื่องซึ่งก่อเหตุสะเทือนขวัญในนครนิวยอร์กในช่วงเวลาก่อนหน้านั้น อย่างไรก็ตาม เบิร์นกล่าวว่าเพลงดังกล่าวเขียนไว้ก่อนหน้าหลายปีแล้ว[22] เวย์มัทและฟรันทซ์แต่งงานกันใน ค.ศ. 1977[23] ร่วมงานกับไบรอัน อีโน (ค.ศ. 1978 – 1980)สตูดิโออัลบั้ม มอร์ซองส์อะเบาต์บิลดิงส์แอนด์ฟุด (ค.ศ. 1978) เป็นผลงานร่วมกันครั้งแรกระหว่างทอล์กกิงเฮดส์และโปรดิวเซอร์ไบรอัน อีโน ซึ่งเคยมีผลงานร่วมกับศิลปินรายอื่นได้แก่ร็อกซีมิวสิก, เดวิด โบอี, จอห์น เคล และโรเบิร์ต ฟริปป์[24] นอกจากนี้ อีโนยังเคยตั้งชื่อผลงานเพลงหนึ่งของเขาใน ค.ศ. 1977 ว่า "คิงส์เลดแฮต" (อังกฤษ: King's Lead Hat) ซึ่งมาจากชื่อวงทอล์กกิงเฮดส์สลับอักษรกัน สไตล์ของอีโนและทอล์กกิงเฮดส์เข้ากันได้เป็นอย่างดี และพวกเขาร่วมกันทดลองแนวเพลงต่าง ๆ ตั้งแต่โพสต์พังก์ ไซเคเดลิกฟังก์ ไปจนถึงดนตรีจากทวีปแอฟริกาซึ่งได้รับอิทธิพลจากเฟลา คูติและพาร์เลียเมนต์-ฟังกาเดลิก[2][25][7] และระหว่างบันทึกอัลบั้มนี้พวกเขายังได้ร่วมงานกับคอมพาสพอยต์สตูดิโอส์ในกรุงแนสซอ ประเทศบาฮามาส อัลบั้ม มอร์ซองส์อะเบาต์บิลดิงส์แอนด์ฟุด ยังรวมคัฟเวอร์จากเพลง "เทกมีทูเดอะริเวอร์" ของอัล กรีนด้วย อัลบั้มนี้ทำให้ทอล์กกิงเฮดส์ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี และติดอันดับ บิลบอร์ด ท็อป 30 เป็นครั้งแรกด้วย[7] พวกเขาร่วมงานกันต่อในอัลบั้มถัดไป เฟียร์ออฟมิวสิก (ค.ศ. 1979) ซึ่งผสมผสานดนตรีแนวโพสต์พังก์ร็อกที่มืดมนเข้ากับดนตรีแนวฟังกาเดเลีย และสอดแทรกเนื้อหาจากสภาพบ้านเมืองยุคปลายทศวรรษ 1970[7] ผู้สื่อข่าวด้านดนตรี ไซมอน เรย์โนลส์ อ้างว่า เฟียร์ออฟมิวสิก เป็นตัวแทนของผลงานระหว่างอีโน-ทอล์กกิงเฮดส์ "ณ จุดที่ได้ประโยชน์ร่วมกันอย่างเที่ยงธรรมที่สุด"[26] ซิงเกิล "ไลฟ์ดูริงวอร์ไทม์" เป็นที่มาของวลี "This ain't no party, this ain't no disco."[27] ซิงเกิลดังกล่าวพูดถึงมัดด์คลับและซีบีจีบีซึ่งเป็นไนต์คลับยอดนิยมในนครนิวยอร์กสมัยนั้น[28] รีเมนอินไลต์ (ค.ศ. 1980) ซึ่งเป็นอัลบั้มถัดมาได้รับอิทธิพลอย่างหนักจากดนตรีแนวแอโฟรบีตของเฟลา คูติ ผสมผสานดนตรีแบบจังหวะผสมจากแอฟริกาตะวันตก ดนตรีแบบอาหรับจากแอฟริกาเหนือ ดิสโกฟังก์ และเสียงที่ถูก "ค้นพบ"[29] การผสมผสานในลักษณะนี้ทำให้เบิร์นนำดนตรีเวิลด์มิวสิกมาปรับใช้ในผลงานถัดมา[30] เนื่องจากดนตรีที่ซับซ้อน ทอล์กกิงเฮดส์จึงต้องเดินทางไปแสดงร่วมกับนักดนตรีรายอื่นรวมทั้งเอเดรียน เบลิวและเบอร์นี วอร์เรลล์ โดยเริ่มจากเทศกาลฮีตเวฟในเดือนสิงหาคมปีนั้น[31] และรวมทั้งในภาพยนตร์คอนเสิร์ต สต็อปเมกกิงเซนส์ ในช่วงเดียวกัน เวย์มัทและฟรันทซ์ก็ยังตั้งวงย่อยทอมทอมคลับ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากดนตรีแนวฮิปฮอป[32] ในขณะที่แฮร์ริสันออกอัลบั้มเดี่ยวเป็นครั้งแรกในชื่อ เดอะเรดแอนด์เดอะแบล็ก[33] ส่วนเบิร์นและอีโนได้ออกอัลบั้มร่วมกันในชื่อ มายไลฟ์อินเดอะบุชออฟโกสส์ ซึ่งผสมผสานเวิลด์มิวสิก และร่วมกับนักดนตรีนานาชาติและนักดนตรีแนวโพสต์พังก์[34] ทั้งหมดออกในสังกัดไซร์เออ "วันซ์อินอะไลฟ์ไทม์" ซึ่งเป็นซิงเกิลนำของ รีเมนอินไลต์ ในช่วงแรกไม่ได้รับความนิยมมากนักในสหรัฐ แต่ต่อมาได้รับความนิยมติด 20 อันดับแรกในสหราชอาณาจักรและได้รับความนิยมต่อเนื่องมาอีกหลายปีเนื่องจากมิวสิกวิดีโอของเพลง ซึ่งถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในมิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยมตลอดกาลโดยนิตยสารไทม์[35][36] ความนิยมสูงสุดและแยกวง (ค.ศ. 1981 – 1991)หลังจากออกผลงานสี่อัลบั้มในช่วงเวลาประมาณสี่ปี ทอล์กกิงเฮดส์ก็พักงานชั่วคราวประมาณสามปี แม้ว่าในระหว่างนั้นฟรันทซ์และเวย์มัทจะยังบันทึกผลงานเพลงในฐานะ "ทอมทอมคลับ" ก็ตาม ในช่วงนั้นทอล์กกิงเฮดส์ได้ออกผลงานอัลบั้มบันทึกการแสดง เดอะเนมออฟดิสแบนด์อิสทอล์กกิงเฮดส์ ซึ่งบันทึกการแสดงในสหรัฐและยุโรปในฐานะวงกลุ่มแปดร่วมกับศิลปินรับเชิญ และยุติการดำเนินงานร่วมกับไบรอัน อีโน[37] อีโนไปเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับยูทูหลังจากนั้น[24] อัลบั้มถัดมาได้แก่ สปีกกิงอินทังส์ ออกใน ค.ศ. 1983 โดยเพลง "เบิร์นนิงดาวน์เดอะเฮาส์" จากอัลบั้มนี้กลายเป็นเพลงเดียวของวงที่ติด 10 อันดับแรกในชาร์ตเพลงสหรัฐ[38] เนื่องจากมิวสิกวิดีโอที่ฉายวนเรื่อย ๆ ทางช่องเอ็มทีวี[39] ทัวร์คอนเสิร์ตหลังจากนั้นถูกบันทึกในภาพยนตร์สารคดี สต็อปเมกกิงเซนส์ ของโจนาทาน เดมมี ซึ่งต่อมาได้บันทึกลงในอัลบั้มบันทึกการแสดงสดชื่อเดียวกัน[40] สปีกกิงอินทังส์เป็นอัลบั้มสุดท้ายที่ทอล์กกิงเฮดส์ออกทัวร์คอนเสิร์ต[41] I try to write about small things. Paper, animals, a house… love is kind of big. I have written a love song, though. In this film, I sing it to a lamp.
เดวิด เบิร์น ให้สัมภาษณ์ตนเองใน สต็อปเมกกิงเซนส์[42] ทอล์กกิงเฮดส์มีผลงานต่อมาอีกสามอัลบั้ม ได้แก่ ลิตเติลครีเอเจอส์ (ค.ศ. 1985) ซึ่งมีซิงเกิลยอดนิยมได้แก่ "แอนด์ชีวอส" และ "โรดทูโนแวร์"[43] ทรูสตอรีส์ (ค.ศ. 1986) ซึ่งเป็นคัฟเวอร์ของเพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อเดียวกันของเบิร์นซึ่งทอล์กกิงเฮดส์ปรากฏในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวด้วย[44] และเนกเคด (ค.ศ. 1988) แนวเพลงใน ลิตเติลครีเอเจอส์ ออกไปทางป็อปร็อกแบบอเมริกันซึ่งต่างจากอัลบั้มก่อนหน้านี้[45] ทรูสตอรีส์ ก็มีลักษณะไปในทางเดียวกับ ลิตเติลครีเอเจอส์ ซึ่งผลงานเพลง "ไวลด์ไวลด์ไลฟ์" จากอัลบั้มนี้ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างดีเช่นกัน อีกเพลงหนึ่งในอัลบั้มนี้ได้แก่ "เรดิโอเฮด" ใช้หีบเพลงชักเป็นหลัก[46] ในขณะที่อัลบั้ม เนกเคด มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมือง เพศ และความตาย และอิทธิพลจากดนตรีแบบแอฟริกันซึ่งคล้ายกับ รีเมนอินไลต์ ก็กลับมามีบทบาทในอัลบั้มนี้อีกครั้ง[47] ในช่วงนี้เบิร์นเริ่มมีอิทธิพลต่อแนวดนตรีของวงเป็นอย่างมาก และหลังจากที่ เนกเคด ออกสู่สาธารณะ ทอล์กกิงเฮดส์ก็เข้าสู่ช่วงพักอีกครั้ง[3] ทอล์กกิงเฮดส์ประกาศยุบวงในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1991[3] ฟรันทซ์กล่าวว่าเขาทราบจากบทความหนังสือพิมพ์ ลอสแอนเจลีสไทม์ส ว่าเบิร์นออกจากวง และกล่าวว่าทอล์กกิงเฮดส์ไม่เคยยุบวง เบิร์นเพียงแค่ออกจากวงเท่านั้น[48] เพลงสุดท้ายของวงได้แก่ "แซ็กซ์แอนด์ไวโอลินส์" ซึ่งเป็นเพลงที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่อง อันทิลดิเอนด์ออฟเดอะเวิลด์ โดยวิม เว็นเดิร์ส ซึ่งออกฉายก่อนหน้านั้นในปีเดียวกัน เบิร์นยังคงมีผลงานเดี่ยวอีกสองอัลบั้มได้แก่ เรย์ โมโม ใน ค.ศ. 1989 และเดอะฟอเรสต์ ใน ค.ศ. 1991[30] ในขณะที่ทั้งทอมทอมคลับและแฮร์ริสันก็มีผลงานของตนเองเช่นกัน โดยทอมทอมคลับมีอัลบั้มได้แก่ บูมบูมชิบูมบูม และ ดาร์กสนีกเลิฟแอ็กชัน[49] ในขณะที่แฮร์ริสันมีผลงานอัลบั้ม แคชวลก็อดส์ และ วอล์กออนวอเทอร์ ทอมทอมคลับและแฮร์ริสันออกทัวร์ร่วมกันใน ค.ศ. 1990[50] หลังแยกวง และรวมวงครั้งสุดท้าย (ค.ศ. 1992 – 2002)ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 เวย์มัท ฟรันทซ์ และแฮร์ริสันออกทัวร์คอนเสิร์ตร่วมกันโดยใช้ชื่อ "ชรังเคนเฮดส์"[51] และออกผลงานอัลบั้ม โนทอล์กกิง จัสต์เฮด ใน ค.ศ. 1996 ในนาม "เดอะเฮดส์" ซึ่งในอัลบั้มนี้มีนักร้องนำรับเชิญหลายคนได้แก่แกวิน ไฟรเดย์ (เดอะเวอร์จินพรูนส์), เด็บบี แฮร์รี (บลอนดี), จอห์เนตต์ นาโปลีตาโน (คอนกรีตบลอนด์), แอนดี พาร์ทริดจ์ (เอ็กซ์ทีซี), กอร์ดอน แกโน (ไวโลเลนต์เฟมส์), ไมเคิล ฮัตเชนซ์ (อินเอกซ์เซส), เอ็ด โควัลต์ชิก (ไลฟ์), ชอว์น ไรเดอร์ (แฮปปีมันเดส์), ริชาร์ด เฮลล์ และมาเรีย แม็กกี[52] โดยนาโปลีตาโนเป็นนักร้องนำในทัวร์คอนเสิร์ต เบิร์นยื่นฟ้องร้องขอให้อดีตสมาชิกอีกสามคนหยุดใช้ชื่อ "เดอะเฮดส์" โดยมองว่าเป็นความพยายามที่จะหารายได้จากชื่อ "ทอล์กกิงเฮดส์"[53] ทอล์กกิงเฮดส์กลับมารวมกันชั่วคราวใน ค.ศ. 1999 เพื่อโปรโมตครบรอบ 15 ปีของ สต็อปเมกกิงเซนส์ แต่ไม่ได้แสดงร่วมกัน[54] แฮร์ริสันผันตัวไปเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับศิลปินต่าง ๆ ได้แก่ไวโอเลนต์เฟมส์ (เดอะไบลด์ลีดดิงเดอะเนกเคด), ไฟน์ยังแคนนิบอลส์ (เดอะรอว์แอนด์เดอะคุกต์), เจนเนอรัลพับลิก (รับอิตเบตเตอร์), แครชเทสต์ดัมมีส์ (ก็อดชัฟเฟิลด์ฮิสฟีต), ไลฟ์ (เมนทัลจูเลอรี, โทรวิงคอปเปอร์ และ เดอะดิสแทนส์ทูเฮียร์), โนเดาต์ (เพลง "นิว" จากอัลบั้ม รีเทิร์นออฟแซตเทิร์น)[55] ในขณะที่ฟรันทซ์และเวย์มัทก็เป็นโปรดิวเซอร์ให้กับศิลปินอีกหลายกลุ่ม รวมทั้งแฮปปีมันเดส์และซิกกี มาร์ลีย์ และยังคงมีผลงานร่วมกันในฐานะทอมทอมคลับ[56] ทอล์กกิงเฮดส์ได้รับเชิญเข้าสู่หอเกียรติยศร็อกแอนด์โรลใน ค.ศ. 2002 โดยในพิธีพวกเขากลับมารวมกันอีกครั้งและแสดงเพลง "ไลฟ์ดูริงวอร์ไทม์" "ไซโคคิลเลอร์" และ "เบิร์นนิงดาวน์เดอะเฮาส์" ในวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ. 2002 ร่วมกับเบอร์นี วอร์เรลล์และสตีฟ สเกลส์ซึ่งเคยแสดงร่วมกันในทัวร์คอนเสิร์ต[57] เบิร์นให้สัมภาษณ์ว่าคงเป็นไปได้ยากที่จะกลับมารวมกันอีกครั้งเนื่องจากทั้งเรื่องบาดหมางและแนวดนตรีที่ต่างกันเกินไปแล้ว[58] ส่วนเวย์มัทให้สัมภาษณ์ว่าเบิร์นเป็นคนที่ "ไร้ความสามารถในการรักษามิตรภาพ"[58] และกล่าวว่าเขาไม่ได้รักเธอ ฟรันทซ์ หรือแฮร์ริสัน[16] อิทธิพลทางดนตรีและศิลปะออลมิวสิกระบุว่าทอล์กกิงเฮดส์ วงดนตรีที่ได้รับความนิยมสูงสุดวงหนึ่งในยุค 1970–80[3] ตลอดเวลาจนถึงแยกวง "ได้บันทึกทุกอย่างตั้งแต่อาร์ตฟังก์ไปจนถึงเวิลด์บีตแบบจังหวะผสมและกีตาร์ป็อปแบบเรียบง่าย"[3] แนวอาร์ตป็อปของทอล์กกิงเฮดส์มีอิทธิพลต่อเนื่องยาวนาน[59] พวกเขามีส่วนนิยามดนตรีแนวนิวเวฟในสหรัฐร่วมกับดีโว ราโมนส์ และบลอนดี[60] ในขณะเดียวกัน อัลบั้ม รีเมนอินไลต์ และอัลบั้มอื่น ๆ ในช่วงเดียวกันก็นำดนตรีร็อกแบบแอฟริกันมาสู่โลกตะวันตกด้วยเช่นกัน[61] ภาพยนตร์คอนเสิร์ต สต็อปเมกกิงเซนส์ ซึ่งกำกับโดยโจนาทาน เดมมีก็ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี ได้รับยกย่องว่าเป็นภาพยนตร์คอนเสิร์ตที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่ง[62] และได้รับเลือกเข้าสู่หอทะเบียนภาพยนตร์แห่งชาติของสหรัฐใน ค.ศ. 2021[63] ทอล์กกิงเฮดส์ยังมีอิทธิพลต่อศิลปินอีกหลายกลุ่ม เช่นเอ็ดดี เวดเดอร์,[64] โฟลส์,[65] เดอะวีกเอนด์,[66] แวมไพร์วีกเอนด์,[67] พริมัส,[68] เบลล์เอกซ์วัน,[69] เดอะไนน์ทีนเซเวนตีไฟฟ์,[70] เดอะทิงทิงส์,[71] เนลลี เฟอร์ทาโด,[72] เคชา,[73] เซนต์วินเซนต์,[74] แดนนี บราวน์,[75] เทรนต์ เรซเนอร์,[76] ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์[77] และเรดิโอเฮดซึ่งตั้งชื่อวงตามเพลง "เรดิโอเฮด" จากอัลบั้ม ทรูสตอรีส์[78][79] ปาโอโล ซอร์เรนตีโนซึ่งได้รับรางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 86 จากผลงานภาพยนตร์เรื่อง ลากรันเดเบลเลซซา ได้กล่าวขอบคุณทอล์กกิงเฮดส์และคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เขาสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้[80] อ้างอิง
|