พระแสงขรรค์ชัยศรีพระแสงขรรค์ชัยศรี เป็นพระแสงศาสตราวุธประจำองค์พระมหากษัตริย์ และเป็นหนึ่งในห้าของเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์[1][2] พระขรรค์หมายถึง พระสติปัญญาความรอบรู้ในการปกครองบ้านเมือง[3] ประวัติพระแสงขรรค์ชัยศรีองค์นี้มีประวัติอันเก่าแก่เป็นราชสมบัติจากกษัตริย์ขอมเมืองพระนคร (ยโศธรปุระ) ตั้งแต่ยุคนครวัดถึงยุคนครธม มีหลักฐานสำคัญอยู่ในจารึกวัดศรีชุม สมัยอาณาจักรสุโขทัยว่าพระเจ้าแผ่นดินนครธมสมัยนั้น (สันนิษฐานว่าอาจเป็นพระเจ้าอินทรวรมันที่ 2 หรือพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง[4]: 43 ) พระราชทานพระขรรค์ชัยศรีให้พ่อขุนผาเมืองแห่งกรุงศรีสัชนาลัยสุโขทัย พร้อมด้วยธิดานามว่าสุขรมหาเทวี ให้เป็นชายา พระแสงขรรค์ชัยศรีจึงตกเป็นพระราชสมบัติของพ่อขุนผาเมือง ปรากฏคำจารึกในศิลาจารึกวัดศรีชุม (จารึกหลักที่ 2) ความว่า:-
ส่วนคำจารึกวัดป่ามะม่วง (พ.ศ. 1904) อักษรไทยสุโขทัยและอักษรขอมสุโขทัยกล่าวว่า พระแสงขรรค์ชัยศรีเป็นหนึ่งในเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย)[5]: 190 สมัยอยุธยานับตั้งแต่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงสถาปนาอาณาจักรอยุธยาเมื่อปีขาล พ.ศ. 1893[6] พระแสงขรรค์ชัยศรีจึงเป็นสมบัติกรุงศรีอยุธยาเรื่อยมา ใน พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา มีกล่าวถึงรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองว่าทรงมอบเวนราชสมบัติรวมทั้งพระแสงขรรค์ชัยศรีแก่สมเด็จเจ้าฟ้าไชยขณะทรงพระประชวรก่อนเสด็จสวรรคตเพียง 3 วัน ณ พระที่นั่งเบญจรัตน์มหาปราสาทเมื่อจุลศักราช ๑๐๑๗ ปีมะแมสัปตศก (พ.ศ. 2198)[7] จวบจนรัชสมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ เบญจราชกกุธภัณฑ์ก็ได้หายสาบสูญไป รวมทั้งพระแสงขรรค์ชัยศรีซึ่งท้ายสุดไปตกจมอยู่ในโตนเลสาบ ที่เมืองจังหวัดเสียมราฐ ประเทศสยาม ในสมัยนั้น[8] คำให้การชาวกรุงเก่า ระบุว่าพระแสงขรรค์ชัยศรีที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาเป็นพระแสงขรรค์ที่ได้สืบมาจากพระเจ้าปทุมสริยวงศ์ ผู้สร้างพระนครวัดนครธม[9] เมื่อ พ.ศ. 2327 ชาวประมงได้ทอดแหแล้วเห็นพระขรรค์องค์นี้เห็นว่ายังอยู่ในสภาพดีไม่เกิดสนิมผุกร่อนมากมายนักทั้งยังมีลักษณะประณีตเกินกว่าจะเป็นของสามัญชน[2] ชาวประมงผู้นั้นจึงนำมอบให้แก่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) เจ้าเมืองเสียมราฐ แล้วจึงได้ให้ข้าราชการนำพระแสงขรรค์ไปทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช[10] ในวันที่เชิญพระแสงองค์นี้เข้าใกล้เขตพระราชฐาน ได้เกิดฟ้าผ่าในพระนครในระหว่างทางเชิญพระแสงถึง 7 แห่ง[8] และเขตพระบรมมหาราชวัง 2 แห่ง[11] เช่นที่ประตูวิเศษไชยศรี เขตพระราชฐานชั้นนอก ประตูพิมานไชยศรี เขตพระราชฐานชั้นกลาง ซึ่งเป็นทางที่อัญเชิญพระแสงองค์นี้เข้าไปในพระบรมมหาราชวัง[12] พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำด้ามพระขรรค์หุ้มทองคำลงยาราชาวดีลายเทพพนม และทำสักหุ้มทองคำลงยาราชาวดีประดับมณีเสร็จแล้วจึงโปรดเกล้าฯ ให้เชิญเป็นเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อ พ.ศ. 2328[5]: 199 แล้วพระราชทานนามพระแสงขรรค์เล่มนี้ว่า พระแสงขรรค์ชัยศรี[13]: 18 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงวิเคราะห์ว่าพระแสงขรรค์ชัยศรีองค์ปัจจุบันเป็นฝีมือขอมสร้างขึ้นในสมัยที่ขอมมีอํานาจมาก และยังทรงพบพระแสงขรรค์ของเขมรที่ลักษณะเดียวกับพระแสงขรรค์ชัยศรีของไทยที่พระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคลเมื่อคราวเสด็จไปประเทศกัมพูชาเมื่อ พ.ศ. 2467[14]: 8 พระแสงขรรค์ของเขมรมีตำนานว่าพระอินทร์นําพระแสงขรรค์ลงมาประทานพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 พระแสงขรรค์ชัยศรีเป็นพระแสงศาสตราวุธที่สำคัญที่สุดในพระราชพิธีที่สำคัญ ได้แก่ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีศรีสัจปานกาล (หรือพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา) พระราชพิธีฉัตรมงคล เป็นต้น[14]: 8 [13]: 15, 19 อย่างไรก็ตาม พระแสงขรรค์ชัยศรีองค์ปัจจุบันของไทยไม่ใช่ขรรค์ชัยศรีองค์เดียวกับที่พระเจ้าแผ่นดินนครธมพระราชทานแก่พ่อขุนผาเมือง พระแสงขรรค์ของพ่อขุนผาเมืององค์ดังกล่าวเป็นเพียงองค์พระแสงจําลองเท่านั้น[13]: 16 เฉกเช่นเดียวกับพระมหากษัตริย์พระราชทานพระแสงราชศัตราแก่เจ้าเมือง หากแต่พระแสงขรรค์ชัยศรีที่อยู่ในไทยซึ่งหายสาบสูญไปในรัชสมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ที่ถูกพบที่ทะเลสาบ จังหวัดเสียมราฐ ประเทศสยาม ซึ่งเคยเป็นของพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ ราชวงค์ขอมนั้นเป็นองค์จริง[2][13]: 5 แต่ราชวงค์ขอมที่เคยรักษาพระแสงขรรค์องค์นี้ก็ได้สูญสิ้นให้แก่สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) เมื่อคราวการศึกระหว่างขอมกับอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 1974[13]: 18 ต่อมากรุงศรีอยุธยาได้สนับสนุนชาวเขมรพื้นเมืองให้มีอำนาจคอยควบคุมกำจัดราชวงค์ขอมถึงกับให้เขมรได้ให้ครองบัลลังก์แทนราชวงค์ขอม[13]: 18 น่าเชื่อว่าทายาทของราชวงค์ขอมเดิมคงพยายามรักษาพระแสงขรรค์องค์นี้ไว้ เห็นว่าระหกระเหินไปในที่ต่าง ๆ จนไปถึงเมืองเสียมราฐ ผู้ครองสิทธิ์พระแสงขรรค์คนสุดท้ายเห็นว่าคงไม่สามารถรักษาไว้ได้อีก แต่เพื่อไม่ให้ตกไปเป็นของผู้อื่นจึงได้ซ่อนพระแสงขรรค์ไว้ในทะเลสาบ คอยโอกาสที่ราชวงค์ขอมมีอำนาจอีกครั้งเพื่อมากู้คืน แต่ปรากฏว่าราชวงค์ขอมกลับสูญสิ้นไม่มีอำนาจราชบังลังก์เหนือเขมรได้อีก นับว่าเป็นอภินิหารน่าประหลาดอย่างยิ่งที่พระแสงขรรค์ชันศรีองค์นี้กลับตกเป็นสิทธิ์ของราชวงศ์จักรี[13]: 17 ลักษณะสมัยอยุธยาตอนปลายพระแสงขรรค์สวมสักแล้วมีความประมาณ 100 ซม. (2 ศอก) ที่โคนพระขรรค์เป็นเหล็กจำหลักเป็นหน้าราหูต่อขึ้นมาเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณแล้วขึ้นมาเป็นหน้าเทวดาอีกองค์หนึ่ง คร่ำทองที่ลายจำหลักยาวตลอดจนองค์พระขรรค์ ส่วนฝักเป็นทองเกลี้ยงจำหลักเป็นลายเรื่องพระนารายณ์ เป็นฝีมือช่างสมัยอยุธยาตอนปลาย[14]: 8 สมัยรัตนโกสินทร์ลักษณะเป็นพระแสงขรรค์เหล็กเนื้อดีคร่ำทอง เฉพาะองค์พระแสงขรรค์ยาว 64.5 ซม. ความกว้างฝักพระแสงขรรค์ 5.5 ซม. ความยาวพระแสงขรรค์ 25.4 ซม สวมสักแล้วมีความยาว 101 ซม. เมื่อรวมความยาวทั้งด้ามและฝักมีความยาวทั้งสิ้น 115 ซม. และมีน้ำหนักรวม 1,900 กรัม[14]: 8 [5]: 199 ใบพระขรรค์ทำด้วยเหล็กมีคมทั้งสองด้าน ส่วนด้ามทำด้วยแก้วผลึกรูปแปดเหลี่ยม มีทองคาดตามแนวปลายด้ามทำเป็นหัวเม็ดรูปหกเหลี่ยมประดับพลอย ตัวฝักทำด้วยทองคำประดับด้วยลายรักร้อย โคนพระแสงขรรค์จำหลักเป็นรูปเทวดาในเรือนแก้วซ้อนกัน 3 ชั้นคร่ำด้วยทองคำ ฝักจําหลักลวดลายเทพนม ขอบฝักทำเป็นลายกระหนก ประดับอัญมณีสีต่าง ๆ เป็นฝีมือช่างสมัยรัตนโกสินทร์[14]: 8 วัสดุที่ใช้ทำสมัยโบราณกาล การจัดสร้างพระแสงนั้น ผู้สร้างจะเลือกโลหะหรือแร่ต่าง ๆ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ เพื่อสร้างเป็นพระแสงที่มีความศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่เกรงขามของศัตรู โดย ช่างตีดาบหลวง จะนำเนื้อโลหะต่างชนิดนำมาถลุงหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวเพื่อตีขึ้นรูปดาบ จึงเกิดเป็นสูตรของโลหะ 3 ประเภท6 คือ เบญจโลหะ คือ เนื้อโลหะที่หลอมรวมจากเหล็ก 1 ปรอท 1 ทองแดง 1 เงิน 1 และทองคำ 1 สัตโลหะ คือ เนื้อโลหะที่หลอมรวมจากเหล็ก 1 ปรอท 1 ทองแดง 1 เงิน 1 ทองคำ 1 เจ้าน้ำเงิน 1 (ปกติเรียก “เจ้า” เป็นแร่ชนิดหนึ่งสีเขียวเหลือบน้ำเงิน) และสังกะสี 1 นวโลหะ คือ เนื้อโลหะถึง 9 ชนิด คือ เหล็ก 1 ปรอท 1 ทองแดง 1 เงิน 1 ทองคำ 1 เจ้าน้ำเงิน 1 สังกะสี 1 ชิน 1 (โลหะผสมระหว่างดีบุกกับตะกั่ว มีสีเงาวาวมาก และมีน้ำหนักมากเช่นกัน) และทองแดงบริสุทธิ์ 1[15] ต่อมามีการค้นพบโลหะอีกประเภทหลังจากได้มีการคิดค้นสูตรโลหะทั้ง 3 แล้ว กล่าวกันว่าเป็นโลหะที่ดีมีคุณสมบัติสำหรับการทำอาวุธที่สุด คือ “เหล็กน้ำพี้” เพราะ เหล็กน้ำพี้ เป็นโลหะที่มีคุณภาพยอดเยี่ยม เมื่อนำมาหลอมตีเป็นดาบจะมีสีเขียวเหลือบดังปีกแมลงทับ มีความคมและยืดหยุ่นได้ในตัวเอง เมื่อนำมาฟันกระทบกับของแข็ง ทำให้ไม่บิ่น ไม่งอ ไม่ทำปฏิกิริยากับอากาศ และไม่ก่อให้เกิดสนิม และเสื่อมคม แหล่งที่มาของแร่โลหะนี้ คือ บ่อน้ำพี้[16] “น้ำพี้” เป็นชื่อหมู่บ้านหนึ่งของจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่มีแหล่งแร่เหล็กกล้าที่มีความบริสุทธิ์ของเนื้อเหล็กโดยธรรมชาติสูง จึงนิยมนำมาทำเครื่องใช้กันตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว มีการสันนิษฐานกันว่า ดาบรบที่สร้างขึ้นในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยามีการตีดาบเหล็กน้ำพี้ใช้สำหรับทำอาวุธใช้ในสงคราม ต่อมามีการสงวนไว้สำหรับใช้ทำพระแสงดาบสำหรับพระมหากษัตริย์ ห้ามมิให้ผู้ใดขุดเหล็กจากบ่อนี้ โดยบ่อที่นำมาทำพระแสงดาบเรียกว่า “บ่อพระแสง” และบ่อที่นำมาทำพระขรรค์เรียกว่า “บ่อพระขรรค์”[17] นอกจากการเลือกโลหะสำหรับนำมาทำดาบแล้ว กรรมวิธีในการตีดาบยังเป็นเรื่องที่คนสมัยโบราณให้ความสำคัญ หากเป็นดาบเพื่อใช้ในการศึกสงครามแล้วจะใช้พิธีทางไสยศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง สำหรับพระแสงดาบของพระมหากษัตริย์ จะมีการตกแต่งประดับประดาพระแสงดาบด้วยโลหะ อัญมณีที่มีค่า การสร้างลวดลายต่าง ๆ และการลงสีให้มีความวิจิตรงดงาม เพื่อการใช้เป็นเครื่องประกอบยศ และพระราชทานให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่[5]: 199–200 กล่าวได้ว่า ในอดีต พระแสงดาบมีความสำคัญในฐานะที่เป็นราชศัสตราวุธคู่กายของพระมหากษัตริย์ และเป็นอาวุธที่ใช้ในยามศึกสงคราม ต่อมาได้มีการพัฒนาอาวุธที่มีความทันสมัยขึ้น ทำให้พระแสงดาบจึงค่อย ๆ ลดบทบาทลง ในปัจจุบันพระแสงดาบจึงเป็นเพียงสัญลักษณ์และเครื่องหมายของพระมหากษัตริย์ ที่ใช้ประกอบยศและใช้ประกอบใน พระราชพิธีสำคัญ ๆ อ้างอิง
|