นพรัตน์ กุลหิรัญ
นพรัตน์ กุลหิรัญ เจ้าของฉายา มาดามรถถัง[5][6][7][8] (อังกฤษ: Madam Tank)[9][10] เป็นนักธุรกิจหญิงชาวไทย ผู้ก่อตั้งบริษัท ชัยเสรีเม็ททอลแอนด์รับเบอร์ จำกัด ที่ผลิตชิ้นส่วนและรถหุ้มเกราะ ให้แก่กองทัพไทยและกองทัพต่างประเทศ[11][12][13][14] ซึ่งปัจจุบัน เธอขายสินค้าแก่ 46 กองทัพทั่วโลก ตลอดจนกระทั่งสหประชาชาติ[15] ทั้งนี้ เธอเคยเป็นครูสอนวิชาภูมิศาสตร์กายภาพ[16] ชีวิตช่วงต้นนพรัตน์ กุลหิรัญ เกิดที่ย่านเยาวราช กรุงเทพมหานคร ครอบครัวของเธอทำกิจการค้าเหล็ก, โซ่ และเครื่องยนต์เก่า ที่สืบทอดมาจากรุ่นปู่ของเธอซึ่งเป็นชาวจีนที่เดินทางข้ามทะเลมาตั้งแต่ พ.ศ. 2400[11] ในวัยเด็ก เธอได้สั่งสมประสบการณ์เกี่ยวกับวงการเหล็กจากการช่วยพ่อของเธอทำธุรกิจ รวมถึงเพื่อนบ้านข้างเคียงที่ประกอบอาชีพเกี่ยวกับวงการเหล็กเกือบทั้งหมด[11] เธอสำเร็จศึกษาระดับประถมจากโรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์ และเก่งคณิตศาสตร์ ต่อมาเธอได้รับการแนะนำจากพ่อให้ศึกษาด้านภาษา เนื่องจากเห็นว่าเป็นคนพูดจาเก่ง ชอบคบค้าสมาคม เธอจึงศึกษาต่อที่โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ เอกภาษาฝรั่งเศส และระดับอุดมศึกษาที่วิทยาลัยวิชาการศึกษา วิทยาเขตปทุมวัน เนื่องจากในช่วงนั้นเธอเห็นว่าเป็นสถาบันสอนวิชาภาษาฝรั่งเศสที่ดีที่สุด[11] ช่วงเป็นนักศึกษาเธอทำกิจกรรมจำนวนมาก รวมถึงได้รับโอกาสจากข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ของการทำหน้าที่เป็นล่ามภาษาฝรั่งเศสและครูสอนภาษาไทยในค่ายผู้อพยพ ที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว[11] เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี เธอได้สอบบรรจุเป็นครูโรงเรียนยานนาเวศประมาณ 5 เดือน ก่อนที่จะย้ายไปเป็นครูสอนวิชาภูมิศาสตร์ที่โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ ซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าของเธอ[11] ช่วงดำเนินกิจการจากนั้น เธอได้แต่งงานกับหิรัญ กุลหิรัญ ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการซ่อมรถและดัดแปลงเครื่องยนต์ ที่ภายหลังได้เริ่มติดต่อกับกองทัพในลักษณะตัวแทนจัดหาอุปกรณ์เครื่องยนต์ และซ่อมบำรุงช่วงล่างให้กับรถบรรทุก[11] ต่อมา ในช่วงสงครามเวียดนามสิ้นสุด กองทัพสหรัฐได้ถอนฐานทัพและทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากไว้ที่ประเทศเวียดนาม, กัมพูชา และลาว ทางสามีของเธอจึงได้ขอซื้อจากกองทัพสหรัฐ เพื่อนำกลับมาที่ประเทศไทย ส่งผลให้โรงงานมีอะไหล่จำนวนเพียงพอแก่ความต้องการของกองทัพไทย ในขณะเดียวกัน เธอเองก็ได้หาซื้อเครื่องจักรตามโรงงานที่เลิกกิจการอีกหลายแห่ง เพื่อนำอุปกรณ์ที่เหมาะสมเข้ามา[11] เนื่องด้วยเธอเป็นผู้มีทักษะด้านการเจรจา และเก่งภาษาอังกฤษ เธอได้สอบถามทหารสหรัฐที่มาประเทศไทยว่าตีนตะขาบรถถังหาซื้อได้ที่ไหน จนทราบที่อยู่ และติดต่อซื้อเพื่อเสนอขายให้แก่กองทัพ ระหว่างไปตรวจรับสินค้าที่สหรัฐ เธอใช้ความจริงใจและไหวพริบพูดคุย จนสามารถเข้าไปในโรงงานผลิตที่เป็นเขตหวงห้ามได้สำเร็จ[11] เธอได้ศึกษาวิธีผลิตและนำความรู้ต่าง ๆ กลับมาบอกสามี แล้วร่วมกันสร้างโรงงานที่ประเทศไทยตามแบบสหรัฐ ซึ่งต่อมา เจ้าของโรงงานสหรัฐที่เธอติดต่อด้วยได้เดินทางมาเยี่ยมและขอเข้าชมโรงงาน[11] จากการพูดคุย ส่งผลให้เขาเกิดความประทับใจต่อนพรัตน์ โดยได้บอกว่าหากเขาเลิกกิจการจะขายเครื่องจักรทั้งหมดให้ ซึ่งเธอเองก็มีความสนใจ แต่มีเงินประมาณ 25 ล้านบาทในขณะนั้น เธอจึงเสนอโอนเงินให้เท่าที่มี เพื่อซื้อตามแต่เขาจะให้[11] ซึ่งทางโรงงานสหรัฐได้มอบเครื่องจักร 45 ตู้ รวมถึงแบบพิมพ์, เครื่องอัดยาง และเครื่องขึ้นรูปตีนตะขาบ กระทั่งกิจการของเธอเติบโตด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัย และเริ่มตระเวนหาคู่ค้าในต่างประเทศ[11] การตลาดระหว่างประเทศในยุคที่ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้บัญชาการทหารบก โรงงานของเธอได้รับโอกาสในการติดตั้งสายพานให้กับรถถังที่นำเข้าจากประเทศจีน ซึ่งเธอได้ต่อยอดด้วยการติดตั้งสายพานให้กับรถถังจีนที่ประจำการในประเทศปากีสถาน และบังกลาเทศ[11] ต่อมา เธอได้เซ็นสัญญาติดตั้งผลิตชิ้นส่วนให้กับรถถังของกองทัพสหรัฐ เมื่อกิจการเติบโต ก็ได้มีการนำเครื่องจักรและอุปกรณ์ไปจัดแสดงในงานแสดงอาวุธนานาชาติเป็นประจำ อาทิ ยูโรซาทอรี (Eurosatory) และนิทรรศการกลาโหมระหว่างประเทศ (IDEX) ส่งผลให้กิจการของเธอเป็นที่รู้จักในต่างประเทศ[11] รถหุ้มเกราะสืบเนื่องจากความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ที่มีความรุนแรง รวมถึงมีการปะทะและลอบวางระเบิดบ่อยครั้ง เธอจึงหาวิธีป้องกันชีวิตเจ้าหน้าที่และประชาชน กระทั่งบริษัทของเธอได้เริ่มสร้างรถหุ้มเกราะล้อยางขึ้น[1] บริษัทของเธอเป็นผู้ผลิตรถหุ้มเกราะเฟิร์สวิน ซึ่งประจำการอยู่ที่กองทัพไทย, กรมสอบสวนคดีพิเศษ, หน่วยปราบปรามยาเสพติด และหน่วยงานกรมราชทัณฑ์ รวมทั้งได้รับการสั่งซื้อจากกองทัพมาเลเซีย[11] ต่อมา บริษัทของเธอได้ผลิตเฟิร์สวินเวอร์ชันรถพยาบาล ที่ได้รับการกล่าวว่าเป็นรถเกราะพยาบาล ล้อยางกันกระสุนกันระเบิด คันแรกของโลก[5][17] ชีวิตส่วนตัวพ่อแม่ของเธอเป็นชาวจีนอพยพ นพรัตน์เป็นลูกคนที่ 7 ของพี่น้องที่มีทั้งหมด 12 คน (ชาย 5 คน หญิง 7 คน) ทั้งนี้ เธอมีบุตรชาย 2 คน คือ กานต์ กุลหิรัญ และกฤต กุลหิรัญ[11] นพรัตน์ได้รับการกล่าวว่าเป็นนักธุรกิจหญิงที่เป็นมิตร ในยามว่าง เธอมักทำงานประดิษฐ์ หรืองานฝีมือ หรือวาดภาพระบายสี โดยรูปที่เธอชอบวาดที่สุด คือ ดอกชบา[16] ทรัพย์สินพ.ศ. 2561 ได้เกิดกรณีกรมศุลกากรเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถหุ้มเกราะย้อนหลังจำนวน 89 ล้านบาท ซึ่งทางนพรัตน์ที่ดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการบริษัท ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรม[18] อนึ่ง เธอเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ลักซ์ชัวรี่[19] รางวัลที่ได้รับ
ปริญญากิตติมศักดิ์
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่นฟังเสียงบทความนี้ (info/dl)
ไฟล์เสียงนี้ถูกสร้างขึ้นจากรุ่นของบทความ "นพรัตน์ กุลหิรัญ" เมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2562 และอาจไม่ใช่การแก้ไขล่าสุด (วิธีใช้เสียง)
|