ประวัติศาสตร์ศรีลังกา
ประวัติศาสตร์ศรีลังกา เริ่มต้นเมื่อ 30,000 ปีที่แล้ว พงศาวดารกล่าวไว้ว่ากษัตริย์สิงหลนั้นมีในศตวรรษที่6 และบางคนกล่าวว่ามีเรื่องรามายนะ มหาภารตะ พระพุทธศาสนานั้นเข้ามาในศตวรรษที่3 ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช จนศตวรรษที่16 ดินแดนชายทะเลบางส่วนตกเป็นของโปรตุเกส อังกฤษ และดัชช์ ในเวลาต่อมาจึงตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ จนกระทั่งปีค.ศ. 1948 ศรีลังกาได้รับเอกราชแต่ยังอยู่ในการปกครองของจักรวรรดิอังกฤษ จนกระทั่งปีค.ศ. 1972กลายเป็นสาธารณรัฐจนกระทั่งหกปีต่อมาได้มีรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศ ทำให้ประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐ แต่ต่อมาก็เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างชาวสิงหลกับชาวทมิฬ นานถึง25ปี โดยยุติลงด้วยชัยชนะของรัฐบาลศรีลังกา ภายใต้การนำของมหินทะ ราชปักษา ยุคก่อนประวัติศาสตร์ของศรีลังกาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของศรีลังกานั้นมีอายุประมาณ 34,000 ปีมาแล้ว โดยระบุว่าอาศัยอยู่ในถ้ำที่ชื่อ Fa-Hien rock มีสิ่งประดิษฐ์มากมายจึงทำให้คนรู้ว่าเกาะนี้เคยมีคนอาศัยอยู่ ต่อมาได้ค้นพบข้าวโอ๊ตและข้าวบาเลย์ในที่ราบ นอกจากนี้นั้นยังค้นพบเครื่องเคลือบดินเผาเศษไม้ย่าง ศรีลังกาเป็นถิ่นกำเนิดของอบเชยเพราะมีการค้นพบในอียิปต์โบราณและคัมภีร์ไบเบิลเคยกล่าวไว้ด้วย ในยุคเหล็กค้นพบในเมืองอนุธาธปุระ โดยเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของเมืองขนาดใหญ่ 500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ศรีลังกาพัฒนาอารยธรรมไฮโดรลิคได้ดีทั้งสร้างอ่างเก็บน้ำใหญ่และเขื่อนขนาดใหญ่ระดับโลกเช่นเดียวกับพีระมิด และเจดีย์ในศรีลังกาเยอะเป็นจำนวนมาก ยุคโบราณของศรีลังกาในสมัยนั้นเคยมีบันทึกของพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่ง ว่าพระเจ้าอโศกมหาราชนั้นทรงขึ้นครองราชย์สมบัติเมื่อ218ปีที่แล้ว หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานลงและเขายังได้เก็บดังที่ตำนานของชาวสิงหลว่าเกิดจาการคาดคะเนกันระหว่างตำนานสิงโตกับเจ้าหญิงมนุษย์ ศรีลังกานั้นยังเคยปรากฏชื่อแผนที่ในยุคโบราณของปโตเลมี โดยในสมัยนั้นมีชาวกรีกและชาวจีนเข้าร่วมค้าขายกับลังกา โดยใช้ท่าเรือ Mahathitha เป็นท่าเรือที่เชื่อมโยงไปยังอินเดียและเปอร์เซีย อาณาจักรอนุธาธปุระในยุคแรกอาณาจักรนั้นเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับเกษตรกรรมเป็นหลัก ถิ่นฐานช่วงแรกอยู่ทางแม่น้ำทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือต่อมาลูกชายของพระเจ้าอโศกมหาราชได้นำต้นโพธิ์ผ่านเมืองJambukola ทำให้ในสมัยนี้มีความเจริญทางด้านพระพุทธศาสนา ต่อมาทมิฬเข้าโจมตีทางภาคใต้ของศรีลังกา ทมิฬเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการรุกครั้งนี้ เมื่อโรมัน เข้ามาค้าขายทมิฬกับศรีลังกาแต่เศรษฐกิจปกครองไม่นานเพราะจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายลง จนมีสมัยหนึ่งที่เถรวาทเสื่อมลงและกลับมาเจริญเติบโตอีกครั้ง ยุคศรีลังการาชอาณาจักรRohana นั้นได้สร้างขึ้นมาและชนะทมิฬ กษัตริย์มีดังนี้ กบฎโซลาในศรีลังการะยะเวลาในการปกครองศรีลังกาของโชลาเริ่มขึ้นเมื่อค.ศ. 993 เมื่อราชาโซลาทรงทัพใหญ่ที่เอาชนะกองทัพอนุธาธปุระ และได้สถาปนาให้เป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ อาณาจักรโปโฬนนะรุวะโปโฬนนะรุวะเป็นอาณาจักรที่สองที่สำคัญของศรีลังกา อาณาจักรแห่งนี้ถูกอาณาจักรอนุธาธปุระถูกโซลายึดครอง อาณาจักรทัมพเทณิยะพระเจ้าพาราคามาบาฮู สถาปนาอาณาจักรในทัมพเทณิยะ เขายังได้สร้างวัดศักดิ์สิทธ์ในเมืองแห่งนี้ อาณาจักรศิตาวกะเป็นอาณาจักรดำรงอยู่ไม่นานภายใต้อิทธิพลของโปรตุเกส อาณาจักรกัณฏิอาณาจักรกัณฏิตั้งอยู่ทางตอนกลางและทางตะวันออกของเกาะ สถาปนาขึ้นในต้นศตวรรษที่ 15 และเสียเอกราชต่ออังกฤษในปี 1818 อาณานิคมเกาะลังกาโปรตุเกสเป็นชาติแรกที่ไปเยือนเกาะลังกา จนโปรตุเกสกดดันจนชาวสิงหลต้องย้ายไปยังกรุงกัณฏิ ชาวสิงหลส่วนใหญ่ถูกโปรตุเกสบังคับให้นับถือศาสนาคริสต์โดยเฉพาะแถบชายฝั่งทะเล จนกษัตริย์กรุงกัณฏิต้องขอความช่วยเหลือต่อเนเธอร์แลนด์ กษัตริย์กรุงกัณฏิทำสนธิสัญญากับเนเธอร์แลนด์ในปี 1638 เนเธอร์แลนด์นั้นผูกขาดการค้ากับศรีลังกากำจัดโปรตุเกสและคาทอลิก ยกเว้นอาณาจักรกัณฏิ ในปี 1659 กัปตันเรือชาวอังกฤษชื่อ โรเบิร์ด น็อกซ์ ถูกจับโดยกษัตริย์กัณฏิพร้อมลูกเรืออีก 16 คน เขาหนีเมื่อ 19 ปีต่อมา บันทึกของเขาทำให้อังกฤษเริ่มสนใจเกาะนี้มากขึ้น เยอรมนีเขียนแผนที่ของประเทศศรีลังกาในระหว่างสงครามสหราชอาณาจักรเกรงว่าอังกฤษจะได้ครอบครองฝรั่งเศส ต่อมาชาวเนเธอร์แลนด์ในศรีลังกาได้สร้างอาณานิคมเล็กๆขึ้นมา เมื่ออังกฤษยึดศรีลังกาได้เขาได้ทราบว่ามีชาและกาแฟมากมายในศตวรรษที่19 ชาซีลอนไก้กลายเป็นชาที่มีชื่อเสียง แต่แรงงานเหล่านี้นั้นถูกใช้งานอย่างกับทาส เนื่องจากชาวสิงหลยังน้อยไปนั้นจึงได้นำชาวทมิฬจากทางใต้ของอินเดีย เข้ามาทำงานจนศรีลังกาเศรษฐกิจเริ่มค่อนข้างเจริญเติบโต การเคลื่อนไหวอย่างอิสระในศรีลังการัฐบาลซีลอนออกมารณรงค์การปกครองตนเองและยังปฏิเสธชาวทมิฬในศรีลังกา ทำให้เกิดเหตุการณ์คนหัวรุนแรง ขณะเดียวกันซีลอนเริ่มปฏิรูปประเทศ พวกเขาต้องการให้ใช้ภาษาสิงหลและทมิฬแทนภาษาอังกฤษ ทำให้คนงานบางส่วนออกมาประท้วงและนองเลือดเพียงเล็กน้อย จนทมิฬออกมาบอกว่า ความภาคภูมิใจทมิฬ และประกาศตัวเป็นทมิฬและสนับสนุนระบบวรรณะและอ้างว่าคุ้มครองสิทธิของชนกลุ่มน้อยซึ่งมีเพียง35เปอร์เซนต์ และยังกล่าวหาอังกฤษว่ายึดดินแดนทมิฬเดิมไปแต่ชาวพุทธไปสนับสนุนอังกฤษ จนต้องเปิดเส้นทางรถไฟจาฟ-โคลัมโบ ทำให้ชาวทมิฬเพิ่มมากขึ้น ศรีลังกาในสงครามโลกครั้งที่สองศรีลังกาเป็นฐานทัพอังกฤษในเอเชียใต้เพื่อเข้าสู้กับกองกำลังจักรวรรดิญี่ปุ่น ช่วงนั้นได้เกิดเหตุการณ์ผู้นำฝ่ายค้านที่สนับสนุนลัทธิมาร์กซ์ เจ้าอาณานิคมได้จับกุมจนกระทั่งบางส่วนได้หลบหนีไปยังอินเดีย จนกระทั่งค.ศ.1944 ได้รับอิสระในการปกครองตนเอง หลังสงครามผู้นำศรีลังกา นายดอนสตีเฟ่น เสนานายาเก ในเรื่องของความเป็นอิสระพยายามแก้ไขได้จุดมุ่งหมายของเสรีภาพ ต่อมาสุญญากาศทางด้านการเมืองในทมิฬเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง โดยทมิฬเริ่มมีอำนาจอธิปไตยเพิ่มมากขึ้น อิสรภาพ4 กุมภาพันธ์ 1948 มีการทำสนธิสัญญากับอังกฤษ ศรีลังกาโดยนายเสนานายาเก เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของศรีลังกา โดยชาวทมิฬเริ่มกดดันนายเสนานายาเก ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่ที่จ่ายให้ชาวทมิฬนั้นเป็นของชาวสิงหลเป็นส่วนใหญ่ โดยส่วนใหญ่ผู้ที่เรียกร้องทำชา 1956-1972ในปี1956 ศรีลังกาได้บัญญัติให้ภาษาทมิฬเป็นภาษาที่สอง สี่ปีต่อมาสิงหลได้ยอมรับภาษาสิงหล เป็นภาษาแรกทำให้คนส่วนใหญ่เลือกไปอยู่ต่างประเทศมากกว่าอยู่ประเทศตัวเอง สองปีต่อมาได้มีการขัดแย้งระหว่างชาวสิงหลกับทมิฬเรื่องภาษา สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาวันที่22 พฤษภาคม 1972 รัฐธรรมนูญ 1978เมื่อศรีลังกาเริ่มเป็นรูปร่างมากขึ้น รัฐธรรมนูญได้เขียนการกำกับดูแลประเทศศรีลังกา ให้สัมปทานแก่ทมิฬ และได้เพิ่มทมิฬเป็นภาษาประจำชาติควบคู่กับสิงหล แต่นโยบายการเข้ามหาวิทยาลัย ยากขึ้นนอกจากนี้ยังเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้กับข้าราชการทมิฬ รัฐบาลวางแผนป้องกันการก่อการร้ายที่เป็นแค่มาตรการชั่วคราว จนผู้ก่อการร้ายเพิ่มขึ้นและนายหหารตำรวจเริ่มตอบโต้เพื่อยั่วรัฐบาล จนกองโจรเล็กๆกลายเป็นขนาดใหญ่เช่นพยัคฆ์ทมิฬ(LTTE) สงครามกลางเมืองเกิดขึ้นหลังจากการฆ่าทหาร 13 นายของศรีลังกา เกิดการจลาจลทางตอนเหนือและทางตะวันออกของศรีลังกา ยอดผู้เสียชีวิตประมาณ21,000คน บ้านถูกทำลาย5,000หลัง จนเกิดทมิฬพลัดถิ่น ในปี2005 นายมหินทะ ราชปักษาเปิดฉาเผด็จศึกกับทมิฬจนปี 2009 ทมิฬเป็นฝ่าพ่ายแพ้ หลังทำสงครามมา26 ปี ปัจจุบันประธานาธิบดีชื่อไมตรีพาลา ศิริเสนา |