พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทรรองศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร (เกิด 23 ธันวาคม พ.ศ. 2501) บางแห่งออกนามว่า พันธุ์ทิพย์ สายสุนทร[1] ชื่อเมื่อเกิดว่า พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา ชื่อเล่นว่า แหวว[2] เป็นข้าราชการชาวไทย เป็นอาจารย์วิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งยังเป็นนักเคลื่อนไหวและนักวิชาการด้านสิทธิมนุษยชน ต้นชีวิตและการศึกษาพันธุ์ทิพย์เกิดที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นบุตรคนเดียวของครอบครัว[2] สำเร็จมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์[2] แล้วจึงสำเร็จเป็นนิติศาสตรบัณฑิตจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เกียรตินิยมอันดับสอง เมื่อ พ.ศ. 2522[3][4] ต่อมา พันธุ์ทิพย์ได้เดินทางไปศึกษากฎหมายระหว่างประเทศต่อยังมหาวิทยาลัยโรแบร์ทชูมัน (Robert Schuman University) ประเทศฝรั่งเศส ได้ทำวิทยานิพนธ์เรื่อง การจัดองค์กรของที่ประชุมแห่งกรุงเฮกว่าด้วยกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1955 จนถึงปัจจุบัน (L'organisation de la Conférence de La Haye de droit international privé des 1955 jusqu'a nos jours) จนสำเร็จเป็นนิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขากฎหมายระหว่างประเทศ (diplôme d'études approfondies de droit international) เมื่อ พ.ศ. 2528[3][4] ครั้นแล้ว ได้ศึกษากฎหมายสาขาเดียวกันต่อ ณ มหาวิทยาลัยเดิม ได้ทำวิทยานิพนธ์เรื่อง การทำกฎหมายว่าด้วยซื้อขายระหว่างประเทศให้เป็นเอกรูปโดยสนธิสัญญา (Unification conventionnelle du droit de la vente internationale) และสำเร็จเป็นนิติศาสตรดุษฎีบัณฑิต (doctorat en droit international) เมื่อ พ.ศ. 2532[3][4] ชีวิตสมรสขณะศึกษาอยู่ ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พันธุ์ทิพย์ได้เป็นเพื่อนกับจุมพต สายสุนทร หรือต่อมาคือ ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์จุมพต สายสุนทร อาจารย์วิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อทั้งคู่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้ว ได้ศึกษาต่อที่ต่างประเทศด้วยกัน และภายหลังก็ได้สมรสกัน[2] พันธุ์ทิพย์กล่าวว่า เนื่องจากเป็นบุตรคนเดียวของครอบครัว เมื่อสมรสแล้วจึงอยากมีบุตรให้มากสักห้าคน แต่ไม่สมประสงค์ เพราะเป็นเนื้องอกในมดลูกจนต้องผ่าตัดมดลูกทิ้งเมื่อ พ.ศ. 2540 และไม่สามารถมีบุตรได้เลย[2] การงานระหว่างเล่าเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั้น พันธุ์ทิพย์ได้เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ และได้เห็นความบาดเจ็บล้มตายของเพื่อน จึงรู้สึกขยาดแขยงการเมือง ไม่ชอบกฎหมายมหาชน และหันไปมุ่งศึกษากฎหมายธุรกิจแทน[2] แต่เมื่อสำเร็จการศึกษาจากประเทศฝรั่งเศสแล้ว ได้รับราชการสอนกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตั้งแต่ พ.ศ. 2534 และได้พบเห็นรัฐไทยปฏิบัติต่อบุคคลบางกลุ่มอย่างไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะด้านสัญชาติและสถานะบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องกับกฎหมายที่เธอสอน เป็นต้นว่า ในช่วง พ.ศ. 2534–2536 ชาวเขาจำนวนมากที่ไม่ทราบสัญชาติต้องถูกจับกุม ถูกฟ้องร้อง ทั้งยังถูกปฏิเสธการปฏิบัติและบริการอย่างที่มนุษย์พึงได้รับ เธอจึงเบนความสนใจมาด้านสิทธิมนุษยชนและเคลื่อนไหวด้านนี้เรื่อยมา[2] ระหว่างที่ดำเนินกิจกรรมด้านสถานะบุคคลนั้น พันธุ์ทิพย์สร้างความเปลี่ยนแปลงในวงการกฎหมายไทยหลายประการ โดยพันธุ์ทิพย์ได้ผลักดันให้เกิดระเบียบสำนักทะเบียนกลาง ว่าด้วยการพิจารณาลงรายการสถานะบุคคลในทะเบียนราษฎรให้แก่บุคคลบนพื้นที่สูง พ.ศ. 2543[5] ทั้งยังทำให้รัฐบาลไทยกำหนดยุทธศาสตร์การจัดการสถานะและสิทธิของบุคคลเมื่อ พ.ศ. 2548 เพื่อแก้ไขความไร้สัญชาติของชาวเขา และเปลี่ยนมุมมองมาแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 เพื่อให้นำหลักสืบสายโลหิต (jus sanguinis) มาใช้ในการให้สัญชาติแก่บุคคลนอกเหนือไปจากหลักดินแดน (jus soli)[5] ผลประการแรกของการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติดังกล่าว คือ เปิดให้มีกระบวนการคืนสัญชาติไทยให้แก่บรรดาชาวกะเหรี่ยงอำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก และชาวบ้านอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ รวมหนึ่งพันสองร้อยสี่สิบสามคน ซึ่งถูกกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เพิกถอนชื่อจากทะเบียนราษฎรโดยอ้างว่า เป็นพม่าพลัดถิ่น แต่การเพิกถอนชื่อเป็นไปโดยขัดต่อกฎหมายและส่อทุจริต[5][6] อย่างไรก็ดี เนื่องจากกรมการปกครองไม่นำพา จึงมีการฟ้องคดีต่อศาลปกครองเชียงใหม่ ศาลปกครองเชียงใหม่พิพากษาเมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2547 ให้กรมการปกครองแพ้คดี กรมการปกครองอุทธรณ์ และศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนเมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2548 ส่งผลให้กรมการปกครองต้องตั้งคณะกรรมการเจ็ดชุดเพื่อคืนความเป็นชาวไทยและให้การเยียวยาแก่ผู้เสียหาย[7] นอกจากนี้ พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมอีกครั้งเมื่อ พ.ศ. 2555 ได้กำหนดให้มีคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น และวันที่ 3 เมษายน 2555 กระทรวงมหาดไทยได้แต่งตั้งนักวิชาการหลายคน รวมถึงพันธุ์ทิพย์ เป็นกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น[8] แต่นักวิชาการเหล่านั้นได้พร้อมใจกันโต้แย้งคำสั่งแต่งตั้งเมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 เพราะเห็นว่า กระทรวงมหาดไทยขาดความจริงใจในการแก้ไขปัญหา และคำสั่งเป็นไปโดยมิชอบด้วยตัวบทและความมุ่งหมายแห่งกฎหมาย[8] ในโอกาสเดียวกัน พันธุ์ทิพย์ยังได้ลาออกจากความเป็นกรรมการดังกล่าว เนื่องจากกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งเธอในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิด้านชาติพันธุ์ ทั้งที่เธอสอนกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่มีความรู้เรื่องชาติพันธุ์ เธอจึงเห็นว่า เป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติ[8] ในหนังสือลาออก เธอกล่าวว่า[8]
ปัจจุบัน พันธุ์ทิพย์ดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์ระดับ 9 ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[4] ทั้งยังดำรงและเคยดำรงตำแหน่งทางด้านสิทธิมนุษยชนในองค์การของรัฐและเอกชน เป็นต้นว่า
รางวัลวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้มอบรางวัลเกียรติยศ "ผู้อุทิศตนเพื่อสิทธิมนุษยชน" แก่พันธุ์ทิพย์เป็นกรณีพิเศษเนื่องในวันสิทธิมนุษยชนประจำปี[5] เครื่องราชอิสริยาภรณ์
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|