พนิช วิกิตเศรษฐ์
พนิช วิกิตเศรษฐ์ (เกิด 4 กันยายน พ.ศ. 2506) ชื่อเล่น หนุ่ม อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สมัยอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร อดีตรองหัวหน้าตามภารกิจพรรคประชาธิปัตย์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (กษิต ภิรมย์) ประวัติและครอบครัวพนิช เกิดเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2506 ที่ กรุงเทพมหานคร ชื่อเล่น หนุ่ม เป็นบุตรของนายนิตย์ และหม่อมหลวงสมพงศ์วดี วิกิตเศรษฐ์ (สกุลเดิม: จักรพันธุ์) สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษา จาก Wilbraham & Monson Academy รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีและปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยบอสตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2529 ระดับปริญญาโท ด้านการบริหารธุรกิจ จากสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2535 และประกาศนียบัตร หลักสูตรผู้บริหารระดับสูง สถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) รุ่นที่ 6 ด้านครอบครัวสมรสกับนางพัชรีภรณ์ วิกิตเศรษฐ์ (สกุลเดิม: ณ สงขลา) มีบุตร 2 คน [1]หนึ่งในนั้น คือ นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ชัชชาติ สิทธิพันธุ์) พนิชเคยเป็นพิธีกรรายการ เก่งบวกเฮง ออกอากาศเวลา 14.00-15.00 น. ทุกวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ทางบลูสกายแชนแนล โดยเริ่มทำมาตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2555 จนถึงปี พ.ศ. 2556 และโกนศีรษะจนล้านเลี่ยนหมด ทั้งนี้เกิดจากเมื่อครั้งต้องคุกจองจำที่ประเทศกัมพูชา รวมทั้งสิ้น 16 วัน พร้อมกับนายวีระ สมความคิด นายพนิชได้ถูกแมลงสาบในเรือนจำกัดศีรษะจนเป็นแผล จึงได้โกนออกเพื่อรักษาบาดแผล ซึ่งเมื่อพ้นออกมาก็ยังได้ไว้ทรงนี้มาตลอดจนถึงปัจจุบัน พร้อมกับได้ถือศีลปฏิบัติธรรมด้วย[1] งานการเมืองพนิช ร่วมงานการเมืองกับพรรคประชาธิปัตย์ เคยดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สมัยอภิรักษ์ โกษะโยธิน และได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (กษิต ภิรมย์)[2] และได้ลาออกในเวลาต่อมา เพื่อลงสมัครในการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 6 (แทนทิวา เงินยวง) ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2553 และได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เอาชนะก่อแก้ว พิกุลทอง ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย[3] และได้รับการรับรองจากคณะกรรมการการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 พนิช ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในเขต 16 แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง โดยแพ้ให้กับพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ จากพรรคเพื่อไทย ในปี พ.ศ. 2562 ได้รับเลือกตั้งเป็น สส.แบบบัญชีรายชื่อ[4] เหตุถูกทหารกัมพูชาจับกุมวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553 นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ พร้อมกับพวกจำนวน 6 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีนายวีระ สมความคิด รวมอยู่ด้วย ขณะลงพื้นที่ตรวจสอบที่ได้รับเรื่องร้องเรียนว่าทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในเขตไทย บริเวณอำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ได้ข้ามแดนบริเวณหลักเขตแดนที่ 46 บ้านภูมิโจกเจย (บ้านโชคชัย) ตำบลโอเบยเจือน อำเภอโจรว จังหวัดบันทายมีชัย และถูกทหารรักษาชายแดนที่ 503 ของกัมพูชาควบคุมตัว[5] โดยศาลเขตพนมเปญได้ตั้งข้อหาพนิช และพวกในข้อหาเดินทางข้ามพรมแดนโดยผิดกฎหมาย และรุกล้ำเขตทหาร ได้ถูกนำตัวไปขังไว้ในเรือนจำเปรย ซอร์ นอกกรุงพนมเปญ ทางด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การที่พนิชเดินทางไปยังพื้นที่ทับซ้อนโดยไม่มีการประสานงานกับกัมพูชาก่อนเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาชี้แจงการกระทำดังกล่าวถึงสาเหตุและที่มาของการเดินทางเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว และแสดงความเป็นห่วงที่นายวีระ สมความคิด ถูกจับกุมไปด้วย เกรงว่าอาจมีการปลุกกระแสทำให้ปัญหาบานปลาย นายสุนัย จุลพงศธร เปิดเผยว่า ตนพร้อมจะนำประเด็นดังกล่าวมาหยิบยกเป็นหัวข้ออภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งหากนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ส่งไปจริง ก็จะต้องมีการแสดงความรับผิดชอบด้วย[6] ต่อมา นายคมสัน โพธิ์คง นักวิชาการทางด้านกฎหมาย กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า หากนายพนิชถูกศาลกัมพูชาตัดสินว่ามีความผิดจริงอาจพ้นสภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพราะรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ว่าการต้องคำพิพากษาให้จำคุกของศาลเป็นลักษณะต้องห้ามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2554 นายพนิชให้การต่อศาลว่าเดินทางเข้าไปในพื้นที่ เพื่อพบชาวบ้านที่อ้างว่าชาวกัมพูชาย้ายหลักหมุดบนดินแดนของไทย พร้อมกับให้การว่าเป็นการเดินทางเข้าไปโดยอุบัติเหตุ แต่เหมือนจะขัดแย้งกับคำกล่าวของนายพนิชในหลักฐานคลิปวิดีโอ ที่นายพนิชให้ผู้ติดตามเรียนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่า คณะได้ข้ามมาในฝั่งกัมพูชาแล้ว[7] ด้านทนายความเตรียมยื่นประกันตัวในวันที่ 10 มกราคม เพราะศาลกัมพูชายังคงปิดทำการในวันหยุดราชการ โดยคณะคนไทยทั้งเจ็ดถูกนำตัวกลับไปคุมขัง วันที่ 13 มกราคม ปีเดียวกัน มีรายงานว่า ศาลกัมพูชาให้ประกันตัวนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ โดยยังคงอยู่ระหว่างสู้คดีในข้อหาเข้าเมืองผิดกฎหมายและเข้าไปในเขตทหารโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมีเงื่อนไขการประกันตัว ได้แก่ ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ วางเงินประกันคนละ 1 ล้านเรียล (10,000 บาท) และต้องไปรายงานตัวตามนัดเรียก[8] วันที่ 21 มกราคม ปีเดียวกัน ศาลกัมพูชาได้พิจารณาตัดสินคดี ซึ่งกำหนดเดิมคือ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ เมื่อเวลา 19.35 น. ศาลกัมพูชาได้ตัดสินว่านายพนิชและคนไทยอีก 4 คน มีความผิดฐานเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยให้จำคุกคนละ 9 เดือน แต่ให้ลดเหลือ 8 เดือน และให้รอลงอาญาไว้ก่อน หลังจากการตัดสินดังกล่าว ทำให้คนไทยทั้ง 5 คนสามารถเดินทางกลับประเทศได้ทันที เครื่องราชอิสริยาภรณ์
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น |