เจียง เจ๋อหมิน
เจียง เจ๋อหมิน (จีน: 江泽民; พินอิน: Jiāng Zémín; 17 สิงหาคม ค.ศ. 1926 – 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022) เป็นนักการเมืองชาวจีนที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่ ค.ศ. 1989 ถึง 2002 ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางตั้งแต่ ค.ศ. 1989 ถึง 2004 และประธานาธิบดีจีนตั้งแต่ ค.ศ. 1993 ถึง 2003 เจียงเป็นผู้นำสูงสุดคนที่สามของจีนตั้งแต่ ค.ศ. 1989 ถึง 2002 เขาเป็นผู้นำแกนหลักของผู้นำจีนรุ่นที่สาม หนึ่งในผู้นำแกนหลักทั้งสี่คนร่วมกับเหมา เจ๋อตง, เติ้ง เสี่ยวผิง และสี จิ้นผิง เขาเกิดในหยางโจว มณฑลเจียงซู เจียงเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนขณะศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย หลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนใน ค.ศ. 1949 เขาได้รับการฝึกอบรมที่โรงงานสตาลินออโตโมบิลเวิกส์ในมอสโก ต่อมาใน ค.ศ. 1962 เขากลับมายังเซี่ยงไฮ้และดำรงตำแหน่งในสถาบันต่าง ๆ และในช่วง ค.ศ. 1970 ถึง 1972 เขาถูกส่งไปโรมาเนียในฐานะสมาชิกคณะผู้เชี่ยวชาญเพื่อก่อตั้งโรงงานผลิตเครื่องจักรในประเทศนั้น หลัง ค.ศ. 1979 เขาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการสองคณะโดยรองนายกรัฐมนตรี กู่ มู่ เพื่อดูแลเขตเศรษฐกิจพิเศษที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ ในปี ค.ศ. 1982 เขาดำรงตำแหน่งรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่และสมาชิกคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน เจียงได้รับแต่งตั้งเป็นนายกเทศมนตรีเซี่ยงไฮ้ใน ค.ศ. 1985 ต่อมาถูกเลื่อนตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำนครเซี่ยงไฮ้ และเป็นสมาชิกกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีนใน ค.ศ. 1987 เจียงขึ้นสู่อำนาจอย่างไม่คาดคิดในฐานะตัวเลือกที่ทุกฝ่ายยอมรับได้หลังเหตุการณ์การประท้วงและการสังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 โดยเข้ามาแทนที่จ้าว จื่อหยาง ในตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน หลังถูกปลดจากตำแหน่งเพราะสนับสนุนขบวนการนักศึกษา เมื่ออิทธิพลของ "แปดผู้อาวุโส" ในการเมืองจีนลดลงอย่างต่อเนื่อง[1] เจียงได้รวบรวมอำนาจของตนจนกลายเป็น "ผู้นำสูงสุด" ของประเทศในคริสต์ทศวรรษ 1990[a] ด้วยแรงผลักดันจากการเยือนภาคใต้ของเติ้ง เสี่ยวผิงใน ค.ศ. 1992 เจียงได้แนะนำคำว่า "เศรษฐกิจตลาดแบบสังคมนิยม" อย่างเป็นทางการในการกล่าวปราศรัยในระหว่างการประชุมใหญ่ครั้งที่ 14 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่จัดขึ้นในปีเดียวกัน ซึ่งเป็นการเร่งให้เกิดการ "ปฏิรูปและเปิดประเทศ" อย่างรวดเร็ว ภายใต้การนำของเจียง จีนประสบกับการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมากพร้อมกับการปฏิรูปตลาดอย่างต่อเนื่อง การส่งมอบฮ่องกงคืนจากสหราชอาณาจักรใน ค.ศ. 1997 และมาเก๊าคืนจากโปรตุเกสใน ค.ศ. 1999 ตลอดจนการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกใน ค.ศ. 2001 ล้วนเป็นเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในสมัยของเขา ประเทศจีนยังได้เห็นความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับโลกภายนอก ขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์ยังคงรักษาอำนาจควบคุมประเทศไว้อย่างเหนียวแน่น เจียงเผชิญกับการวิจารณ์เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมถึงการปราบปรามขบวนการฝ่าหลุนกง ผลงานของเขาที่มีต่อหลักคำสอนของพรรค ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม "สามตัวแทน" ได้ถูกบรรจุไว้ในธรรมนูญพรรคคอมมิวนิสต์จีนใน ค.ศ. 2002 เจียงทยอยสละตำแหน่งผู้นำอย่างเป็นทางการตั้งแต่ ค.ศ. 2002 ถึง 2004 โดยหู จิ่นเทา ได้เข้ามาสืบทอดตำแหน่งแทน แม้ทั้งเจียงและกลุ่มการเมืองของเขาจะยังคงมีอิทธิพลต่อพรรคและประเทศต่อไปอีกนาน ใน ค.ศ. 2022 เจียงถึงแก่อสัญกรรมในเซี่ยงไฮ้ด้วยวัย 96 ปี และได้รับการจัดรัฐพิธีศพ ชีวิตช่วงต้นเจียง เจ๋อหมิน เกิดที่เมืองหยางโจว มณฑลเจียงซู เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1926[2] บ้านเกิดบรรพบุรุษของเขาคือหมู่บ้านเจียงชุน (江村) ในอำเภอจิงเต๋อ มณฑลอานฮุย ที่นี่ยังเป็นบ้านเกิดของบุคคลสำคัญในแวดวงวิชาการและปัญญาชนของจีนหลายคน[3] เจียงเติบโตขึ้นในช่วงที่ประเทศจีนตกอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น เจียง ช่างชิง ลุงและพ่อบุญธรรมของเขา เสียชีวิตระหว่างการต่อสู้กับญี่ปุ่นและได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษของชาติในสมัยเจียง เจ๋อหมิน[4]: 40 หลังการเสียชีวิตของช่างชิง เจ๋อหมินก็กลายมาเป็นทายาทชายของเขา[5] เจียงเข้าศึกษาในภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยแห่งชาติจงยัง ในหนานจิงที่ถูกญี่ปุ่นยึดครอง ก่อนจะย้ายไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติเจียวทง (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เจียวทง) เขาสำเร็จการศึกษาจากที่นั่นใน ค.ศ. 1947 ด้วยปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า[6] เจียงเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อเขายังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย[7] หลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน เจียงได้รับการฝึกอบรมที่โรงงานสตาลินออโตโมบิลเวิกส์ในมอสโกในคริสต์ทศวรรษ 1950[8] นอกจากนี้เขายังทำงานให้กับโรงงานผลิตรถยนต์แห่งแรกของฉางชุน[9] เมื่อเจียงมีส่วนร่วมในพรรคคอมมิวนิสต์มากขึ้นเรื่อย ๆ งานหลักของเขาก็เปลี่ยนจากงานทางเทคนิคด้านวิศวกรรมไปเป็นงานบริหารและการเมือง[4]: 140 อาชีพการงานในปี พ.ศ. 2505 เขากลับมาที่เซี่ยงไฮ้และเป็นรองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยไฟฟ้าเซี่ยงไฮ้ ต่อมาในปี พ.ศ. 2509 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการและรองเลขาธิการพรรคของสถาบันวิจัยวิศวกรรมความร้อนในอู่ฮั่นซึ่งก่อตั้งโดยกระทรวงการสร้างเครื่องจักรที่หนึ่ง เมื่อการปฏิวัติทางวัฒนธรรมเริ่มต้นในปีเดียวกัน เขาไม่ได้ผลกระทบมากนักในช่วงความวุ่นวาย แต่ถูกดึงลงจากตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบัน และถูกส่งตัวไปที่โรงเรียนเสนาธิการ 7 พฤษภาคม หลังจากออกจากโรงเรียนเสนาธิการในปี พ.ศ. 2513 เขาได้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักการต่างประเทศของกระทรวง และถูกส่งไปยังสาธารณรัฐสังคมนิยมโรมาเนีย ซึ่งเขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าทีมผู้เชี่ยวชาญเพื่อก่อตั้งโรงงานผลิตเครื่องจักรจำนวน 15 แห่งในประเทศ หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในปี พ.ศ. 2515 เขาก็เดินทางกลับประเทศจีน[10][11][12] ในปี พ.ศ. 2522 หลังจากที่ความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาสิ้นสุดลง เติ้ง เสี่ยวผิงจึงตัดสินใจส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย "สี่ทันสมัย" ของเขา[13] คณะมนตรีรัฐกิจของจีนได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการระดับกระทรวงสองคณะเพื่อเพิ่มการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ นำโดยรองนายกรัฐมนตรีกู่ มู่ ซึ่งแต่งตั้งเจียงเป็นรองประธานคณะกรรมาธิการทั้งสอง ซึ่งมีตำแหน่งเทียบเท่ากับที่ผู้ช่วยรัฐมนตรี[14] บทบาทของเจียงคือเพื่อให้แน่ใจว่าเขตเศรษฐกิจพิเศษเหล่านี้เพิ่มความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจโดยไม่กลายเป็น "ท่อน้ำเลี้ยง" สำหรับอุดมการณ์ต่างประเทศ[14] ในปี พ.ศ. 2523 เจียงได้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนซึ่งเดินทางไปเยี่ยมชมเขตเศรษฐกิจพิเศษอื่น ๆ ใน 12 ประเทศ เมื่อเขากลับมา เขาได้ออกรายงานที่รุนแรงซึ่งแนะนำให้หน่วยงานท้องถิ่นออกการลดหย่อนภาษีและสัญญาเช่าที่ดิน และเพิ่มอำนาจของการร่วมทุนในต่างประเทศ[15] รายงานดังกล่าวทำให้เกิดความตกตะลึงในหมู่ผู้นำพรรคในตอนแรก แต่การนำเสนอเชิงปฏิบัติและเชิงประจักษ์ของเขาเป็นที่สนใจของเติ้ง เสี่ยวผิง ข้อเสนอของเขาได้รับการอนุมัติในสภาประชาชนแห่งชาติ ซึ่งทำให้เจียงเป็นผู้ดำเนินการทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิงยุคแรก[16] ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2525 เขาถูกผลักออกจากตำแหน่งรองประธานคณะกรรมาธิการ 2 คณะ จากแรงกดดันจากนายกรัฐมนตรีกู่ และนายกเทศมนตรีเมืองเซี่ยงไฮ้ หวัง เต้าหัน ต่อมาจ้าว จื่อหยาง จึงได้แต่งตั้งให้เจียงเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีลำดับที่ 1 และเลขาธิการพรรคของกระทรวงอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่จัดตั้งขึ้นใหม่[17] ในการประชุมสมัชชาพรรคครั้งที่ 12 ซึ่งจัดขึ้นในเดือนกันยายน พ.ศ. 2525 เจียงได้รับเลือกเป็นสมาชิกของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งมีหน้ากำหนดนโยบายและคัดเลือกสมาชิกกรมการเมือง[17] เซี่ยงไฮ้ในปี พ.ศ. 2528 เจียงได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกเทศมนตรีนครเซี่ยงไฮ้ ได้รับคำวิจารณ์ที่หลากหลายในระหว่างดำรงตำแหน่ง นักวิจารณ์หลายคนมองว่าเขาเป็น "กระถางดอกไม้" ซึ่งเป็นคำในภาษาจีนที่ใช้เรียกคนที่ดูเหมือนมีประโยชน์ แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้ทำอะไรเลย[18] หลายคนให้เครดิตการเติบโตของเซี่ยงไฮ้ในช่วงเวลานั้นกับจู หรงจี้[19] ในช่วงเวลานี้ เจียงเป็นผู้ศรัทธาที่กระตือรือร้นในการปฏิรูปเศรษฐกิจของเติ้ง เสี่ยวผิง ในความพยายามที่จะระงับความไม่พอใจของศึกษาในปี พ.ศ. 2529 เจียงได้กล่าวสุนทรพจน์เกตตีสเบิร์กเป็นภาษาอังกฤษต่อหน้ากลุ่มผู้ประท้วงนักศึกษา[20][21][22] ในการประชุมสมัชชาพรรค ครั้งที่ 13 ซึ่งจัดขึ้นในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2530 เจียงได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากนายกเทศมนตรีเป็นเลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคประจำนครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ทรงอำนาจที่สุดในเมือง โดยขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลาง[23] นอกจากนี้เขายังได้เป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการกรมการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนตามธรรมเนียมของเลขาธิการพรรคในเมืองใหญ่ ๆ[23] การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในเดือนเมษายน พ.ศ. 2532 อดีตเลขาธิการใหญ่ หู เย่าปัง เสียชีวิต ก่อนหน้านี้เขาถูกบังคับให้ลาออกในเดือนมกราคม พ.ศ. 2530 เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าสนับสนุน "การเปิดเสรีชนชั้นกระฎุมพี"[20] การเสียชีวิตของเขาได้จุดชนวนการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน[24] และนำไปสู่วิกฤตทางอุดมการณ์ระหว่าง "เสรีนิยม" (ผู้สนับสนุนการปฏิรูปเชิงรุกของเติ้ง) และ "อนุรักษนิยม" (ผู้สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ)[25] ในขณะที่การประท้วงยังคงเพิ่มขึ้น พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้บังคับใช้กฎอัยการศึกและเคลื่อนกำลังทหารเข้าสู่กรุงปักกิ่งในเดือนพฤษภาคม[26] ส่วนในเซี่ยงไฮ้ ผู้ประท้วง 100,000 คนเดินขบวนไปตามถนน และนักศึกษา 450 คนได้อดอาหารประท้วง[27] เจียงได้พบกับผู้ประท้วงเป็นการส่วนตัวเพื่อให้มั่นใจว่าพรรคและผู้ประท้วงมีเป้าหมายร่วมกัน และสัญญาว่าจะมีการเจรจาในอนาคต อีกด้านหนึ่งเขาได้ส่งโทรเลขไปยังคณะกรรมาธิการกลางพรรคเพื่อสนับสนุนการประกาศกฎอัยการศึกไปพร้อม ๆ กัน[26] คำอุทธรณ์ต่อสาธารณะอย่างระมัดระวังของเขาได้รับการตอบรับอย่างดีจากทั้งนักศึกษาฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยและผู้อาวุโสของพรรคสังคมนิยม[28] ในวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2532 เติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำสูงสุดได้ตัดสินใจแต่งตั้งเจียงเป็นเลขาธิการพรรคคนใหม่ แทนที่จ้าว จื่อหยาง ที่ไปสนับสนุนผู้ชุมนุมประท้วง[28][29][30] ซึ่งก่อนหน้านั้นเจียงถูกพิจารณาว่าไม่น่าเป็นไปได้[31] ขึ้นสู่อำนาจเจียงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขาธิการใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในการประชุมใหญ่ครั้งที่ 4 ของคณะกรรมาธิการกลางพรรคชุดที่ 13 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2532 โดยมีฐานอำนาจที่ค่อนข้างเล็กในพรรค ดังนั้นอำนาจที่แท้จริงของเจียงจึงมีน้อยมาก[32][7] พันธมิตรที่น่าเชื่อถือที่สุดของเขาคือ เฉิน ยฺหวิน และหลี่ เซียนเนี่ยน ซึ่งเป็นผู้อาวุโสที่มีอำนาจในพรรค[33] ในขณะนั้นมีข่าวลือว่าบุคคลสำคัญในพรรคและกองทัพ เช่น ประธานาธิบดีหยาง ช่างคุน และน้องชายของเขา หยาง ไป่ปิง กำลังวางแผนก่อรัฐประหารอยู่[34] ในการประชุมครั้งแรกของคณะกรรมาธิการประจำกรมการเมืองชุดใหม่ หลังจากการสังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี พ.ศ. 2532 เจียงได้วิพากษ์วิจารณ์ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ว่า "ยากต่อเศรษฐกิจ อ่อนต่อการเมือง" และสนับสนุนให้มีการเพิ่มความคิดทางการเมืองมากขึ้น[35] แอนน์-มารี เบรดี (Anne-Marie Brady) นักวิชาการชาวนิวซีแลนด์และศาสตราจารย์สาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแคนเทอร์เบอรี กล่าวว่า "เจียง เจ๋อหมิน เป็นเสนาธิการทางการเมืองมายาวนานโดยไม่สนใจอุดมการณ์และความสำคัญของงาน การประชุมครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการโฆษณาชวนเชื่อยุคใหม่และงานความคิดทางการเมืองในประเทศจีน" หลังจากนั้นไม่นาน กรมโฆษณาชวนเชื่อกลางได้รับงบประมาณและอำนาจที่มากขึ้น รวมถึงอำนาจในการแทรกแซงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการโฆษณาชวนเชื่อ และกวาดล้างตำแหน่งของผู้ที่สนับสนุนขบวนการประชาธิปไตย[35] เจียงยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลางต่อจากเติ้ง เสี่ยวผิงเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532[36] และประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีนในวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2536[37] นี่เป็นจุดเริ่มต้นธรรมเนียมของผู้นำสูงสุดของจีน ที่จะดำรงตำแหน่งทั้งเลขาธิการพรรค ประธานาธิบดี และประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลางไปพร้อม ๆ กัน[38] ผู้นำประเทศในช่วง 2–3 ปีแรกของการเป็นผู้นำ เจียงยังต้องอาศัยการสนับสนุนจากเติ้ง เสี่ยวผิงเพื่อให้อยู่ในอำนาจต่อไป[39] ซึ่งบังคับให้เจียงเข้าสู่ "จุดยืนสุดโต่ง" ต่อไต้หวันและสหรัฐฯ[40] เจียงสนับสนุนข้อเรียกร้องของเติ้งที่ต่อต้านการเปิดเสรีชนชั้นกระฎุมพี เจียงถูกมองว่าเป็น "นักปฏิรูปที่มีความคิด" แต่ในความเป็นจริงแล้วเขา "เห็นด้วยกับมุมมองอนุรักษ์นิยมของผู้เฒ่าในพรรคและเพื่อนร่วมงานในกรมการเมืองของเขา"[41] เติ้งผู้สนับสนุนการปฏิรูปได้กล่าวว่า "การเอียงไปทางซ้ายเป็นอันตรายยิ่งกว่าการเอียงไปทางขวาเสียอีก"[42] เติ้งเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ความเป็นผู้นำของเจียงในปี พ.ศ. 2535 ในระหว่างการเยือนภาคใต้ของเติ้ง เขาได้เสนอแนะอย่างละเอียดว่าการปฏิรูปยังไม่เร็วพอ[43] เจียงเริ่มระมัดระวังมากขึ้นเรื่อย ๆ และสนับสนุนการปฏิรูปของเติ้งอย่างสมบูรณ์ เจียงได้ประกาศใช้ "เศรษฐกิจตลาดแบบสังคมนิยม" ใหม่เพื่อเปลี่ยนเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมเดิมของจีน ให้กลายเป็นระบบเศรษฐกิจตลาดที่ควบคุมโดยรัฐบาล นับเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้สังคมนิยมอัตลักษณ์จีนของเติ้งเป็นจริง[44][45] ในเวลาเดียวกัน เจียงได้ยกระดับผู้สนับสนุนของเขาหลายคนจากเซี่ยงไฮ้ขึ้นสู่ตำแหน่งระดับสูงในรัฐบาล เขายกเลิกคณะกรรมาธิการที่ปรึกษาส่วนกลางที่ล้าสมัยในปี พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นคณะที่ปรึกษาที่ประกอบด้วยนักปฏิวัติผู้อาวุโสของพรรค การพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 การปฏิรูปเศรษฐกิจหลังเหตุการณ์เทียนอันเหมินที่ดําเนินการโดยนายกรัฐมนตรีจู หรงจี้ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ ทำให้จีนอยู่ในเส้นทางการเติบโตที่มั่นคง มาตรฐานการครองชีพของชาวจีนดีขึ้น ในขณะเดียวกัน จีนก็เผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมมากมาย เจียงสืบทอดประเทศจีนที่มีการทุจริตทางการเมืองกําเริบเสิบสาน เศรษฐกิจของภูมิภาคเติบโตเร็วเกินไป ซึ่งไม่เอื้อต่อความมั่นคงของประเทศ นโยบายของเติ้งที่ว่า "บางพื้นที่สามารถรวยได้ก่อนพื้นที่อื่น" ทําให้เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนในพื้นที่ชายฝั่งทะเลและมณฑลในประเทศ การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และการผ่อนคลายกฎระเบียบในอุตสาหกรรมหนักบางประเภท นำไปสู่การปิดตัวของรัฐวิสาหกิจ (SOE) หลายแห่ง ซึ่งทำลายชามข้าวเหล็กของประชาชนจำนวนมาก พนักงานรัฐวิสาหกิจมากถึง 40 ล้านตำแหน่งต้องตกงาน[46][47] เป็นผลให้อัตราการว่างงานพุ่งสูงขึ้น ซึ่งสูงถึงร้อยละ 40 ในเขตเมืองบางแห่ง และตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง ขนาดของการโยกย้ายถิ่นฐานของประชากรในชนบทไปยังเขตเมืองนั้นไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อนและแทบไม่ได้ดําเนินการใด ๆ ในการแก้ปัญหาช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนที่กว้างขึ้นในเขตเมืองและชนบท รายงานอย่างเป็นทางการระบุว่า สัดส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ร้อยละ 10 ของจีน ถูกโอนและนําไปใช้ในทางทุจริตโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ[48] เป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดของเจียงในด้านเศรษฐกิจคือความมั่นคง เขาเห็นว่ารัฐบาลที่มีเสถียรภาพและมีอำนาจรวมศูนย์สูงจะเป็นเงื่อนไขเบื้องต้น และเลือกที่จะเลื่อนการปฏิรูปการเมืองออกไป ซึ่งเป็นการซ้ำเติมปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายมิติของการปกครอง[49] หลังจากที่พื้นที่ชายฝั่งทะเลและเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) ได้รับการพัฒนาอย่างเพียงพอแล้ว เจียงก็ได้สนับสนุนให้เมืองที่ร่ำรวยให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงิน เทคโนโลยี และการบริหาจัดการแก่เมืองทางตะวันตกที่ยากจนกว่า เพื่อลดความแตกต่างทางภูมิศาสตร์[50] ภายใต้การนําของเจียง โครงการโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เช่น ทางรถไฟสายชิงไห่–ทิเบต และเขื่อนซานเสียต้าป้า ก็ได้เริ่มการก่อสร้าง[51] ในยุคของเจียง จีนได้บรรลุการโอนอํานาจอธิปไตยของฮ่องกงและมาเก๊าตามกําหนดเวลา และได้รับสิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนปี พ.ศ. 2551 ที่กรุงปักกิ่ง และเจ้าภาพจัดงานนิทรรศการโลก (World Expo) ปี พ.ศ. 2553 ที่เซี่ยงไฮ้ ในปี พ.ศ. 2544 จีนประสบความสําเร็จในการเข้าร่วมองค์การการค้าโลก ทําให้จีนดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเป็นจํานวนมากและสร้างความมั่นใจในความมั่งคั่งและการพัฒนาทางเศรษฐกิจของจีนอย่างรวดเร็ว[52] หลังจากที่จีนกลายเป็นโรงงานของโลก ก็ก่อให้เกิดปัญหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนที่กว้างขึ้น และมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม การต่างประเทศภายใต้การนำของเจียง จีนยังคงสานต่อรูปแบบการทูตเพื่อการพัฒนาจากสมัยเติ้ง เสี่ยวผิง[53] นโยบายการต่างประเทศของจีนในสมัยของเจียง เน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐ และความสัมพันธ์ของจีนกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นหลัก[53] เจียงพยายามทำให้สถานะทางเศรษฐกิจของจีนแข็งแกร่งขึ้นในต่างประเทศ โดยพยายามสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศต่าง ๆ ที่การค้าส่วนใหญ่ถูกจํากัดอยู่ในเศรษฐกิจสหรัฐ ความสัมพันธ์จีน–สหรัฐในระหว่างการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเจียง ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐ[54] ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2536 กองทัพเรือสหรัฐได้สกัดกั้นเรือบรรทุกสินค้าของจีนชื่อ หยินเหอ โดยอ้างว่าสงสัยว่าเรือแอบบรรทุกสารตั้งต้นของอาวุธเคมีไปยังอิหร่าน[55] แม้ว่าจีนจะปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่สหรัฐก็ตัด GPS ของเรือ ส่งผลให้เรือสูญเสียทิศทางและต้องทอดสมออยู่ในทะเลหลวงเป็นเวลา 24 วันจนกว่าจะยอมให้มีการตรวจสอบ[55] แต่ตรวจสอบแล้วพบว่าไม่มีสารตั้งต้นทางเคมีบนเรือ[55] แม้ว่าจีนต้องการคำขอโทษอย่างเป็นทางการ แต่สหรัฐกลับปฏิเสธที่จะขอโทษและปฏิเสธที่จะจ่ายค่าชดเชย[55] เจียงไม่สนใจความอัปยศอดสูของเหตุการณ์ดังกล่าว แต่เขาก็แสดงท่าทีไมตรีจิตต่อสหรัฐ และนำนโยบาย "สิบหกอักษร" มาใช้ในการทำงานกับสหรัฐ ได้แก่ "เพิ่มความมั่นใจ ลดปัญหา ขยายความร่วมมือ และเลี่ยงการเผชิญหน้า" (长期共存, 互相监督, 肝胆相照, 荣辱与共)[55] เจียงเดินทางเยือนสหรัฐอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2540 ซึ่งดึงดูดผู้ประท้วงจากขบวนการขบวนการเรียกร้องเอกราชทิเบตไปจนถึงผู้สนับสนุนขบวนการประชาธิปไตยในจีน เขาได้กล่าวสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่ไม่สามารถหลีกหนีคำถามเกี่ยวกับประชาธิปไตยและเสรีภาพได้ ในการประชุมสุดยอดอย่างเป็นทางการกับประธานาธิบดีบิล คลินตัน ทั้งสองฝ่ายได้หาจุดยืนร่วมกัน มองข้ามประเด็นที่ไม่เห็นด้วย และได้ลงนามในข้อตกลงหลายฉบับเกี่ยวกับการดำเนินการตามข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการใช้พลังงานนิวเคลียร์อย่างสันติ คลินตันตกลงที่จะเยือนจีนในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2541 และให้คำมั่นว่าจีนและสหรัฐจะเป็นหุ้นส่วนกันในโลกนี้ ไม่ใช่ศัตรู[56] หลังจากการทิ้งระเบิดสถานทูตจีนในกรุงเบลเกรดเมื่อปี พ.ศ. 2542 เจียงดูเหมือนจะแสดงท่าทีที่แข็งกร้าวในประเทศ แต่เป็นเพียงการประท้วงเชิงสัญลักษณ์เท่านั้นและไม่มีการกระทําใด ๆ ในทางปฏิบัติ[49] เนื่องจากเจียงถือว่าความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสหรัฐและจีนมีความสำคัญเกินกว่าจะถูกทำลายด้วยอารมณ์ความรู้สึกในขณะนั้น[57] เหตุการณ์เกาะไหหลำ ถือเป็นเหตุการณ์ตึงเครียดอีกเหตุการณ์หนึ่งในความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐ ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเจียง[58] ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2544 เครื่องบินสอดแนม ล็อกฮีด อีพี-3 ของสหรัฐ ชนกันกลางอากาศกับเครื่องบินขับไล่ เฉิ่นหยาง เจ-8 ของจีน เหนือทะเลจีนใต้[58] จีนเรียกร้องให้มีการขอโทษอย่างเป็นทางการ และยอมรับคําแถลงขอโทษของนายคอลิน พอเวลล์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ[58] อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความรู้สึกด้านลบของสาธารณชนจีนที่มีต่อสหรัฐ และเพิ่มความรู้สึกของสาธารณชนที่มีต่อลัทธิชาตินิยมจีน[58] ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐเปลี่ยนไปหลังเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน เนื่องจากจีนได้สนับสนุนการทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายอย่างเปิดเผย และลงคะแนนเสียงสนับสนุนมติคณะมนตรีความมั่นคงที่ 1373 ที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อสนับสนุนการโจมตีทางทหารโดยสหรัฐและกองกำลังพันธมิตรอื่น ๆ ต่ออัฟกานิสถาน และมอบเงิน 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่อัฟกานิสถานหลังจากการล่มสลายของระบอบตอลิบาน หลังเหตุการณ์ 11 กันยายน จีนและสหรัฐได้เปิดการเจรจาทวิภาคีเกี่ยวกับการต่อต้านการก่อการร้าย[59] หลังจากนั้น สหรัฐก็ไม่ถือว่าจีนเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดอีกต่อไป แต่มุ่งความสนใจไปที่สถานการณ์ในตะวันออกกลางและภัยคุกคามจากการก่อการร้ายแทน สหรัฐตระหนักดีว่าสถานการณ์ในเอเชียตะวันออกจะต้องมีเสถียรภาพ ความสัมพันธ์จีน–รัสเซีย และประเทศเพื่อนบ้านในปี พ.ศ. 2534 เจียงได้ลงนามในข้อตกลงระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียตเกี่ยวกับส่วนตะวันออกของพรมแดนระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียต กับประธานาธิบดี มีฮาอิล กอร์บาชอฟ ของโซเวียต และลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลจีนและรัสเซียเกี่ยวกับการลดกองกําลังติดอาวุธในพื้นที่ชายแดนและเสริมสร้างความเชื่อมั่นในด้านการทหาร กับประธานาธิบดี บอริส เยลต์ซิน ของรัสเซีย ในระหว่างการเยือนจีนอย่างเป็นทางการของเยลต์ซินในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2542 เขาและเจียงได้ลงนามใน "พิธีสารการบรรยายเกี่ยวกับตะวันออกและตะวันตกของเส้นแบ่งเขตจีน–รัสเซีย" ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2544 เจียงเดินทางไปเยือนมอสโกอีกครั้งและลงนามใน "สนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือฉันมิตรระหว่างจีนและรัสเซีย" กับประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย เพื่อยืนยันเส้นแบ่งเขตของเขตแดนที่มีข้อพิพาทระหว่างสองประเทศในรูปแบบของสนธิสัญญา[60][61] ในปี พ.ศ. 2547 จีนและรัสเซียได้กำหนดขอบเขตประเทศของตนใหม่ และแบ่งเกาะเฮย์เซียจือออกเป็นสองส่วน โดยให้ส่วนตะวันตกกลับคืนสู่จีน[62][63] ในเวลาเดียวกัน หลังจากปี พ.ศ. 2533 ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเวียดนามก็กลับสู่ภาวะปกติ ข้อพิพาทชายแดนที่กินเวลานานถึง 11 ปีได้สิ้นสุดลง ในที่สุดพรมแดนทางบกของทั้งสองประเทศก็ถูกกําหนดขึ้นใหม่ ทั้งสองฝ่ายได้กําหนดเส้นตรงกลางในอ่าวตังเกี๋ย ในวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2543 เจียงได้ลงนามในข้อตกลงเขตแดนอ่าวตังเกี๋ยในนามของจีนกับเวียดนาม[64] เกาะฝูฉุ่ยโจว (รู้จักกันในชื่อเกาะไป๋หลงเหว่ย์ในเวียดนาม) ได้มอบให้กับเวียดนามอย่างเป็นทางการ และยังได้ลงนาม "ข้อตกลงการประมง" เกี่ยวกับความร่วมมือด้านการประมงในอ่าวตังเกี๋ยระหว่างจีนและเวียดนามด้วย[65] หลังจากการแบ่งเขตอ่าวตังเกี๋ย มณฑลกวางตุ้งก็ได้สูญเสียพื้นที่ประมงไป 32,000 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 50 ของพื้นที่ประมงเดิม ทำให้สถานะของทรัพยากรนอกชายฝั่งเป็นเรื่องที่น่ากังวล หนังสือพิมพ์โกลบอลไทมส์ (Global Times) ระบุว่า "จีนเห็นคุณค่าและหวงแหนมิตรภาพระหว่างทั้งสองประเทศมาโดยตลอด เมื่อจีนและเวียดนามแบ่งเขตแดนทางทะเลในอ่าวตังเกี๋ย จีนก็ยกเกาะไป๋หลงเหว่ย์ซึ่งอดีตเป็นของจีนให้กับเวียดนาม"[60][66] ในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2547 เฉิง เสียงได้ออกบทความในหนังสือพิมพ์หมิงเป้า (Ming Pao) ในหัวข้อ "สิ่งที่เจียง เจ๋อหมินต้องอธิบายให้ชาวจีนฟัง" ว่าสิ่งที่เจียงและเยลต์ซินได้ลงนามไปในปี พ.ศ. 2542 เป็นการยอมสละการอ้างสิทธิ์ในดินแดนที่โซเวียตยึดครองเพียงฝ่ายเดียว ทําให้จีนต้องสูญเสียพื้นที่ประมาณ 3.44 ล้านตารางกิโลเมตร (ไม่นับมองโกเลียนอก) สําหรับดินแดนเหล่านี้ ผู้นําโซเวียต วลาดิมีร์ เลนิน เคยออกแถลงการณ์ว่าจะคืนให้กับจีนถึงสามครั้ง (พ.ศ. 2462–2466) เฉิง เสียงจึงเชื่อว่าเจียงด้อยกว่าผู้นําคนอื่น ๆ ในเรื่องนี้ และกระบวนการของเจียงที่สละดินแดนจำนวนมาก ตั้งแต่การเจรจาไปจนถึงการลงนามในสนธิสัญญาขั้นสุดท้าย ไม่เคยถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ และเฉิงเชื่อว่าเจียงเป็นหนี้คําอธิบายของประชาชนจีนและมีหน้าที่ต้องอธิบายเหตุผลในการขายดินแดนของจีนต่อประชาชน[67] ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2548 สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติได้จับกุมเฉิง เสียงในข้อหาจารกรรม โดยอ้างว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองที่พัฒนาโดยสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของไต้หวัน[68] ในวันที่ พ.ศ. 2560 เว็บไซต์ยูเรเชียนเดลินิวส์ (Eurasian Daily News) ของมอสโกได้รายงานว่า สื่อของรัสเซียได้พิมพ์บทความซ้ำในหัวข้อ "จีนอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนทาจิกิสถาน" ในปลายปี พ.ศ. 2559 นักวิชาการชาวจีนหลายคนขอให้รัฐบาลสำรวจพื้นที่บางส่วนของทาจิกิสถานอีกครั้งเพื่อศึกษาว่าเป็นของจีนมาตั้งแต่สมัยโบราณหรือไม่ วิทยุเอเชียเสรี (Radio Free Asia) รายงานว่าสื่อจีนบางแห่งได้ตีพิมพ์บมความทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการ "ขายชาติ" ของเจียงในช่วงเวลานั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเจียงได้ลงนามในข้อตกลงเพื่อ "ขาย" ดินแดนให้กับประเทศเพื่อนบ้านโดยไม่มีแรงกดดันจากภายนอก เจียงได้ลงนามข้อตกลงกับทาจิกิสถานในปี พ.ศ. 2545 เพื่อยกดินแดนปามีร์ที่อยู่ติดกันประมาณ 27,000 ตารางกิโลเมตร ทำให้ทาจิกิสถานได้รับพื้นที่พิพาทร้อยละ 96.5 อย่างไรก็ตาม ก่อนการลงนามในสนธิสัญญา ดินแดนพิพาททั้งหมดถูกอ้างสิทธิ์และควบคุมโดยทาจิกิสถานจริง ๆ หลังจากลงนามในสนธิสัญญา จีนก็ได้เพิ่มพื้นที่ควบคุมอย่างน้อย 1,000 ตารางกิโลเมตร[69][70] ความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบไต้หวันเจียงได้ดูแลการทดสอบขีปนาวุธหลายครั้งในน่านน้ำรอบไต้หวันในปี พ.ศ. 2539 เพื่อประท้วงรัฐบาลสาธารณรัฐจีนภายใต้ประธานาธิบดี หลี่ เติงฮุย ซึ่งถูกมองว่ากําลังเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศและหันหลังให้กับนโยบายจีนเดียว หลังจากวิกฤตช่องแคบไต้หวันคลี่คลาย ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและไต้หวันก็ค่อย ๆ ดีขึ้น โดยมีการแลกเปลี่ยนระดับสูงและความคืบหน้าในการเจรจาทวิภาคีเพิ่มมากขึ้น ทั้งสองฝ่ายมีการเจรจาทวิภาคีในด้านสิทธิมนุษยชน การไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ และการค้า การทหาร
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภูมิหลังด้านวิทยาศาสตร์ของเจียงทำให้เขาให้ความสำคัญกับการพัฒนาวิทยาศาสตร์และการศึกษาในระหว่างการบริหารประเทศ ในการประชุมรางวัลวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2532 เจียงได้ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อการพัฒนาผลิตภาพทางสังคม และยืนกรานที่จะวางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไว้ในตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ที่มีลำดับความสำคัญของการพัฒนา ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2535 ในการประชุมสมัชชาพรรคที่ 14 เขาได้เสนอ "การสร้างตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาลำดับความสำคัญด้านวิทยาศาสตร์และการศึกษา" และในปี พ.ศ. 2539 ได้กำหนดยุทธศาสตร์การฟื้นฟูประเทศผ่านวิทยาศาสตร์และการศึกษา ในปีต่อ ๆ มา คณะมนตรีรัฐกิจได้เปิดตัวโครงการนวัตกรรมความรู้ โครงการนวัตกรรมเทคโนโลยี โครงการ 211 และโครงการ 985 เป็นต้น[71] ในวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2535 ในการประชุมคณะกรรมาธิการประจำกรมการเมือง ซึ่งมีเจียงเป็นประธาน ได้อนุมัติโครงการอวกาศของจีนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีนอย่างเป็นทางการ[72] ในระหว่างการดำเนินโครงการ เขาได้ไปเยี่ยมชมเมืองอากาศยานปักกิ่ง ศูนย์ส่งดาวเทียมจิ่วเฉฺวียน และสถานที่อื่น ๆ เพื่อตรวจสอบและพบกับบุคลากรทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สนับสนุนและมีส่วนร่วมในการพัฒนา นอกจากนี้ เขายังเฝ้าดูการปล่อยยานอวกาศเฉินโจว-3ด้วย[73] หลังจากพัฒนามานานกว่า 10 ปี จีนก็กลายเป็นประเทศที่ 3 ในโลกที่เชี่ยวชาญความสามารถในการบินอวกาศโดยมนุษย์ในปี พ.ศ. 2546 รองจากสหภาพโซเวียต/รัสเซีย และสหรัฐ การออกสื่อหนังสือพิมพ์พีเพิลส์เดลี (People's Daily) และข่าวซินเหวินเหลียนปัว (Xinwen Lianbo) ของสถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (CCTV) ได้นำเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเจียงเป็นข่าวหน้าหนึ่งหรือพาดหัวข่าว จนกระทั่งมีการปฏิรูปการจัดการสื่อโดยหู จิ่นเทาในปี พ.ศ. 2549 เจียงปรากฏตัวอย่างสบาย ๆ ต่อหน้าสื่อตะวันตก และให้สัมภาษณ์อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนกับไมก์ วอลเลซ (Mike Wallace) จากช่องซีบีเอส (CBS) ในปี พ.ศ. 2543 ที่เป่ย์ไต้เหอ เขามักจะใช้ภาษาต่างประเทศหน้ากล้องบ่อย ๆ ครั้งหนึ่งเขากล่าวสุนทรพจน์เป็นภาษารัสเซียเป็นเวลา 40 นาที[74] ในปี พ.ศ. 2543 มีการเผชิญหน้ากันระหว่างเจียงกับ ชารอน เฉิง นักข่าวชาวฮ่องกง เกี่ยวกับ "คำสั่งของจักรพรรดิ" ที่ชัดเจนของรัฐบาลกลางในการสนับสนุน ตุง ชี-ฮฺวา ให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกงสมัยที่สอง เจียงได้ดุนักข่าวชาวฮ่องกงว่า "เรียบง่ายเกินไป บางครั้งก็ไร้เดียงสา" (too simple, sometimes naive) เป็นภาษาอังกฤษ[75][76] ทฤษฎีสามตัวแทนในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 เจียงได้นำเสนอ "ทฤษฎีสามตัวแทน" (三个代表) ซึ่งต่อมาได้ถูกเขียนลงในรัฐธรรมนูญของทั้งพรรคและประเทศว่าเป็น "แนวคิดที่สำคัญ" ตามรอยลัทธิมากซ์–เลนิน ลัทธิเหมา และทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิง[77][78] เรียกอย่างเป็นทางการว่าเป็นพัฒนาการล่าสุดของสังคมนิยมอัตลักษณ์จีนภายใต้การดำรงตำแหน่งของเจียง[79] ทฤษฎีสามตัวแทนนี้ปกป้องการเข้าร่วมพรรคของชนชั้นธุรกิจทุนนิยมใหม่ และเปลี่ยนอุดมการณ์ดั้งเดิมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนจากการปกป้องผลประโยชน์ของชาวนาและกรรมกรเป็นผลประโยชน์ของ "ประชาชนส่วนใหญ่" ซึ่งเป็นคําสละสลวยที่มุ่งเอาใจชนชั้นผู้ประกอบการที่กําลังเติบโต นักวิจารณ์สายอนุรักษนิยมในพรรค เช่น เติ้ง ลี่ฉฺวิน ฝ่ายซ้ายหัวรุนแรง ประณามสิ่งนี้ว่าเป็นการทรยศต่ออุดมการณ์คอมมิวนิสต์ที่แท้จริง[77] ก่อนที่เขาจะโอนอำนาจให้กับผู้นำรุ่นต่อไป เจียงได้เขียนสามตัวแทนไว้ในรัฐธรรมนูญของพรรค ควบคู่ไปกับลัทธิมากซ์–เลนิน ลัทธิเหมา และทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง ในการประชุมสมัชชาพรรคครั้งที่ 16 ในปี พ.ศ. 2545[80] การปราบปรามฝ่าหลุนกงในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2542 เจียงได้จัดตั้งหน่วยงานนอกกฎหมายขึ้น ซึ่งก็คือสำนักงาน 610 เพื่อปราบปรามฝ่าหลุนกง เชื่อกันว่าเป็นเพราะเจียงกังวลว่าขบวนการทางศาสนาใหม่ที่ได้รับความนิยมกำลังแทรกซึมเข้าไปในพรรคและกลไกของรัฐอย่างเงียบ ๆ[81] ในวันที่ 20 กรกฎาคม กองกำลังรักษาความปลอดภัยได้เข้าจับกุมสาวกลัทธิฝ่าหลุนกงหลายพันคน[82] การประหัตประหารที่ตามมามีลักษณะเป็นการรณรงค์โฆษณาชวนเชื่อทั่วประเทศ รวมถึงการจำคุกตามอำเภอใจในวงกว้างและการให้ความรู้แก่สาวกฝ่าหลุนกง ซึ่งบางครั้งก็ส่งผลให้เสียชีวิตเนื่องจากการปฏิบัติมิชอบในสถานคุมขัง[83][84][85] ลงจากอำนาจในช่วงก่อนการประชุมสมัชชาพรรคครั้งที่ 16 หู จิ่นเทา ได้รับการสนับสนุนเกือบเป็นเอกฉันท์ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนคนใหม่[86] เจียงและหูได้เน้นย้ำถึงความสามัคคีของพวกเขา โดยมุ่งมั่นที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ราบรื่นและกลมกลืนครั้งแรกในประวัติศาสตร์สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของจีนในฐานะประเทศที่มั่นคงและเป็นที่เคารพ[87][88] เจียงก้าวลงจากตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ของพรรคและออกจากคณะกรรมาธิการถาวรประจำกรมการเมือง แต่ยังคงดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง[89] ซึ่งควบคุมกองทัพและนโยบายต่างประเทศของประเทศ[90] เจียงจะคอยให้คำปรึกษาหูต่อไปใน "หลังม่าน" และมีการตกลงกันอย่างเป็นทางการว่าหูจะปรึกษาหารือกับเจียงในทุกเรื่องที่มีความสำคัญเกี่ยวกับประเทศ[90] ทั้งสองยังบรรลุความเข้าใจโดยปริยาย ว่าหูจะไม่ถือเป็นผู้นำหลักของจีน ดังเช่นเจียง เติ้ง และเหมา[91] ในการประชุมสมัชชาพรรคครั้งที่ 16 สมาชิกใหม่ของคณะกรรมาธิการถาวรประจำกรมการเมืองส่วนใหญ่มาจากกลุ่มการเมืองของเจียงที่เรียกว่า "กลุ่มเซี่ยงไฮ้" เช่น รองประธานาธิบดี เจิง ชิ่งหง ซึ่งดำรงตำแหน่งเสนาธิการของเจียงมาหลายปี และรองนายกรัฐมนตรีหฺวาง จฺวี๋ อดีตเลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคประจำนครเซี่ยงไฮ้[92] หลังจากที่หูรับช่วงต่อจากเจียงในฐานะเลขาธิการใหญ่ หูคนหลังยังคง 'ครองชีวิตสาธารณะ' ต่อไปเป็นเวลาหลายปี[93] หนังสือพิมพ์เซาท์ไชนามอร์นิงโพสต์ (South China Morning Post) รายงานว่า "ยุคใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในจีน แต่ไม่ใช่ยุคของรองประธานาธิบดีหู จิ่นเทา แต่เป็นยุคใหม่ของประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน ที่เพิ่งก้าวลงจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค"[89] ในช่วงต้นของวิกฤตโรคซาร์สในปี พ.ศ. 2546 เจียงยังคงนิ่งเงียบอย่างเห็นได้ชัด และผู้สังเกตการณ์ต่างคาดว่าสิ่งนี้บ่งบอกถึงอิทธิพลที่ลดลงของเขา หรือมีความเคารพต่อหู[94] เป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าการจัดการเชิงสถาบันที่สร้างขึ้นโดยการประชุมสมัชชาพรรคครั้งที่ 16 ทำให้เจียงอยู่ในตำแหน่งที่เขาไม่สามารถใช้อิทธิพลได้มากนัก[95] แม้ว่าเจียงจะดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลางต่อไป แต่สมาชิกส่วนใหญ่ของคณะกรรมาธิการก็เป็นทหารอาชีพ หนังสือพิมพ์กองทัพปลดปล่อยประชาชนรายวัน (People's Liberation Army Daily) ซึ่งเป็นสิ่งพิมพ์ที่คาดว่าจะนำเสนอมุมมองของคนส่วนใหญ่ของคณะกรรมาธิการ ได้ตีพิมพ์บทความเมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2546 ซึ่งอ้างอิงคำพูดของผู้แทนกองทัพสองคนว่า "การมีศูนย์เดียวเรียกว่าความภักดี หากมีสองศูนย์จะทำให้เกิดปัญหา" สิ่งนี้ถูกตีความว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ความพยายามของเจียงที่จะใช้ความเป็นผู้นำแบบคู่ขนานกับหูตามแบบของเติ้ง เสี่ยวผิง[96] ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2547 หลังจากการประชุมเต็มคณะครั้งที่ 4 ของคณะกรรมาธิการกลางพรรคชุดที่ 16 เจียงในวัย 78 ปีได้สละตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลางของพรรค ซึ่งเป็นตำแหน่งสุดท้ายในพรรค 6 เดือนต่อมาในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2548 เจียงได้ลาออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการทหารส่วนกลางของรัฐ ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญครั้งสุดท้ายของเขา ถือเป็นการสิ้นสุดอาชีพทางการเมืองของเจียง[โปรดขยายความ] ไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านั้น มีการคาดการณ์ว่าภายในพรรคกําลังกดดันให้เจียงก้าวลงจากตําแหน่ง หูได้รับช่วงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลางต่อจากเจียง นายพลสฺวี ไฉโฮ่ว์ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมาธิการของหู ไม่ใช่เจิง ชิ่งหง ดังที่คาดการณ์ไว้ในตอนแรก สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความพ่ายแพ้ทางการเมืองอย่างเห็นได้ชัดของเจียง การเปลี่ยนแปลงอำนาจครั้งนี้ถือเป็นการสิ้นสุดยุคของเจียงอย่างเป็นทางการ ซึ่งกินเวลาระหว่างปี พ.ศ. 2532–2547 [97] การปรากฏตัวอย่างเป็นทางการหลังลงจากตำแหน่งเจียงยังคงปรากฏตัวอย่างเป็นทางการหลังจากลงจากตำแหน่งสุดท้ายของเขาในปี พ ศ. 2547 ในลำดับพิธีการที่กำหนดไว้ของจีน ชื่อของเจียงมักจะปรากฏตามหลังหู จิ่นเทา และก่อนหน้าสมาชิกคณะกรรมาธิการถาวรประจำกรมการเมืองที่เหลืออยู่เสมอ ในปี พ.ศ. 2550 เจียงและหู จิ่นเทาปรากฏตัวบนเวทีในพิธีครบรอบ 80 ปีการก่อตั้งกองทัพปลดปล่อยประชาชน[98] และเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ทหารการปฏิวัติประชาชนจีนร่วมกับหลี่ เผิง จู หรงจี้ และอดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสคนอื่น ๆ[99] ในวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2551 เจียงก็ปรากฏตัวในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนที่กรุงปักกิ่ง[100] นอกจากนี้เขายังยืนอยู่ข้างหู จิ่นเทา ระหว่างพิธีสวนสนามครบรอบ 60 ปีสาธารณรัฐประชาชนจีนในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2552[101] ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 รายงานเท็จเกี่ยวกับการถึงแก่อสัญกรรมของเจียงเริ่มแพร่สะพัดในสื่อข่าวนอกจีนแผ่นดินใหญ่และทางอินเทอร์เน็ต[102][103] แม้ว่าเจียงอาจจะป่วยและได้รับการรักษาแล้ว แต่แหล่งข่าวอย่างเป็นทางการก็ปฏิเสธข่าวลือดังกล่าว[104] ในวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2554 เจียงปรากฏตัวต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ข่าวมรณกรรมก่อนกำหนดในกรุงปักกิ่งในงานครบรอบ 100 ปีการปฏิวัติซินไฮ่[105] เจียงปรากฏตัวอีกครั้งในการประชุมสมัชชาพรรคครั้งที่ 18 ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2555 และเข้าร่วมในงานเลี้ยงครบรอบ 65 ปีสาธารณรัฐประชาชนจีนในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2557 ในงานเลี้ยง เขานั่งข้างสี จิ้นผิง ซึ่งต่อมาได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่อจากหู จิ่นเทา ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2558 เจียงเข้าร่วมพิธีสวนสนามครบรอบ 70 ปีการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ที่นั่นเจียงนั่งข้างสี จิ้นผิงและหู จิ่นเทาอีกครั้ง[106] เขาปรากฏตัวที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเซี่ยงไฮ้เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2560[107] หลังจากที่สี จิ้นผิงขึ้นสู่อำนาจในปี พ.ศ. 2555 ชื่อของเจียงในลำดับพิธีการผู้นำก็ถูกเปลี่ยนแปลงให้รายงานตามหลังสมาชิกคณะกรรมาธิการถาวรประจำของกรมการเมืองที่เหลือ แม้ว่าเขามักจะนั่งข้างสี จิ้นผิงในพิธีทางการก็ตาม[108] เจียงปรากฏตัวอีกครั้งในการประชุมสมัชชาพรรคครั้งที่ 19 เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2560[109] และปรากฏตัวในพิธีศพของอดีตนายกรัฐมนตรีหลี่ เผิง เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2562[110][111][112] นอกจากนี้ เขายังเข้าร่วมพิธีสวนสนามครบรอบ 70 ปีสาธารณรัฐประชาชนจีนในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2562 ซึ่งถือเป็นการปรากฏตัวต่อสาธารณะครั้งสุดท้ายก่อนถึงแก่อสัญกรรม[113] เจียงไม่ได้เข้าร่วมการประชุมสมัชชาพรรคครั้งที่ 20 ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565[114] ครอบครัวและชีวิตส่วนตัวเจียงสมรสกับหวัง เย่ผิง ซึ่งเป็นชาวหยางโจวเช่นกันในปี พ.ศ. 2492[115] เธอเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา เนื่องจากแม่บุญธรรมของเจียงเป็นป้าของหวัง หวังสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยนานาชาติศึกษาเซี่ยงไฮ้[116] ทั้งสองมีบุตรชายด้วยกันสองคน คือ เจียง เหมียนเหิง และเจียง เหมียนคัง[117] เชื่อกันว่าเจียงมีมิตรภาพที่ยาวนานกับนักร้อง ซ่ง จู่อิง เฉิน จื้อลี่ และคนอื่น ๆ[118][119][120][121][122][123] ภายหลังการขึ้นสู่อำนาจของสี จิ้นผิง ซ่งและผู้จงรักภักดีต่อเจียงคนอื่น ๆ รวมถึงซ่ง จู่ยฺหวี น้องชายของเธอ ตกอยู่ภายใต้การสอบสวนฐานทุจริต[124][125] เจียงสามารถพูดภาษาต่างประเทศได้หลายภาษาพอสมควร[126] เช่น ภาษาอังกฤษและรัสเซีย เจียงเป็นผู้นำเพียงคนเดียวของจีนที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้[126] นอกเหนือจากการร้องเพลงต่างประเทศต้นฉบับแล้วเขายังชอบพูดคุยเกี่ยวกับศิลปะและวรรณกรรมในภาษาแม่ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในปี พ.ศ. 2530 เขาได้ร้องเพลงเมื่อเรายังเด็ก (When We Were Young) และเต้นรำกับไดแอนน์ ไฟน์สไตน์ (Dianne Feinstein) นายกเทศมนตรีเมืองซานฟรานซิสโกในขณะนั้น[127] เจียงยังเล่นอูกูเลเล่ระหว่างที่เขาไปเยือนฮาวายเมื่อปี พ.ศ. 2540[127] อสัญกรรมเจียง เจ๋อหมิน ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 ขณะอายุ 96 ปี ในนครเซี่ยงไฮ้ ตามรายงานของสำนักข่าวซินหัวของจีน เขาเสียชีวิตเมื่อเวลา 12:13 น. ด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและอวัยวะหลายส่วนล้มเหลว[128][129] ในวันที่เจียงถึงแก่อสัญกรรม รัฐบาลได้ออกประกาศลดธงชาติครึ่งเสาในสถานที่สำคัญของกรุงปักกิ่งและสถานฑูตในต่างประเทศ ชาวต่างชาติไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีรำลึกอย่างเป็นทางการ[130] มรดกนโยบายของหู จิ่นเทา และเวิน เจียเป่า ผู้สืบทอดตําแหน่งของเจียง ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาความไม่สมดุลอย่างเห็นได้ชัด โดยเปลี่ยนจากการมุ่งเน้นที่การเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ไปสู่มุมมองของการพัฒนาที่กว้างขึ้น ซึ่งรวมถึงปัจจัยที่ไม่ใช่ทางเศรษฐกิจ เช่น สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม[131] มรดกและชื่อเสียงของเจียงในประเทศมีทั้งดีและไม่ดี[132] บางคนจะเชื่อว่าประเทศจีนในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 นั้นค่อนข้างมีเสถียรภาพและเติบโตมากเนื่องจากการดำรงตำแหน่งของเจียง แต่ก็มีบางคนที่เชื่อว่าเจียงแก้ไขปัญหาความไม่สมดุลของระบบได้น้อยมาก และการสะสมของปัญหาที่เกิดจากการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วเป็นเวลาหลายปี ทําให้รัฐบาลชุดต่อ ๆ มาต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ซึ่งบางเรื่องอาจสายเกินไปที่จะแก้ไข[133] ความจริงที่ว่าเจียงขึ้นสู่อำนาจในฐานะผู้รับผลประโยชน์โดยตรงจากผลพวงของเหตุการณ์ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินได้กําหนดมุมมองของผู้คนเกี่ยวกับการปกครองของเขา หลังจากการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน เจียงได้สนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจอนุรักษนิยมของผู้เฒ่าเฉิน ยฺหวิน แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนความภักดีไปสนับสนุนนโยบายการปฏิรูปเศรษฐกิจของเติ้ง เสี่ยวผิงหลังจากการเยือนภาคใต้ของเติ้ง การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่ถูกมองว่าเป็นเป็นการกระทำของผู้ฉวยโอกาสทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดความสับสนในหมู่ผู้ภักดีต่อพรรคเกี่ยวกับทิศทางและอุดมการณ์ของพรรค[134] แม้ว่าการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องจะนำประเทศไปสู่ความมั่งคั่งที่มากขึ้น แต่ก็ยังนำไปสู่การจัดตั้งกลุ่มผลประโยชน์พิเศษในหลายภาคส่วนของเศรษฐกิจ และการใช้อํานาจรัฐโดยไม่มีการกํากับดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการเปิดทางสําหรับการกระจายผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการแพร่กระจายของวัฒนธรรมการทุจริตของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของพรรค[133] หยาง จี้เฉิง นักประวัติศาสตร์และอดีตนักข่าวสํานักข่าวซินหัว เขียนว่า เจียงอาจจะได้รับการประเมินทางประวัติศาสตร์ในเชิงบวก หากไม่ใช่เพราะการตัดสินใจที่จะอยู่เกินวาระของเขา โดยยังคงอยู่ในตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลางหลังจากที่หู จิ่นเทาเข้ารับตำแหน่งผู้นำพรรคอย่างเป็นทางการ ยิ่งไปกว่านั้น เจียงยังถือว่าความสําเร็จทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาระหว่างปี พ.ศ. 2532–2545 นั้นเป็นผลมาจากเขาเอง สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ปลุกความทรงจําของผู้คนว่าเจียงเป็นผู้รับผลประโยชน์จากเหตุการณ์เทียนอันเหมินเท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิกเฉยต่อรากฐานทางเศรษฐกิจที่เติ้งวางไว้ นอกจากนี้ เจียงยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเขายืนกรานที่จะเขียน "ทฤษฎีสามตัวแทน" ลงในรัฐธรรมนูญของพรรคและประเทศ ซึ่งหยางเรียกความพยายามของเจียงว่าเป็นการ "ยกยอตนเอง" กล่าวคือ เจียงมองว่าตนเองเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ตามเหมือนกับเติ้งและเหมา หยางยังได้แย้งอีกว่า "ทฤษฎีสามตัวแทนนั้นเป็นเพียงสามัญสำนึก ไม่ใช่กรอบทางทฤษฎีที่เหมาะสม และเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ครองอำนาจมาอย่างต่อเนื่อง"[135] เจียงไม่ได้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ เขาได้มอบอํานาจการจัดการเศรษฐกิจของประเทศให้แก่นายกรัฐมนตรีจู หรงจี้ ในปี พ.ศ. 2541 และยังคงดํารงตําแหน่งในช่วงวิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย ภายใต้การนําร่วมกันของพวกเขา ทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ภายในประเทศจีนเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 8 ต่อปี ซึ่งบรรลุอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อหัวที่สูงที่สุดในประเทศเศรษฐกิจหลัก ๆ ของโลก ซึ่งเกิดขึ้นจากกระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด นอกจากนี้เขายังช่วยยกระดับสถานะระหว่างประเทศของจีน โดยเข้าร่วมองค์การการค้าโลกในปี พ.ศ. 2544 และกรุงปักกิ่งได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนปี พ.ศ. 2551[136] บางคนยังเชื่อมโยงเจียงกับระบบพวกพ้อง ว่ากันว่าในกองทัพ สฺวี ไฉโฮ่ว์ และ กัว ปั๋วสฺยง รองประธานคณะกรรมาธิการทหารส่วนกลางของหู จิ่นเทาในขณะนั้น ได้ขัดขวางหูในการใช้อํานาจในกองทัพ ต่อมาทั้งสองคนได้ถูกระบุว่าเป็น "ตัวแทนของเจียงในกองทัพ ท้ายที่สุด ทั้งสองก็ถูกรายงานว่ารับสินบนจำนวนมหาศาล และตกอยู่ภายใต้ขวานของการรณรงค์ต่อต้านการทุจริตภายใต้การนำของสี จิ้นผิง[137] ในขณะเดียวกัน ผู้เขียนชีวประวัติของเจียงหลายคนชี้ว่ารัฐบาลของเขาคล้ายกับคณาธิปไตยมากกว่าเผด็จการ[138] นโยบายหลายอย่างในยุคของเขาต้องยกความดีความชอบให้กับคนอื่น ๆ ในรัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีจู หรงจี้ เจียงยังมีลักษณะเป็นผู้นำที่ใส่ใจที่จะขอความเห็นจากที่ปรึกษาที่ใกล้ชิดของเขา และมักจะได้รับความชอบจากการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่ง[139] แต่ในขณะเดียวกัน ชาวจีนจำนวนมากก็วิพากษ์วิจารณ์เขาว่าประนีประนอมต่อสหรัฐและรัสเซียมากเกินไป ในช่วงการปกครองของเจียง ประเด็นการรวมประเทศระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่และไต้หวันมีความคืบหน้า[140] เครื่องอิสริยาภรณ์
หนังสือ
ดูเพิ่ม
หมายเหตุ
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|