ฟิลิปปาแห่งแลงคาสเตอร์ สมเด็จพระราชินีแห่งโปรตุเกส
ฟิลิปปาแห่งแลงคาสเตอร์ (อังกฤษ: Philippa of Lancaster) (31 มีนาคม ค.ศ. 1360 – 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1415) เป็นพระราชินีแห่งโปรตุเกสตั้งแต่ ค.ศ. 1387 ถึง ค.ศ. 1415 จากการสมรสกับพระเจ้าฌูเอาที่ 1 ประวัติครอบครัวฟิลิปปาแห่งแลงคาสเตอร์เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1360 ที่ปราสาทเลสเตอร์ในเลสเตอร์เชอร์ ราชอาณาจักรอังกฤษ พระบิดาของพระองค์คือจอห์นแห่งกอนต์ พระโอรสที่มีชีวิตรอดลำดับที่สามของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 แห่งอังกฤษกับพระราชินีฟิลิปปาแห่งแอโน ส่วนพระมารดาของพระองค์คือบลานช์แห่งแลงคาสเตอร์ ธิดาของเฮนรี ดยุคแห่งแลงคาสเตอร์กับอิซาเบลแห่งโบมง โดยบลานช์มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องชั้นที่สามของจอห์นแห่งกอนต์ ฟิลิปปาเป็นบุตรคนโตของพระบิดามารดา พระองค์ถูกตั้งชื่อตามฟิลิปปาแห่งแอโน พระอัยกีฝั่งพระบิดา ในวัยเด็กฟิลิปปาต้องย้ายไปมาระหว่างปราสาทและพระราชวังหลายแห่งของพระบิดา ทั้งพระราชวังซาวอยที่ตั้งอยู่บนแม่น้ำเธมส์ในลอนดอน, ปราสาทฮาร์ตฟอร์ด, ปราสาททัตบรี, ปราสาทเคนิลเวิร์ธ และปราสาทโบลิงโบรก พระองค์มีนางพยาบาลประจำตัวชื่อม็อด ทรงเติบโตมาพร้อมกับพี่น้องสองคนที่รอดชีวิตจากวัยทารกอันแสนอันตรายในสมัยกลาง คือ เอลิซาเบธ พระขนิษฐาที่เกิดในปี ค.ศ. 1363 ซึ่งต่อมากลายเป็นดัชเชสแห่งเอ็กซิเตอร์ กับเฮนรี พระอนุชาที่เกิดในปี ค.ศ. 1367 ซึ่งต่อมาจะยึดบัลลังก์อังกฤษมาจากพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 ลูกพี่ลูกน้องของตนและขึ้นครองบัลลังก์เป็นพระเจ้าเฮนรีที่ 4 ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์แลงคาสเตอร์ จอห์นแห่งกอนต์ได้เดินทางไปสเปนเพื่อทำการต่อสู้และในช่วงที่พระองค์ไม่อยู่กาฬโรคได้ระบาดไปทั่งอังกฤษ บล็องแห่งแลงคาสเตอร์พาบุตรธิดาและครัวเรือนของตนไปอยู่ที่ปราสาทโบลิงโบรกในลิงคอล์นเชอร์เพื่อหนีโรคร้าย แต่โชคร้ายที่บลานช์ในวัย 23 ปีติดเชื้อกาฬโรคต่อมน้ำเหลืองและเสียชีวิตที่ปราสาททัตบรีในสแตฟฟอร์ดเชอร์ในปี ค.ศ. 1369 ขณะที่ฟิลิปปามีพระชนมายุเพียง 8 พรรษา จอห์นแห่งกอนต์สมรสใหม่ในปี ค.ศ. 1371 กับกอนส์ตันซาแห่งกัสติยา พระธิดาของพระเจ้าเปโดร "ผู้โหดร้าย" แห่งกัสติยา ชายาคนที่สองของจอห์นสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1394 แคทเธอรีน สวีนฟอร์ดซึ่งเป็นภรรยาลับของมาจอห์นแห่งกอนต์มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1371 กลายเป็นชายาคนที่สามของพระองค์ แคทเธอรีนเคยเป็นพี่เลี้ยงของฟิลิปปาและพระขนิษฐา ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ฟิลิปปา โรเอ็ต พี่น้องหญิงของแคทเธอรีนได้สมรสกับเจฟฟรีย์ ชอเซอร์ กวีที่ต่อมาจอห์นแห่งกอนต์ได้ให้การอุปถัมภ์ เขาถูกแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในอาจารย์ของฟิลิปปา ร่วมกับจอห์น วีคลิฟฟ์ นักปฏิรูปซึ่งเป็นศาสตราจารย์ด้านปรัชญาที่ออกซ์ฟอร์ดและเป็นคนแรกที่แปลคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาอังกฤษ เขาเป็นผู้สอนศาสนศาสตร์ให้แก่ฟิลิปปา การอภิเษกสมรสการสมรสระหว่างฟิลิปปากับพระเจ้าฌูเอาที่ 1 แห่งโปรตุเกสเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเป็นพันธมิตรระหว่างอังกฤษกับโปรตุเกสเพื่อต่อกรกับความเป็นพันธมิตรระหว่างฝรั่งเศสกับกัสติยา บ่าวสาวเข้ารับพรทางศาสนาในอาสนวิหารโปร์ตูเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1387 การฉลองพิธีแต่งงานเกิดขึ้นในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของปีเดียวกันซึ่งเป็นวันที่ทั้งคู่ได้เจอหน้ากันเป็นครั้งแรก ด้วยวัย 27 พรรษาพระองค์ถือว่าเป็นเจ้าสาวที่อายุมากสำหรับยุคนั้น เนื่องจากสตรีเชื้อพระวงศ์ในสมัยกลางส่วนใหญ่มักสมรสในช่วงปลายวัยรุ่น ฝ่ายพระเจ้าฌูเอาเองก็ไม่เต็มใจที่จะเป็นเจ้าบ่าวเนื่องจากพระองค์มีสนมลับที่มีบุตรนอกสมรสด้วยกันอยู่แล้วสองคน หลังพิธีสมรสพระองค์ทิ้งฟิลิปปากลับไปค่ายทหารเพื่อสานต่อการสู้รบกับกัสติยาที่ค้างคาอยู่ ฟิลิปปาได้รับการบรรยายไว้ว่าเป็นคนสุขุมรอบคอบ, ศรัทธาในศาสนา และสมถะ พระองค์มักจะเดินก้มหน้าก้มตาและห่อไหล่ นักเขียนหลายคนชื่มชนในพระจริยวัตรของพระองค์ ทั้งยังได้รับการชื่นชมว่ามีสีผิวที่ขาว, ผมสีบลอนด์ และดวงตาสีฟ้า ไม่นานนักฟิลิปปากับพระเจ้าฌูเอาก็อยู่ด้วยกันทุกที่ ทั้งคู่มีครอบครัวที่อบอวลไปด้วยความรักและมีความสุข และมีพระโอรสธิดาด้วยกัน 9 พระองค์ คือ
ฟิลิปปาคอยดูแลเรื่องการศึกษาของพระโอรสธิดาทุกพระองค์ ส่วนพระเจ้าฌูเอาได้สอนลูก ๆ ขี่ม้า, ล่าสัตว์, ฝึกเหยี่ยว และประลองทวน ในช่วงที่พระเจ้าฌูเอาไม่อยู่ พระองค์วางใจให้ฟิลิปปาบริหารราชการแทนพระองค์ การสิ้นพระชนม์ปี ค.ศ. 1411 โปรตุเกสกับกัสติยาได้ตกลงทำสนธิสัญญาสันติภาพ ฟิลิปปาเริ่มสนับสนุนให้พระสวามีทำสงครามกับชาวมัวร์ พระเจ้าฌูเอาตั้งใจไว้ว่าจะโจมตีเมืองหน้าด่านเซวตาหลังข้ามช่องแคบยิบรอลตาร์เพื่อเข้าสู่ทวีปแอฟริกา ทรงปรึกษากับพระโอรสและทุกคนเห็นชอบร่วมกันกับการออกทำศึก ฤดูร้อนปี ค.ศ. 1415 กาฬโรคแพร่ระบาดในลิสบอนและโปร์ตู ฟิลิปปาในวัย 55 พรรษาติดเชื้อกาฬโรคต่อมน้ำเหลือง โรคเดียวกับที่เคยพรากพระมารดาไปจากพระองค์ พระเจ้าฌูเอาได้ย้ายฟิลิปปาไปที่คอนแวนต์ออดีแวลัชบนเนินเขาสูงทางตอนเหนือของลิสบอนด้วยความหวังว่าพระนางจะหายจากโรค ฟิลิปปาได้สั่งให้สร้างดาบประดับอัญมณีขึ้นมาสามเล่มเพื่อจะให้พระสวามีแต่งตั้งพระโอรสสามคนแรกของทั้งคู่เป็นอัศวินต่อหน้าพระนาง แต่ไม่นานพระนางก็รู้ตัวว่าคงอยู่ไม่ถึงวันนั้น พระนางจึงขอให้พระเจ้าฌูเอาสัญญาว่าจะแต่งตั้งพระโอรสทั้งสามเป็นอัศวินและมอบดาบทั้งสามให้แก่พระโอรสของพระนาง ทรงให้พรแก่พระโอรสและเรียกอิซาเบลมานั่งข้าง ๆ อิซาเบลจุมพิตมือของพระมารดาและรับพรจากพระนาง กษัตริย์มาถึงและนั่งลงข้างกายพระนาง ไม่ถึงสองอาทิตย์ต่อมาในวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1415 ฟิลิปปาสิ้นพระชนม์ ร่างของพระองค์ถูกฝังที่อารามบาตัลยาในไลรีอา ราชอาณาจักรโปรตุเกส ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อขอบคุณพระแม่มารีย์ที่ช่วยให้โปรตุเกสคว้าชัยเหนือกัสติยาในสมรภูมิอัลฌูบาโรตาเมื่อปี ค.ศ. 1385 ตามพระประสงค์ของพระเจ้าฌูเอาที่ 1 แห่งโปรตุเกส พระสวามีของพระองค์สิ้นพระชนม์ในอีก 18 ปีต่อมาในวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1433 ด้วยวัย 77 พรรษาที่ลิสบอน ทรงครองราชสมบัติเป็นเวลา 49 ปี พระองค์มีพินัยกรรมให้ฝังร่างของพระองค์เคียงข้างร่างของฟิลิปปาที่อารามบาตัลยา พระโอรสทั้งสี่คนของทั้งคู่ก็ถูกฝังที่อารามเดียวกัน ฌูเอา องครักษ์แห่งโปรตุเกส ลอร์ดแห่งรึเก็งกุช พระโอรสของฟิลิปปาสมรสกับอีซาแบลแห่งบาร์แซลุช ส่วนอีซาแบลแห่งโปรตุเกส ธิดาของทั้งคู่อภิเสกสมรสกับพระเจ้าฆวนที่ 2 แห่งกัสติยา และเป็นพระมารดาของสมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลที่ 1 แห่งกัสติยา พระมารดาของกาตาลินาแห่งอารากอน พระมเหสีคนแรกของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 อ้างอิง
|