ผกากรอง
ผกากรอง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Lantana camara)[4] เป็นไม้พุ่มยืนต้นหรือไม้พุ่มกึ่งเลื้อยในวงศ์ผกากรอง (Verbenaceae) พืชพื้นเมืองในทวีปอเมริกาชนิดนี้[5][6] ได้รับการนำเข้าไปปลูกเป็นไม้แต่งสวนในหลายประเทศและกลายเป็นพืชต่างถิ่นรุกรานในภูมิภาคเขตร้อน[7] มีทรงพุ่มทึบจากกิ่งก้านแตกแขนงจำนวนมากและใบที่ขึ้นดกหนา ดอกเป็นดอกย่อยช่อกระจุกหลายสีจากอายุของดอกและการบานต่างเวลากัน ดอกเป็นทรงปากแตร มีกลิ่นฉุน ขนตามลำต้นเมื่อถูกผิวหนังทำให้คัน ถ้ารับประทานทำให้ปวดท้อง อาเจียน กล้ามเนื้ออ่อนแรง หายใจขัด หมดสติ[8] ชาวโอรังอัซลีในรัฐเปรัก ประเทศมาเลเซียนำใบไปต้มกับน้ำ ใช้ฉีดพ่นไล่แมลง[9] ผกากรองมีความสามารถในการเอาชนะพืชพันธุ์พื้นเมือง ซึ่งนำไปสู่การลดความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่นั้น ๆ[10] นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดปัญหาความเป็นพิษต่อปศุสัตว์เมื่อรุกรานเข้าในพื้นที่เกษตรกรรม รวมทั้งความสามารถของผกากรองในการสร้างพุ่มไม้หนาทึบซึ่งยากต่อการกำจัดและหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่แวดระวังอาจสามารถลดผลผลิตของพื้นที่เพาะปลูกได้อย่างมาก[11] และยังเป็นพืชที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดไฟป่าให้สูงขึ้น[12] ลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้พุ่มยืนต้นกึ่งเลื้อยขนาดเล็ก แตกแขนงกิ่งก้านสาขามาก มีพุ่มไม้ที่ทึบในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย[13] ความสูงของต้นประมาณ 1–2 เมตร ลำต้นและก้านเป็นสี่เหลี่ยม ตามลำต้นเป็นร่องอาจมีขนหนามเล็กน้อย หรืออาจปกคลุมทั่วทั้งต้น รากตื้นประมาณ 10–30 เซนติเมตรจากผิวดิน[11] ใบเดี่ยว รูปไข่สีเขียวเข้ม ขอบใบจัก ปลายใบแหลม เส้นใบเห็นเป็นร่องชัดเจน เส้นใบมีลักษณะย่น ก้านใบยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ใบออกตรงข้ามกัน ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2–3.5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 3–9 เซนติเมตร ผิวใบด้านบนหยาบ ด้านท้องใบมีขนเล็ก ๆ เมื่อลูบจะรู้สึกระคายมือ ใบขึ้นดกหนา เมื่อขยี้ดมจะมีกลิ่นฉุน และเนื่องจากมีการคัดเลือกพันธุ์อย่างกว้างขวางตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 17 และ 18 เพื่อใช้เป็นไม้ประดับปัจจุบัน จึงมีพันธุ์ปลูกผกากรอง (L. camara) ที่แตกต่างกันออกไปมากมาย ดอกเป็นช่อเรียงเป็นกระจุกในบริเวณขั้วดอก ช่อดอกรูปกึ่งทรงกลม มีดอกขนาดเล็กจำนวนมาก แต่ละดอกมีสี่กลีบ ดอกเป็นรูปแตร มีท่อยาวปลายกลีบดอกบานออก ดอกจะทยอยบานจากด้านนอกเข้าไปในช่อดอก กลีบดอกมีหลายสี เช่น ขาว เหลืองนวล ชมพู ส้ม แดง หรือมีหลายสีในช่อดอกเดียวกัน ผลมีขนาดเล็กรูปทรงกลม ผลอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่จะมีสีน้ำเงินม่วงเข้มเกือบดำ และการสืบพันธุ์ของเมล็ดเกิดขึ้น ผกากรองแต่ละต้นสามารถผลิตผลได้มากถึง 12,000 ลูก[14] ซึ่งนก เช่น นกกระติ๊ดขี้หมู และสัตว์อื่น ๆ กินและช่วยแพร่กระจายเมล็ดพืชไปในระยะทางไกล ๆ การเปลี่ยนแปลงสีดอกการมีหลายสีในช่อดอกเดียวกันของผกากรอง เกิดจากความแตกต่างของตำแหน่งบนช่อดอก การคัดเลือกพันธุ์ และอายุของดอก กล่าวคือหลังจากผสมเกสรแล้วสีของดอกไม้จะเปลี่ยนไป (โดยทั่วไปจากสีเหลือง เป็นสีส้มสีชมพูหรือสีแดง) ซึ่งเชื่อว่าเป็นสัญญาณให้แมลงผสมเกสรให้รู้นัยยะของสีทั้งก่อนและหลังการเปลี่ยนสี ดึงดูดให้เข้าหาดอกที่ยังไม่ได้รับการผสมเกสร และการเปลี่ยนสีนั้นเสมือนเป็นรางวัลให้แมลงรับรู้ว่าได้ช่วยดอกนั้นให้ผสมติดแล้ว ซึ่งเป็นกลยุทธ์ของดอกไม้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผสมเกสรของแมลง[15] การกระจายพันธุ์ผกากรอง (L. camara) เป็นพืชพันธุ์พื้นเมืองของอเมริกากลางและอเมริกาใต้ แต่ได้ถูกกระจายพันธุ์ใน 60 ประเทศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก[16][17] ปัจจุบันพบได้บ่อยในแอฟริกาตะวันออกและตอนใต้ที่ระดับความสูงต่ำกว่า 2,000 ม. มักกระจายพันธุ์เข้าไปในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมซึ่งเกิดจากการตัดไม้เพื่อการค้าเนื้อไม้ และพื้นที่แผ้วถางเพื่อการเกษตร[18] ผกากรองแพร่กระจายไปในแอฟริกา ยุโรปใต้ เช่น สเปน และโปรตุเกส รวมถึงตะวันออกกลาง อินเดีย เอเชียเขตร้อน เช่น ประเทศไทย เวียดนาม มาเลเซีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสหรัฐอเมริกา รวมทั้งหมู่เกาะในมหาสมุทรแอตแลนติก แปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย[19][20] ผกากรองกลายเป็นวัชพืชที่สำคัญในศรีลังกาซึ่งเล็ดลอดออกจากสวนพฤกษศาสตร์หลวงในปี พ.ศ. 2469[21][22] การแนะนำผกากรองให้ปลูกในฟิลิปปินส์เป็นส่วนหนึ่งของโครงการแลกเปลี่ยนระหว่างสหรัฐอเมริกาและฟิลิปปินส์ (ซึ่งนำไปจากฮาวาย) ซึ่งได้เล็ดลอดสู่ธรรมชาติและกลายเป็นพืชพันธุ์พื้นเมืองในหมู่เกาะต่าง ๆ ของฟิลิปปินส์[23] พื้นที่การกระจายพันธุ์ของผกากรองยังคงเพิ่มขึ้น จากข้อมูลในปี 2517 ไม่เคยพบผกากรองในเกาะหลายแห่ง ได้แก่ หมู่เกาะกาลาปากอส ไซปัน และหมู่เกาะโซโลมอน แต่พบเห็นได้ปัจจุบัน[20] ความสามารถในการกระจายพันธุ์ของผกากรอง (L. camara) ซึ่งเป็นไปอย่างรวดเร็วในพื้นที่ป่าเดิมที่ถูกรบกวน ป่าเสื่อมโทรม โดยเฉพาะในประเทศที่มีพื้นที่ที่มีการตัดไม้ การแผ้วถางเพื่อการเกษตร และไฟป่าที่เกิดโดยธรรมชาติและด้วยมือมนุษย์ ในทางตรงกันข้ามในประเทศที่มีพื้นที่ส่วนใหญ่ของป่าหลักที่ยังคงสมบูรณ์ การกระจายของผกากรอกลับเป็นไปอย่างจำกัด[24][25] ไม่มีหลักฐานว่าเข้ามาในประเทศไทยเมื่อใด สันนิษฐานว่าคงเข้ามาในช่วง 100–200 ปีนี้เอง นิเวศวิทยาผกากรองถูกนำเข้าเป็นไม้ดอกในหลายประเทศเนื่องจากดอกที่หลากสีและใบที่ดกปกคลุมผิวดิน จัดเป็นพรรณไม้ดอกกลางแจ้งที่มีอายุหลายปี ชอบแสงแดดจัด และสภาพค่อนข้างแห้งแล้ง เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทรายและระบายน้ำได้ดีมากกว่าดินชุ่มชื้นหรือดินเหนียว จึงจัดเป็นพืชที่มีความแข็งแรงทนทานมาก และมักพบขึ้นตามป่าละเมาะที่ค่อนข้างโปร่งและแห้งแล้ง พืชชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกรานผกากรองเป็นวัชพืชที่พบได้ตามทุ่งหญ้าทั่วไป มักอยู่เป็นพุ่มต่ำ ในหลายพื้นที่และภูมิภาคของโลกถือว่าเป็นวัชพืชรุกราน [26] เนื่องจากมีความสามารถสูงในการเจริญขึ้นและขยายพันธุ์ได้ดีตามธรรมชาติ มักขยายเผ่าพันธุ์และทำลายความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ที่ผกากรองได้เติบโตอยู่ เมื่อพุ่มของผกากรองเติบโตหนาแน่นมากขึ้นจะส่งผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวของป่าไม้ที่ลดลง เนื่องจากต้นผกากรองสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชชนิดอื่นได้ ผกากรองเป็นพืชที่ทนต่อไฟป่า และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดไฟป่าให้สูงขึ้นและมีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากต้นผกากรองจะมีคุณสมบัติเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี และบางครั้งสามารถเลื้อยไปบนต้นไม้อื่นได้สูงถึง 20 เมตร ทำให้ไฟป่าลุกลามไปถึงบริเวณเรือนยอด ซึ่งมักจะเกิดได้ในบริเวณที่แห้งแล้งหรือป่าดิบแล้งซึ่งไฟป่าสามารถลุกลามไปได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ระบบนิเวศบริเวณนั้นถูกทำลายได้[12][27] พุ่มของต้นผกากรองจะไปยับยั้งการเติบโตของพืชไร่ทำให้เกษตรกรเก็บเกี่ยวผลผลิตได้น้อยลง และยังก่อให้เกิดผลกระทบอื่น ๆ ตามมา คือ แมลงที่เป็นพาหะโรคมักชอบมาหลบอาศัยอยู่ในพุ่มผกากรอง เช่น ยุงซึ่งเป็นพาหะนำโรคมาลาเรีย และแมลงวันเซทซีซึ่งเป็นพาหะนำโรคเหงาหลับอีกด้วย สาเหตุที่ผกากรองประสบความสำเร็จในการรุกรานไปยังพื้นที่ต่าง ๆ นั้น ประกอบด้วย
ภูมิภาคและพื้นที่การรุกรานแบบวงกว้างของผกากรอง ได้แก่ ประเทศเอธิโอเปีย เคนยา แอฟริกาใต้ มาดากัสการ์ อูกันดา ประเทศอินเดียตอนเหนือและใต้ในรัฐชัมมูและกัศมีร์ ปัญจาบ หิมาจัลประเทศ ราชสถาน อุตตรประเทศ มัธยประเทศ อัสสัม กรณาฏกะ ทมิฬนาฑู และประเทศศรีลังกา[26] พิษวิทยาผกากรองทุกส่วนเป็นพิษต่อปศุสัตว์ เช่น วัว แกะ ม้า และแพะ รวมถึงสุนัขและมนุษย์[11][28][29] สารออกฤทธิ์ที่ก่อให้เกิดความเป็นพิษในสัตว์กินหญ้า คือ เพนตาไซคลิกไตรเทอร์พีนอยด์ ซึ่งส่งผลให้ตับถูกทำลาย และอาการผิวหนังไวต่อแสง[30] ผกากรองยังขับสารอัลลีโลพาธีซึ่งยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชโดยรอบ โดยทำลายการงอกและการยืดตัวของราก[31] ความเป็นพิษของผลผกากรองต่อมนุษย์นั้นไม่เป็นที่แน่ชัด โดยมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่าการกินผลผกากรองอาจเป็นพิษต่อมนุษย์ได้ เช่น การศึกษาของ O P Sharma ซึ่งระบุว่า "ผลไม้ที่ยังไม่สุกสีเขียวเป็นพิษต่อมนุษย์"[32] อย่างไรก็ตามการศึกษาอื่น ๆ พบหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าผลของผกากรอง (L. camara) อาจไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อมนุษย์เมื่อรับประทาน และอาจรับประทานได้เมื่อสุก[33][34][35][36] อาการในมนุษย์เมื่อกินผกากรองส่วนใดส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะใบและผลดิบ ได้แก่
การรุกรานในประเทศไทยผกากรองบางสายพันธุ์เป็นวัชพืชที่พบได้ทั่วประเทศ พบการระบาดในจังหวัดแม่ฮ่องสอนและกาญจนบุรี[39] การจัดการและการควบคุมการจัดการที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมระยะยาวในผกากรอง (L. camara) ที่รุกราน ต้องมีการลดกิจกรรมการทำลายแหล่งอาศัยตามธรรมชาติของพืชพันธุ์พื้นเมืองเดิมให้เสื่อมโทรม การรักษาความแข็งแรงของระบบนิเวศพื้นเมืองเดิมให้สามารถทำงานได้เป็นปกติ (ระบบนิเวศพื้นเมืองที่สมบูรณ์ซึ่งทำงานได้เองตามธรรมชาติ) เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันไม่ให้วัชพืชรุกรานอย่างผกากรอง เข้ามาสร้างอาณานิคมใหม่และเข้ามาลดการความสามารถในการแข่งขันของสัตว์และพืชพื้นเมืองเดิม ทางชีวภาพแมลงที่เป็นศัตรูตามธรรมชาติและสารควบคุมทางชีวภาพอื่น ๆ ได้รับการปรับใช้ในระดับความสำเร็จที่แตกต่างกันในการควบคุมผกากรอง ซึ่งเป็นวัชพืชชนิดแรกที่อยู่ภายใต้การควบคุมทางชีวภาพ อย่างไรก็ตามไม่มีโครงการใดที่ประสบความสำเร็จ แม้จะมีการใช้ตัวควบคุม 36 อย่างใน 33 ภูมิภาค การไม่ประสบความสำเร็จในการควบคุมทางชีวภาพในกรณีของผกากรอง น่าจะเกิดจากผกากรองมีพันธุ์ลูกผสมมากมาย คือมีความหลากหลายทางพันธุกรรมที่กว้างขวางซึ่งทำให้ยากในการควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ การศึกษาล่าสุดในอินเดียแสดงให้เห็นผลลัพธ์ เกี่ยวกับการควบคุมทางชีวภาพของพืชชนิดนี้โดยใช้มวนปีกแก้ว (Tingidae)[40] แรงงานและเครื่องจักรกลการเกษตรการควบคุมด้วยเครื่องจักรกลการเกษตรในการจัดการผกากรองต้องพึ่งการใช้แรงงาน การกำจัดผกากรองด้วยแรงงานมนุษย์อาจได้ผลดี ด้วยการวิธีถางและขุดเอารากออก แต่ต้องใช้แรงงานมากและมีต้นทุนค่าแรงที่สูง[41] วิธีนี้มักจะเหมาะสมเฉพาะในพื้นที่ขนาดเล็ก หรือในระยะแรกของการเข้าทำลายของผกากรอง วิธีการควบคุมเครื่องจักรกลอีกวิธีหนึ่งคือการปราบด้วยไฟและตามด้วยการปลูกพืชพันธุ์พื้นเมือง ในบางพื้นที่มีการขุดรากถอนโคนของต้นผกากรองในธรรมชาติมาปรับปรุงให้เป็นไม้กระถางประดับที่มีความสวยงามได้[39] สารเคมีการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชในการจัดการผกากรอง มีประสิทธิภาพมาก แต่ก็มีต้นทุนที่สูงในประเทศที่ยากจนซึ่งมักไม่เป็นที่ยอมรับ วิธีที่ได้ผลที่สุดในการปราบผกากรองทางเคมี คือการดายหญ้าบริเวณนั้นก่อนการฉีดพ่นด้วยน้ำยาฆ่าวัชพืช ซึ่งวิธีนี้จะส่งผลร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม และยังถูกห้ามใช้ในหลายประเทศที่มีการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและผู้บริโภคอย่างเข้มงวด ระเบียงภาพอ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ ผกากรอง วิกิสปีชีส์มีข้อมูลภาษาอังกฤษเกี่ยวกับ ผกากรอง
|