นาจิบ ราซัก
ดาโตะก์ ซรี ฮาจี โมฮัมมัด นาจิบ บิน ตุน ฮาจี อับดุล ราซัก[1] (มลายู: Dato' Sri Haji Mohammad Najib bin Tun Haji Abdul Razak, ยาวี: محمد نجيب بن عبد الرزاق) หรือ นาจิบ ราซัก เป็นนักการเมืองมาเลเซียจากพรรคอัมโน เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่ พ.ศ. 2552 ถึง พฤษภาคม พ.ศ. 2561 โดยได้ดำรงตำแหน่งต่อจากอับดุลละฮ์ อะฮ์มัด บาดาวี เขาเป็นบุตรชายของอับดุล ราซัก ฮุซเซน นายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ประวัตินาจิบ ราซัก เกิดเมื่อ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2496 ภายในทำเนียบรัฐปะหัง[2] เขาเป็นบุตรคนโตในจำนวนบุตร 6 คนของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียคนที่ 2 อับดุล ราซัก ฮุซเซน และเขายังมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ฮุซเซน อน น้องชายของนาจิบเป็นผู้บริหารบริษัทภูมิบุตราคอมเมิร์ช ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ นาจิบถือเป็นหนึ่งในสี่อำมาตย์ของราชสำนักปะหัง และสืบทอดบรรดาศักดิ์เป็น โอรังกายาอินเดราชาบันดา (اورڠ كاي ايندرا شهبندر) นาจิบ ราซัก จบการศึกษาจากสถาบันเซนต์จอห์นในกรุงกัวลาลัมเปอร์ และจบการศึกษาระดับมัธยาจากวิทยาลัยมัลเวิร์นในประเทศอังกฤษ[3] และจบสาขาเศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรมจากมหาวิทยาลัยนอตทิงแฮมในปีพ.ศ. 2517 ในปีเดียวกันนั้นเขากลับมายังมาเลเซียและเข้าทำงานที่ธนาคารแห่งชาติมาเลเซีย และต่อมาไปทำงานในบริษัทเปโตรนาส[4] ข้อกล่าวหาการทุจริตในปี 2552 หลังจากที่พึ่งเข้ารับตำแหน่งใหม่ ๆ รัฐบาลของราซัก ได้จัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่ชื่อว่า 1Malaysia Development Berhad หรือกองทุน 1MDB ขึ้น โดยเป็นกองทุนของรัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อแสวงหากำไรโดยเฉพาะ รัฐบาลของราซักแถลงว่ากองทุนนี้จะทำให้กรุงกัวลาลัมเปอร์เป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาค และหวังให้มาเลเซียเป็นประเทศรายได้สูงภายในปี 2563 อย่างไรก็ตาม กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินี้แตกต่างจากกองทุนความมั่งคั่งฯ ของประเทศอื่น ๆ คือใช้เงินกู้แทนที่จะเป็นเงินจากทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ กองทุนนี้ได้กู้ยืมเงินจากต่างประเทศและสร้างหนี้มหาศาลแก่รัฐบาลมาเลเซีย โดยยอดหนี้ในปี 2558 คิดเป็นมูลค่ากว่า 4.2 หมื่นล้านริงกิต[5] ในปี 2558 กองทุนได้ผิดนัดชำระหนี้มูลค่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐแก่เจ้าหนี้ต่างชาติ และในปีต่อมา Wall Street Journal ได้เปิดเผยว่า โครงการส่วนใหญ่ที่กองทุน 1MDB ไปลงทุน ซึ่งรวมถึงแหล่งน้ำมันและเหมืองแร่ในต่างประเทศนั้น ไม่สร้างผลกำไร หลังจากที่ได้มีการเปิดเผยเรื่องนี้ อัยการสูงสุด อับดุล ปาลาอิล เริ่มสืบสวนเชิงลึกว่าเงินจากกองทุนนี้ได้ไปยังที่ใดบ้าง และได้ปรากฏหลักฐานว่าตั้งแต่มีนาคม 2556 ถึงกุมภาพันธ์ 2558 มีเงินจำนวนรวมกว่า 681 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2,672 ล้านริงกิต) ได้ถูกโอนจาก 1MDB ไปยังบัญชีส่วนตัวของนาจิบ[6][7] การเปิดเผยดังกล่าวได้ก่อให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ในกัวลาลัมเปอร์เรียกร้องให้นาจิบลาออก แม้แต่คนในคณะรัฐมนตรีของเขาก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เขา ซึ่งบุคคลเหล่านั้นได้ถูกนาจิบปรับออกในการปรับคณะรัฐมนตรีกลางวาระ โดยนาจิบให้เหตุผลในการปรับออกว่า เขาต้องการทีมที่มีเอกภาพมากกว่านี้[8] ต่อมาในวันที่ 3 สิงหาคม 2558 สำนักงานป.ป.ช.ของมาเลเซียได้ออกมาแถลงว่า เงินโอนดังกล่าวเป็นเงินบริจาค ไม่ใช่เป็นเงินจากกองทุนฯ แต่ไม่ได้ระบุว่าใครเป็นผู้บริจาคและบริจาคทำไม[9][10] หลังจากนั้นไม่กี่วัน สมาชิกพรรคอัมโนได้ออกมาแถลงว่า เงินบริจาคดังกล่าวเป็นเงินจากซาอุดีอาระเบียเพื่อเป็นการตอบแทนที่ช่วยสู้กับกลุ่มรัฐอิสลาม และยังเสริมอีกว่าชุมชนมุสลิมในประเทศฟิลิปปินส์และในภาคใต้ของไทยก็ได้รับเงินบริจาคดังกล่าวเช่นกัน[11] ในเดือนกันยายน 2558 สำนักข่าว New York Times รายงานว่า ทางการสหรัฐกำลังสืบสวนข้อกล่าวหาการทุจริตดังกล่าวเช่นกัน และมุ่งเป้าไปที่ทรัพย์สินในสหรัฐอเมริกาที่นาจิบได้ซื้อผ่านบริษัทนอมินีในตลอดหลายปีที่ผ่านมา[12] นาจิบยังได้ปลดอัยการสูงสุด อับดุล ปาตาอิล ออกและแต่งตั้งคนใหม่ คือนายโมฮัมเหม็ด อาลี เข้ามาแทน โดยอัยการสูงสุดคนใหม่ได้แถลงว่า "ผมขอยืนยันโดยอิงตามหลักฐาน...ว่าเงินจำนวน 681 ล้านดอลลาร์ที่ได้ถูกโอนไปยังบัญชีส่วนตัวของนายกฯ นาจิบ ราซัก นั้น เป็นเงินบริจาคส่วนตัว...จากราชวงศ์ซาอุดีอาระเบีย" ในขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศและการคลังของซาอุดีอาระเบียกล่าวว่าไม่พบข้อมูลการส่งเงินของขวัญดังกล่าว[13] แหล่งข่าวที่ไม่สามารถเปิดเผยชื่อ[14] ได้ออกมาเปิดเผยว่านาจิบได้คืนเงินจำนวน 620 ล้านดอลลาร์แก่ราชวงศ์ซาอุแล้วในปี 2556 แต่ไม่มีคำอธิบายว่านาจิบได้ทำอะไรกับเงิน 61 ล้านดอลลาร์ที่ไม่ได้คืนไป[15] ดูเพิ่มอ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|