พระยาธรรมลังกา
พระยาเชียงใหม่น้อยธรรม[2][3] หรือ พระยาธรรมลังกา[4] (พระญาธัมมลังกา) (ไทยถิ่นเหนือ: ) (พ.ศ. 2289 - 2365)[5] เป็นพระยาเชียงใหม่องค์ที่ 2 ในราชวงศ์ทิพย์จักร และเป็นราชบุตรในเจ้าฟ้าสิงหาราชธานีเจ้าฟ้าหลวงชายแก้ว โดยพระองค์ได้ร่วมกับพระเชษฐา และพระอนุชาในการต่อสู้อริราชศัตรูจนได้รับสมัญญานามว่า "เจ้าเจ็ดตน" พระราชประวัติพระยาธรรมลังกาเป็นเจ้าราชโอรสองค์ที่ 3 ในเจ้าฟ้าสิงหาราชธานีเจ้าฟ้าหลวงชายแก้ว เจ้าผู้ครองนครลำปาง กับแม่เจ้าจันทาราชเทวี และเป็นเจ้าราชนัดดา (หลานปู่) ในพระยาไชยสงคราม (ทิพย์ช้าง) (พระญาสุละวะฤๅไชยสงคราม) กับ แม่เจ้าพิมพาราชเทวี ซึ่งเป็นองค์ปฐมวงศ์ "ราชวงศ์ทิพย์จักร" พระยาธรรมลังกา เป็นพระอนุชาของพระเจ้ากาวิละมีพระเชษฏาพระอนุชาและพระขนิษฐา รวม 10 องค์ (หญิง 3 ชาย 7) (เจ้าชายทั้ง 7 พระองค์ได้ทรงช่วยกันต่อสู้อริราชศัตรูขยายขอบขัณฑสีมาล้านนาออกไปอย่างเกรียงไกร เป็นเหตุให้มีพระสมัญญาว่า "เจ้าเจ็ดตน") มีพระนามตามลำดับ ดังนี้
ในปี พ.ศ. 2317 เมื่อพระเจ้ากาวิละ ร่วมมือกับพระยาจ่าบ้าน (บุญมา) และสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ปลดปล่อยล้านนาจากอำนาจของพม่าได้สำเร็จ พระเจ้ากรุงธนบุรีได้สถาปนาพระยาจ่าบ้านเป็นพระยาวิเชียรปราการ เจ้าเมืองเชียงใหม่ เจ้ากาวิละเป็นพระยานครลำปาง และแต่งตั้งเจ้าธรรมลังกาเป็นพระยาราชวงศ์เมืองนครลำปาง[6] และได้เลื่อนอิสริยยศเป็น "พระยาอุปราชเมืองเชียงใหม่" ในปี พ.ศ. 2348 หลังจากพระเจ้ากาวิละถึงแก่พิราลัย (พ.ศ. 2358) ในปี พ.ศ. 2359 พระยาอุปราชน้อยธรรมได้ไปเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเพื่อถวายช้างพลายเผือกเอก จึงทรงตั้งเป็นพระยาเชียงใหม่[7][8] เมื่อกลับถึงเชียงใหม่จึงรับราชาภิเษกในวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 9 เหนือ (ตรงกับวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2359) มีพระนามว่าเสตหัตถีสุวัณณประทุมราชาเจ้าช้างเผือก[9] และเนื่องจากได้ถวายช้างเผือกจึงได้รับสมัญญาว่าพระเป็นเจ้าช้างเผือก[10] (ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่) หรือ พระยาเชียงใหม่ช้างเผือก[3] (พงศาวดารโยนก) พระยาธรรมลังกา ประชวรจนถึงแก่อนิจกรรมในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8 เหนือ (ตรงกับวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2365) สิริอายุได้ 77 ปี[11] ทรงปกครองนครเชียงใหม่รวมทั้งสิ้น 7 ปี ราชโอรส ราชธิดาพระยาธรรมลังกา มีเจ้าราชโอรสและราชธิดา รวม 17 องค์ ดังนี้
พระราชกรณียกิจ
การศาสนาในรัชสมัยของพระเจ้ากาวิละ ได้ร่วมกับเจ้าน้อยธรรมลังกา และขุนนางไพร่ฟ้าในการสร้างวิหารในวัดอินทขีลที่เวียงป่าซาง และวิหารวัดอินทขีล ในกลางเมืองเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2337 ต่อมาในปี พ.ศ. 2360 เจ้าหลวงธรรมลังกา เห็นว่ากู่ลาย วัดพระสิงห์ ได้ทรุดโทรมลงไปมาก จึงดำรให้มีการซ่อมแซมและขุดแต่งพระเจดีย์ดังกล่าว และได้พบของมีค่าเป็นอันมาก ซึ่งก็ให้บรรจุไว้ในที่เดิมแล้วปฏิสังขรณ์พระเจดีย์นั้นต่อจนเสร็จแล้วจึงมีการฉลองใหญ่ และในปีเดียวกันก็ได้สร้างวิหารจตุรมุขของวัดพระธาตุศรีจอมทองขึ้นใหม่ โดยทำการยกเสาเมื่อเดือนหกเหนือ ขึ้น 13 ค่ำ ตรงกับวันพฤหัสบดี พร้อมกันนั้นได้สร้างมณฑปของเสาอินทขีล ที่บริเวณวัดเจดีย์หลวง และยังเริ่มก่อสร้างสถูปในที่ท่ามกลางอุโบสถภิกขุนีในวัดพระสิงห์ และได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุในเดือนแปดเหนือ ขึ้น 10 ค่ำ ปี พ.ศ. 2361 ในปี พ.ศ. 2362 เจ้าหลวงได้ดำริให้มีการฉลองใหญ่ในวัดอุโมงค์ วัดดวงดี วัดสะเพา และวัดพันเท่า ในงานนี้มีการฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ และในเดือนแปดเหนือ ได้ดำริให้ยกเสาวิหารวัดป้านพิง วัดดอกคำ วัดเชียงยืน และวัดบุพผาราม อีกทั้งได้มีการก่อสร้างกำแพงวัดพระธาตุศรีจอมทองด้วย ในปี พ.ศ. 2363 เจ้าหลวงธรรมลังกา ได้ไปนมัสการพระพุทธบาทสี่รอยและได้สร้างวิหารคร่อมรอยพระพุทธบาทนั้น ในเดือนหกเหนือแรม 8 ค่ำ และจากนั้นจึงได้ไปนมัสการพระบาทเจ้าข่วงเพา และสร้างพระพุทรูปขนาดใหญ่ในวัดพระสิงห์ ในปี พ.ศ. 2365 ได้ทำบุญฉลองพระอุโบสถวัดเจดีย์หลวง และในปีเดียวกันนี้เจ้าหลวงธรรมลังกา ได้ทรงผนวชที่วัดเชียงมั่นด้วย ในปีถัดมาได้ทรงดำริให้อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญที่อยู่ในวัดร้างนอกเขตกำแพงเมือง เข้ามาไว้ในตัวเมือง เช่น พระเจ้าแฅ่งฅม ไว้ที่วัดศรีเกิด การขุดเหมืองเมื่อปี พ.ศ. 2360 ได้ทรงดำริให้เสนาข้าราชการและประชาชนขุดเหมือง 3 สาย โดยเริ่มที่จุดรับน้ำจากแจ่งหัวลินไปทางแจ่งสรีภูมิ แล้ววนไปทางแจ่งคะท้ำ สายที่สองไปตามถนนหลวงหน้าวัดดับภัยและวัดพระสิงห์ลงไป สายที่สามเลียบตามเชิงเทินทิศตะวันตกไปทางใต้ ผ่านด้านเหนือของ "หอคำ" แล้วเลี้ยวออกท่อที่แจ่งคะท้ำหน้าวัดซานมูน (วัดทรายมูลพม่า ในปัจจุบัน) โดยให้ก่ออิฐทั้งสองข้างของลำเหมืองทุกสาย ประชาชนในตัวเมืองได้ใช้ประโยชน์จากลำเหมืองทั้งสามสาย การบูรณะกำแพงเมืองในยุคของเจ้าหลวงธรรมลังกา ได้มีการบูรณะซ่อมแซมกำแพงเมืองเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2361 ซึ่งกำแพงดังกล่าวถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้ากาวิละ (พ.ศ. 2339) โดยการบูรณะกำแพงเมือง เริ่มการขุดลอกคูเมืองตั้งแต่แจ่งกูเรืองไปจนถึงประตูไหยา มีความยาว 606 วา จนถึงปี พ.ศ. 2363 ได้เริ่มก่อสร้างกำแพงเมือง โดยเริ่มก่อสร้างในเวลารุ่งเช้า มีการยิงปืนใหญ่สามนัด นิมนต์ครูบาสมเด็จวัดผ้าขาว ครูบาจันทรังสี วัดพระสิงห์ และพระสงฆ์อีก 19 รูป สวดมนต์ โปรยน้ำโปรยทราย และเริ่มก่อสร้างจากแจ่งสรีภูมิเวียนไปทางซ้าย ฐานันดรศักดิ์และพระอิสริยยศ
ราชตระกูล
อ้างอิง
|