ทีนา เทอร์เนอร์
ทีนา เทอร์เนอร์ (อังกฤษ: Tina Turner) หรือ แอนนา เม บุลล็อก (อังกฤษ: Anna Mae Bullock; 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 1939 – 24 พฤษภาคม ค.ศ. 2023) เป็นนักร้องหญิงชาวอเมริกัน สัญชาติสวิส[6] เธอเริ่มมีชื่อเสียงในฐานะคู่ดูโอ้กับอดีตสามีก่อนจะกลับมาโด่งดังในวัย 44 ปี ในฐานะศิลปินเดี่ยวกับอัลบั้ม Private Dancer เมื่อปีพ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) จนได้รับการขนานนามว่าเป็น "ราชินีร็อกแอนด์โรล (Queen of Rock & Roll) "[7][8] ทีนามีชื่อเสียงระดับโลกจากผลงานเพลงและการแสดงสดบนเวทีที่ตื่นเต้นทรงพลังทั้งน้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์และลีลาท่าเต้นที่เร้าใจ อีกทั้งยังเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายนานหลายทศวรรษว่าเป็น "นักร้องหญิงที่มีเรียวขาสวยมากที่สุด" คนหนึ่งในวงการเพลงโลก[9][10] นอกจากเพลงร็อกแล้วเธอยังมีผลงานเพลงในแนวโซล อาร์แอนด์บี แดนซ์ คันทรี และป็อป อีกด้วย ชื่อของเธอติดอันดับชาร์ตระดับโลกหลายชาร์ตในการจัดอันดับของสถาบันและนิตยสารชั้นนำต่าง ๆ มากมาย เช่น นิตยสารโรลลิงสโตน ยกย่องเธอให้เป็นหนึ่งในนักร้องและศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล (The Immortals – The Greatest Artists of All Time and The Greatest singers of All Time) และใน ค.ศ. 2021 ทีนากลายเป็นศิลปินหญิงคนที่สองในประวัติศาสตร์ที่ได้รับการบันทึกชื่อไว้ในหอเกียรติยศร็อกแอนด์โรล (the Rock and Roll Hall of Fame) ถึงสองครั้ง ครั้งแรกเธอกับไอก์ เทอร์เนอร์ อดีตสามี ได้รับการบันทึกไว้ในฐานะศิลปินคู่เมื่อ ค.ศ. 1991 และครั้งที่สองทีนาได้รับการบันทึกไว้ในฐานะศิลปินเดี่ยว ผลงานทีนาเป็นทั้งนักร้อง-นักแต่งเพลง นักเต้น และ นักแสดง และได้รับการจารึกชื่อบนฮอลลีวูดวอล์กออฟเฟมเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 1986[11] ทีนาได้รับรางวัลมากมายตลอดชีวิตการทำงานของเธอ รวมไปถึงรางวัลแกรมมีที่เธอได้รับมาแล้วรวมทั้งหมด 12 ครั้ง โดยใน 8 ครั้ง มาจากการเสนอชื่อเข้าชิง 25 ครั้ง[12] และเธอมีผลงานเพลงที่ได้รับเกียรติคัดเลือกจัดเข้าไปอยู่ใน Grammy Hall of Fame ถึง 3 เพลงด้วยกันคือ "River Deep - Mountain High" (1999), "Proud Mary" (2003) และ "What's Love Got to Do with It" (2012)[13] และอีกหนึ่งรางวัลคือ Grammy Lifetime Achievement Award คอนเสิร์ตถึงแม้เทอร์เนอร์จะเป็นที่รู้จักในฐานะศิลปินร็อกหญิงที่โด่งดังและเป็นหนึ่งในศิลปินนักร้องที่มียอดขายมากที่สุดคนหนึ่ง[5] ด้วยยอดขายทั่วโลกรวมแล้วเกือบ 200 ล้านชุดก็ตาม[11][14] แต่สำหรับเธอ เธอมองตัวเองว่าเป็น'ผู้มอบความบันเทิง' (อังกฤษ: Performer) มากกว่า[3] เพราะตั้งแต่เริ่มเข้าวงการจนถึงปัจจุบันซึ่งเป็นเวลากว่า 60 ปี สิ่งที่สร้างชื่อเสียงและสร้างรายได้ให้ทีนามากที่สุดคือการแสดงสด คอนเสิร์ตของทีนาเป็นที่ร่ำลือถึงพลังความร้อนแรง ลีลาที่เร่าร้อน และเป็นการแสดงสดที่มีคุณภาพ[7] ใน ค.ศ. 1986 การแสดงคอนเสิร์ต Break Every Rule World Tour ที่ รีโอเดจาเนโรของทีนาได้รับการบันทีกลงในกินเนสบุ๊กว่ามีผู้ซื้อบัตรเข้าชมมากที่สุดสำหรับศิลปินเดี่ยวเป็นจำนวนสูงถึง 184,000 คน และใน ค.ศ.2000 ทีนาครองแชมป์ ทัวร์คอนเสิร์ตทำเงินสูงสุดแห่งปี 2000 ในทวีปอเมริกาเหนือ ทำรายได้ 80.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการทัวร์ Twenty Four Seven Tour ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตอำลาเวทีการแสดงสดในสเตเดียมใหญ่ ๆ ของทีนา ซึ่งในเวลานั้นเป็นอันดับที่ 5 ของคอนเสิร์ตที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล จากการรายงานของนิตยสาร Pollstar[15] ทั้ง ๆ ที่อัลบั้ม Twenty Four Seven มียอดขายน้อยและซิงเกิลทั้งสองเพลงจากอัลบั้มนี้ก็ไม่ฮิตติดอันดับของบิลบอร์ดเลยแม้แต่เพลงเดียว แต่บัตรคอนเสิร์ตของทีนากลับสามารถขายได้หมดทุกที่นั่งเกือบทุกโชว์ ซึ่งตรงกันข้ามกับทฤษฎีที่พิสูจน์แล้วว่า การทัวร์คอนเสิร์ตจะประสบความสำเร็จได้ อัลบั้มที่จะออกทัวร์ต้องมียอดขายสูงและต้องมีซิงเกิลที่ฮิตติดอันดับ[16] และในปีเดียวกันนั้น ทีนาได้รับการบันทีกลงในกินเนสบุ๊กอีกครั้งว่าเป็นศิลปินเดี่ยวที่มียอดขายตั๋วคอนเสิร์ตเป็นจำนวนมากที่สุดในโลก[17][18][19][20] 1975-1982
1984-2008
ผลงานเพลงสตูดิโออัลบั้มถึงวันนี้เธอมีเพลงที่ติดใน ทอปเท็นบิลบอร์ดฮอต 100 ทั้งหมด 7 เพลง[21] มีเพลงติดในทอปเท็นบิลบอร์ดฮอต R&B singles อยู่ 16 เพลง และเธอยังเป็นศิลปินคนแรกที่มีเพลงติดใน Top 40 hits ในสหราชอาณาจักรตลอดระยะเวลา 7 ทศวรรษ โดยมีทั้งหมด 35 เพลง[22] เพลงประกอบภาพยนตร์ทีนา มีผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมหลายเพลงเช่น "Acid Queen" ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Tommy ในปี 1975, "We Don't Need Another Hero" จาก Mad Max Beyond Thunderdome ปี 1985, "I Don't Wanna Fight" ในปี 1993 จากภาพยนตร์ชีวประวัติของเธอ และใน ค.ศ. 1995 ทีนาได้ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง GoldenEye หรือ พยัคฆ์ร้าย 007 รหัสลับทลายโลก ในปี 2003 ทีนามีผลงานเพลง "Great Spirits" ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์การ์ตูนของค่ายดิสนีย์เรื่อง Brother Bear[23] ซึ่งก่อนหน้านี้ ทีนาได้เคย ร่วมงานกับค่ายดิสนีย์มาแล้วครั้งหนึ่งในปี 1999 กับผลงานเพลง "He Lives in You" ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง Lion King II: Simba's Pride[24] นอกจากนั้นผลงานเพลงในอดีตของทีนายังเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์อีกหลายเรื่องเช่นเพลง "Break Through the Barrier" จากภาพยนตร์เรื่อง Days of Thunder (1990)[25] และเพลง "The Best" จากภาพยนตร์เรื่อง Hitman's Wife's Bodyguard (2021)[26] ผลงานการแสดงนอกจากงานเพลงแล้ว ทีนามีผลงานการแสดงรวมทั้งสิ้น 4 เรื่อง โดยเริ่มจากการรับบทเป็น "Acid Queen" ในภาพยนตร์เรื่อง Tommy ที่สร้างจากการดัดแปลงเนื้อหาในคอนเซ็ปต์อัลบั้มชื่อเดียวกันแนวร็อกโอเปราของเดอะ ฮู ออกฉายใน ค.ศ. 1975[27] ต่อมาใน ค.ศ. 1978 ทีนาร่วมแสดงเป็นดารารับเชิญพิเศษในฉากปิดของภาพยนตร์เรื่องSgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band[28] ใน ค.ศ. 1985 ทีนาได้รับความนิยมสูงสุดและเป็นที่รู้จักในฐานะนักแสดง เมื่อเธอได้ร่วมแสดงนำคู่กับเมล กิบสัน รับบทเป็น "Antie Entity" ซึ่งเป็นบทที่เขียนขึ้นมาเพื่อเธอโดยเฉพาะในภาพยนตร์แนวแอกชันสัญชาติออสเตรเลียเรื่อง Mad Max: Beyond Thunderdome (แมดแม็กซ์ 3)[29] และบทรับเชิญใน Last Action Hero ปี 1993 นำแสดงโดยอาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ ละครเพลงใน ค.ศ. 2018 ละครเพลงชีวประวัติของเธอเรื่อง Tina: The Musical ที่เธอมีส่วนร่วมในการผลิตอย่างเต็มตัว ได้เปิดการแสดงขึ้นเป็นครั้งแรกที่โรงละคร Aldwych Theatre ในเวสต์เอนด์ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ[30] และจะเปิดการแสดงที่บรอดเวย์ ในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในช่วงปลายปี 2019[31] ผลงานอื่น ๆในปี 1986 ทีนาได้เขียนหนังสืออัตชีวประวัติ ชื่อ I, Tina เล่าถึงชีวิตตั้งแต่เด็ก และเป็นครั้งแรกที่เธอเปิดโปงถึงเรื่องราวชีวิตการแต่งงานระหว่างเธอกับไอก์ ที่เธอได้รับการทารุณทำร้ายร่างกายอย่างสาหัสเกือบตลอดช่วงชีวิตการแต่งงาน จนถึงการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของเธอ ซึ่งจัดว่าเป็นหนึ่งในการกลับมาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์วงการเพลงโลก[32] ต่อมาได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์อัตชีวประวัติเรื่อง What's Love Got to Do with It ที่ออกฉายในปี 1993 นำแสดงโดยแองเจลา แบสเซท และลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น ซึ่งทั้งสองนักแสดงนำต่างมีชื่อเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ โดยก่อนหน้านั้นแองเจลา แบสเซท ผู้ซึ่งรับบทนำเป็น ทีนา สามารถคว้ารางวัลลูกโลกทองคำ ได้สำเร็จ ในช่วงปลาย ค.ศ. 2018 เรื่องราวชีวิตของเธอตั้งแต่เกิดรวมถึงชีวิตรักของเธอในปัจจุบันได้รับการถ่ายทอดโดยสิ้นเชิงด้วยตัวเธอเองลงในหนังสือชื่อ Tina Turner: My Love Story ในหนังสืออัตชีวประวัติเล่มที่สองของเธอนี้ เธอได้เล่าถึงเหตุการณ์ร้ายแรงไม่คาดฝันที่ทำไห้เธอเกือบเสียชีวิตที่เกิดขึ้นไม่นานหลังงานแต่งงานของเธอกับ เออร์วิน บาค สามีต่างวัยผู้บริหารวงการเพลงชาวเยอรมัน ที่เธอคบหามานานเป็นเวลากว่า 30 ปี และการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของเขาที่ต่ออายุให้เธอจนสามารถมีชีวิตอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้[33][34] รางวัลเกียรติยศ
การนับถือศาสนาพุทธในปี 1974 ทีน่าเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ นิกายมหายาน ขององค์กรโซคากักไก จากการชักชวนของ ‘วาเลรี่ บิชอพ’ ซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชน วาเลรี่รู้ว่าสภาพจิตใจของทีน่ากำลังหดหู่เนื่องจากโดนสามีทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงเป็นเวลานาน จึงแนะนำให้ทีน่ารู้จักศาสนาพุทธเพราะเชื่อว่าจะช่วยในด้านจิตวิญญาณ ทีน่าไม่เคยมีความรู้เรื่องพุทธศาสนามาก่อน แต่เมื่อได้สัมผัสหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งบอกว่า 'ตัวเราเป็นผู้กำหนดโชคชะตาของตัวเอง มิใช่ผู้อื่น' ทีน่าจึงหันมานับถือศาสนาพุทธ ทีน่าเคยกล่าวในบทสัมภาษณ์ว่า “จากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ฉันมองว่า พุทธศาสนาเป็นสิ่งที่เราพึ่งพิงได้ การสวดมนต์จะช่วยให้เราเข้าถึงแก่นแท้ ซึ่งอยู่ในจิตใต้สำนึกของตัวเรา”[39] ความศรัทธาในพระพุทธศาสนาทำให้ทีน่าเห็นประโยชน์ในพระธรรมและการสวดมนต์เป็นกิจวัตร ส่งผลให้ชีวิตของทีน่าเปลี่ยนไปในทางที่ดีนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การสวดมนต์นอกจากจะช่วยให้จิตใจของทีน่าเข็มแข็งจนสามารถหย่าขาดจากสามีแล้ว ยังช่วยให้ทีน่าประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต ทีน่ายึดมั่นในคำสอนของพระพุทธองค์จวบจนลมสุดท้ายของชีวิต อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|