มหาศาลาประชาชน
มหาศาลาประชาชน (จีน: 人民大会堂; พินอิน: Rénmín Dàhuìtáng) เป็นอาคารรัฐบาลที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของจัตุรัสเทียนอันเหมินในกรุงปักกิ่ง ใช้สำหรับการดำเนินกิจกรรมทางนิติบัญญัติและพิธีการต่าง ๆ ของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน มหาศาลาประชาชนทำหน้าที่เป็นสถานที่ประชุมสำหรับการประชุมเต็มคณะของสภาประชาชนแห่งชาติ ซึ่งจัดขึ้นในเดือนมีนาคมของทุกปี พร้อมกับการประชุมระดับชาติของสภาที่ปรึกษาทางการเมืองประชาชนจีน ซึ่งเป็นองค์กรที่ปรึกษาทางการเมือง นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งจัดขึ้นทุกห้าปีนับตั้งแต่การประชุมครั้งที่ 12 ในปี ค.ศ. 1982 และคณะกรรมาธิการกลางของพรรคซึ่งประชุมประมาณปีละครั้ง ห้องประชุมยังถูกใช้สำหรับกิจกรรมพิเศษหลายอย่าง รวมถึงการประชุมระดับชาติขององค์กรทางสังคมและการเมืองต่าง ๆ การฉลองครบรอบสำคัญ และพิธีไว้อาลัยสำหรับผู้นำคนก่อน ๆ มหาศาลาประชาชนยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมในเมืองหลวง และเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนกรุงปักกิ่ง[1][2] ประวัติหลังจากแผนห้าปีฉบับแรกของจีนเสร็จสิ้นก่อนกำหนดในปี ค.ศ. 1959 คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงเริ่มพิจารณาเกี่ยวกับการสร้างหอประชุมขนาดใหญ่ขึ้นในกรุงปักกิ่ง ในที่ประชุมเป่ย์ไต้เหอในปลายเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1958 คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ตัดสินใจสร้างโครงการสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่หลายแห่งในปักกิ่ง รวมถึงหอประชุมใหญ่หมื่นคน และขอให้ใช้งานได้ภายในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1959 ก่อนครบรอบ 10 ปีของการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ด้วยระยะเวลาอันจำกัดในการก่อสร้างเพียงหนึ่งปีกับอีกหนึ่งเดือน ทำให้การก่อสร้างต้องดำเนินไปอย่างเร่งรีบ[3] ในวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1958 ว่าน หลี่ รองนายกเทศมนตรีกรุงปักกิ่งได้รายงานต่อรัฐบาลกลางเกี่ยวกับการเตรียมงานฉลองครบรอบ 10 ปี[4] กรุงปักกิ่งได้จัดตั้งคณะทำงานออกแบบโครงการวันชาติขึ้น โดยมีเฟิง เพ่ย์จื้อ เป็นหัวหน้าคณะ[5] และจาง ปั๋ว เป็นหัวหน้าสถาปนิกของกลุ่มออกแบบหอประชุม ในเวลาอันสั้นก็ได้คัดเลือกการออกแบบหอประชุมจาก 8 โครงการ และได้รวบรวมความคิดเห็นจากมหาวิทยาลัยชิงหฺวา สถาบันออกแบบและวางผังเมืองเทศบาลกรุงปักกิ่ง และสำนักการวางผังเมืองเทศบาลกรุงปักกิ่ง เพื่อร่างแผนงานโดยรวมขึ้นตามลำดับ ในช่วงต้นเดือนกันยายน ค.ศ. 1958 สำนักการวางผังเมืองฯ ได้ตัดสินใจว่าหอประชุมใหญ่หมื่นคนและพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์การปฏิวัติจะตั้งอยู่สองข้างของจัตุรัสเทียนอันเหมิน[6][7] ในตอนเช้าของวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1959 เหมา เจ๋อตง ประธานคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้มาเยี่ยมชมสถานที่ก่อสร้าง[8] ในระหว่างการเยี่ยมชมนั้น ว่าน หลี่ รองนายกเทศมนตรีกรุงปักกิ่ง ได้เสนอว่าหอประชุมนี้ยังไม่ได้รับการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการ[9] หลังจากหารือกันแล้ว เหมาจึงได้ตั้งชื่อหอประชุมแห่งนี้ว่า "มหาศาลาประชาชน"[10] ในคืนนั้น มหาศาลาประชาชนได้สร้างเสร็จสมบูรณ์และเปิดใช้เป็นครั้งแรก เหมย หลันฟัง ได้แสดงเป็น "นางงามเมา" (贵妃醉酒) ในหอประชุมขนาด 10,000 คน เพื่อแสดงความอาลัยแด่ทหารช่างที่สร้างอาคารหลังนี้[11][12] มหาศาลาประชาชนเปิดใช้งานในเดือนกันยายน ค.ศ. 1959 โดยเป็นหนึ่งในอาคารของโครงการ "สิบอาคารอันยิ่งใหญ่" ที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปีของการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน[13] คณะกรมการเมืองได้มีมติให้ดำเนินการก่อสร้างหอประชุมดังกล่าวในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1958[14] โจว เอินไหล นายกรัฐมนตรี มีวิสัยทัศน์ว่าการออกแบบที่สมบูรณ์แบบนั้นควรจะสะท้อนให้เห็นว่า "ประชาชนคือเจ้าของประเทศ"[14] หลังจากการส่งแบบของโครงการ กลุ่มสถาปนิกจากทั่วประเทศได้คัดเลือกผลงานการอกแบบที่ชนะการประกวดซึ่งออกแบบโดยจ้าว ตงรื่อ และเฉิ่น ฉี จาง ปั๋ว ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าสถาปนิก การก่อสร้างใช้เวลา 10 เดือน โดยมีแรงงานเข้าร่วมการก่อสร้างถึง 7,785 คน และใช้แผนการทำงานแบบทหารที่คล้ายคลึงกับโครงการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า[15] ในวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 2007 รัฐบาลกรุงปักกิ่ง คณะกรรมการวางผังเมืองเทศบาลกรุงปักกิ่ง และสำนักงานโบราณวัตถุทางวัฒนธรรมเทศบาลกรุงปักกิ่ง ได้อนุมัติให้มหาศาลาประชาชนบรรจุอยู่ในรายชื่ออาคารสถาปัตยกรรมสมัยใหม่และร่วมสมัยที่โดดเด่นของกรุงปักกิ่ง (北京优秀近现代建筑保护名录)[16][17][18] การออกแบบมหาศาลาประชาชนถูกออกแบบมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความสามัคคีของชาติและความเสมอภาคของชนชาติต่าง ๆ และสะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์ใหม่ของประเทศผ่านรูปแบบ ลักษณะสัดส่วน และรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ ของอาคาร[15] อาคารมีพื้นที่ใช้สอย 171,801 ตารางเมตร (1,849,250 ตารางฟุต) ยาว 356 เมตร (1,168 ฟุต) และกว้าง 206.5 เมตร (677 ฟุต) จุดสูงสุดของอาคารมีความสูง 46.5 เมตร (153 ฟุต) ที่ชายคาประตูใหญ่แขวนตราแผ่นดินของสาธารณรัฐประชาชนจีน[19] มหาศาลาประชาชนประกอบด้วยส่วนหลักสามส่วน ได้แก่:[20]
ในบรรดาห้องเหล่านั้น ส่วนโถงกลางมีพื้นที่ 3,600 ตารางเมตร ผนังและพื้นปูด้วยหินอ่อนสี มีเสาหินอ่อนสีขาวล้อมรอบ 20 ต้น มีทางเดินกว้าง 12 เมตร (39 ฟุต 4 นิ้ว) อยู่บนชั้นกลาง มีทางเข้าหลัก 6 ทางนำไปสู่หอประชุมหมื่นคน[21][22] ทุกมณฑล เขตปกครองพิเศษ เขตปกครองตนเองของจีน มีห้องโถงของตนเองในมหาศาลาประชาชน เช่น โถงปักกิ่ง โถงฮ่องกง และโถงไห่หนาน ห้องโถงแต่ละห้องสะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละมณฑล และมีการตกแต่งภายในสอดคล้องกับรูปแบบของท้องถิ่นนั้น ๆ[23] เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ มหาศาลาประชาชนได้กลายเป็นหอประชุมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน โดยก่อนหน้านั้นตำแหน่งนี้เป็นของหอรำลึกซุน ยัตเซ็น[24] หอประชุมใหญ่นี้มีปริมาตร 90,000 ลูกบาศก์เมตร (3,200,000 ลูกบาศก์ฟุต), สามารถจุผู้คนได้ 3,693 คนบนชั้นล่าง, 3,515 คน บนชั้นกลาง, 2,518 คน บนชั้นบน และอีก 300–500 คน บนเวที ผู้นำรัฐบาลจะกล่าวสุนทรพจน์ ส่วนผู้แทนก็ทำหน้าที่ของตนเองในการประชุม สามารถรองรับผู้แทนได้พร้อมกัน 10,000 คน เพดานประดับด้วยไฟดวงดาวระยิบระยับคล้ายกาแล็กซี มีดาวแดงดวงใหญ่ประดับอยู่ตรงกลาง[25] และลวดลายคลื่นน้ำที่อยู่ใกล้เคียงแทนสัญลักษณ์ของประชาชน[26] สิ่งอำนวยความสะดวกของที่นี่มีระบบเสียง ภาพ และระบบอื่น ๆ ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามรูปแบบและขนาดของการประชุมที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังมีระบบการแปลภาษาพร้อมห้องแปลภาษาอีกด้วย ห้องรัฐพิธีจัดเลี้ยงมีพื้นที่กว่า 7,000 ตารางเมตร (75,000 ตารางฟุต) สามารถรองรับแขกได้ถึง 7,000 คน และสามารถจัดเลี้ยงพร้อมกันได้มากถึง 5,000 คน ดังเช่นที่เคยจัดขึ้นในงานต้อนรับประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ในการเยือนจีนเมื่อปี ค.ศ. 1972 การประชุมขนาดเล็กสามารถจัดได้ในหอประชุมหลัก ขณะที่การประชุมขนาดใหญ่สามารถใช้ห้องประชุมหนึ่งหรือหลายห้องเช่น โถงทองคำและโถงเหนือ และการประชุมขนาดเล็กที่สุดสามารถจัดได้ในห้องประชุมมากกว่า 30 ห้องที่ตั้งชื่อตามมณฑลและภูมิภาคในประเทศจีน[27] การใช้งานมหาศาลาประชาชนเป็นศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองของกรุงปักกิ่งและเป็นที่ตั้งของสภาประชาชนแห่งชาติ ในเดือนมีนาคมของทุกปี มหาศาลาประชาชนจะเป็นสถานที่จัดประชุม "สองสภา" ประกอบด้วยการประชุมของสภาที่ปรึกษาการเมืองประชาชนจีน และสภาประชาชนแห่งชาติ โดยการประชุมทั้งสองนี้จะจัดขึ้นที่หอประชุมใหญ่เป็นเวลา 2–3 สัปดาห์[28] พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังจัดการประชุมสมัชชาใหญ่ทุก ๆ ห้าปีในมหาศาลาประชาชน หลังจากก่อสร้างแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1959 มหาศาลาประชาชนได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมสัปดาห์ละหนึ่งถึงสองวัน ภายหลังการปฏิวัติทางวัฒนธรรมเริ่มต้นขึ้น มหาศาลาประชาชนได้ถูกปิดใช้งาน และใช้เฉพาะสำหรับการประชุมขนาดใหญ่และสำนักงานของผู้นำส่วนกลาง รวมถึงการรับแขกบ้านแขกเมืองเท่านั้น ประเด็นการเปิดมหาศาลาประชาชนให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้ถูกนำมาพิจารณาอีกครั้งหลังจากการปฏิวัติทางวัฒนธรรมสิ้นสุดลง[29] ในช่วงค่ำของวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1979 เติ้ง อิ่งเชา ในนามของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้ประกาศว่า "มหาศาลาประชาชนจะเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้"[30] ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม มหาศาลาประชาชนก็ได้เปิดให้ประชาชนเข้าชมอีกครั้ง นับตั้งแต่นั้นมา สถานที่แห่งนี้ได้บรรเทาภาระทางการเงินลงได้ด้วยการเรียกเก็บค่าเข้าชมและรายได้จากการค้าขายภายในบริเวณ ทำให้สามารถดำเนินงานในแง่ของค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการได้ด้วยตนเองภายในสิ้นทศวรรษที่ 1980[31] มหาศาลาแห่งนี้ได้ถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับการประชุมกับคณะผู้แทนจากต่างประเทศในการเยือนอย่างเป็นทางการหรือเพื่อปฏิบัติงาน รวมถึงการจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบสำคัญต่าง ๆ ที่มีผู้นำระดับสูงเข้าร่วม มหาศาลาเคยถูกใช้เป็นสถานที่จัดรัฐพิธีศพและพิธีรำลึกถึงผู้นำระดับสูงหลายคน เช่น รัฐพิธีศพอดีตประธานหลิว เช่าฉี ในปี ค.ศ. 1982[32] อดีตเลขาธิการพรรค หู เย่าปัง ในปี ค.ศ. 1989[33] ตลอดจนอดีตผู้นำสูงสุด เติ้ง เสี่ยวผิง ในปี ค.ศ. 1997[34][35] และเจียง เจ๋อหมิน ในปี ค.ศ. 2022[36][37] (พิธีศพของเหมา เจ๋อตงไม่ได้จัดขึ้นที่มหาศาลาประชาชน แต่จัดขึ้นที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน)[38] ตัวอาคารและ "หอประชุมใหญ่" ซึ่งเป็นส่วนหลักเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้ในฐานะสถานที่ท่องเที่ยว เมื่อไม่ได้มีการใช้งาน นอกจากการประชุมทางการเมืองแล้ว ภายในมหาศาลาแห่งนี้ยังได้มีการจัดงานประชุมและคอนเสิร์ตที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองอีกด้วย[39] ในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1986 ลูชาโน ปาวารอตตี นักร้องเทเนอร์ชื่อดัง ได้จัดการแสดงเดี่ยวที่มหาศาลาประชาชน ทำให้เขาเป็นชาวต่างชาติคนแรกที่ได้แสดงดนตรีในสถานที่นี้[40][41] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2003 การแสดงริเวอร์แดนซ์ ซึ่งเป็นการแสดงดนตรีและการเต้นรำแบบไอริชที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ได้สร้างประวัติศาสตร์เป็นการแสดงจากโลกตะวันตกชุดแรกที่ได้แสดงที่มหาศาลาประชาชน โดยได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้นจากผู้ชมจนบัตรเข้าชมหมดเกลี้ยงทุกการแสดงทั้ง 11 รอบ[42] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2003 วงดนตรีคันทรีของสหรัฐชื่อ ลูซีแองเจล ได้สร้างประวัติศาสตร์เป็นวงดนตรีสัญชาติอเมริกันวงแรกที่ได้แสดงที่มหาศาลาประชาชน โดยมีผู้ชมประกอบด้วยคณะทูตและเจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับสูง[43] ดูเพิ่มอ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ มหาศาลาประชาชน
|