สถานีนำร่อง (ประเทศไทย)
สถานีนำร่อง (อังกฤษ: Pilot station light) เป็นประภาคารควบคุมการเดินเรือบริเวณทางเข้าแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อผ่านร่องน้ำสันดอน และเป็นที่ทำการของพนักงานนำร่อง กรมเจ้าท่า[1] ประวัติสถานีนำร่อง เป็นประภาคารควบคุมการเดินเรือที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแทนที่ประภาคารสันดอนปากน้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นประภาคารหลังแรกของประเทศไทยในการนำร่องเรือเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยาระหว่างปี พ.ศ. 2417 จนถึงปี 2472 ซึ่งในระหว่างนั้นก็มีการนำเรือทุ่นไฟมาใช้งานเพื่อเตรียมเลิกใช้ประภาคารสันดอนปากแม่น้ำเพจ้าพระยา แต่ก็ต้องล้มเลิกความคิดเพราะมีค่าใช้จ่ายสูง[2] จากนั้นได้มีการสร้างประภาคารขึ้นมาใหม่ในปี พ.ศ. 2497[2] และเปิดใช้งานเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480 ได้มีการเปิดใช้งานประภาคารสันดอนที่สร้างขึ้นมาใหม่ ซึ่งขณะนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ และได้สร้างเครื่องหมายทางเรือเพิ่มขึ้นอีกจำนวนหนึ่งเพื่อให้เพียงพอต่อการนำร่องเรือรบในราชการเข้าออกจากแม่น้ำ กระทั้งมีการก่อสร้างท่าเรือกรุงเทพ จึงได้มีการประชุมร่วมกันระหว่างการท่าเรือแห่งประเทศไทย กรมเจ้าท่า กองเรือยุทธการ กรมอุทกศาสตร์ เพื่อหารือเกี่ยวกับการวางระบบเครื่องหมายทางเรือให้สมบูรณ์ในวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 ผลการหารือคือกองทัพเรือจะถ่ายโอนเครื่องหมายทางเรือให้กับการท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดูแลต่อหลังจากได้ดำเนินการขุดลอกร่องน้ำและดำเนินการโครงการเครื่องหมายทางเรือเสร็จสิ้น เว้นไว้แค่ประภาคารสันดอนไว้ที่กองทัพเรือจะขอดูแลเองสำหรับเป็นสถานีตรวจวัดน้ำขึ้นลง ซึ่งได้มีการมอบเครื่องหมายทางเรือให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยดูแลชุดแรกในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2496 กองทัพเรือเหลือไว้เพียงกระโจมไฟนำ 2 คู่และประภาคารสันดอน ต่อมาในวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2502 กองทัพเรือได้หารือไปยังกระทรวงคมนาคมเพื่อขอส่งมอบกระโจมไฟนำและประภาคารสันดอนที่ขณะนั้นทรุดโทรมมากให้กับการท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดูแล เนื่องจากกองทัพเรือขาดงบประมาณในการดูแลและหมดความจำเป็นทีจะสงวนไว้ใช้งานเอง จึงได้มีการรับมอบเครื่องหมายทางเรือบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยาส่วนที่เหลือตั้งแต่สันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงท่าเรือกรุงเทพไปดูแลในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2503 เป็นต้นมา[3] โดยได้ทำการรื้อถอนประภาคารที่ได้รับมอบมา[2] และก่อสร้างสถานีนำร่องขึ้นมาใหม่ในอีกพื้นที่ใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 4 ปีครึ่ง วงเงินงบประมาณ 28 ล้านบาท แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2521[4] ภายใต้ความดูแลของกรมเจ้าท่าและใช้สถานีนำร่องเป็นหลักมาจนถึงปัจจุบัน[5] โครงสร้างสถานีนำร่องในส่วนของฐาน เป็นอาคารคอนกรีตเสริมแรงความสูง 3 ชั้น รูปทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส มีความกว้างด้านละ 24 เมตร ตัวอาคารทาสีขาวสลับกับสีแดง ตั้งอยู่บนตอม่อขนาดใหญ่จำนวน 4 ต้น ซึ่งฝังลึกลงไปในดินประมาณ 12 เมตร เหนือชั้น 3 ขึ้นไปเป็นประภาคารความสูง 16.36 เมตร บนยอดหอคอยติดตั้งสัญญาณไฟที่ให้ความสว่างรอบทิศทาง[6] สถานีนำร่องแต่ละส่วน[6] ประกอบไปด้วย
รายละเอียดสถานีนำร่อง ตามทำเนียบไฟและทุ่นในน่านน้ำประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ละติจูดที่ 13 องศา 22 ลิปดา 44.34 ฟิลิปดาเหนือ ลองติจูดที่ 100 องศา 35 ลิปดา 45.92 ฟิลิปดาตะวันออก ลักษณะไฟเป็นไฟวับเดี่ยวสีขาว ทุก ๆ 10 วินาที โดยจะสว่าง 2 วินาที และมืด 8 วินาที[1] ส่งสัญญาณผ่านกระโจมเรดาร์เป็นรหัสมอร์สอักษร โอ (O)[7] ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของกรมเจ้าท่า ภารกิจเนื่องจากสถานีนำร่องเป็นทั้งประภาคารและสถานีนำร่องสำหรับเรือที่จะเดินทางเข้าไปขนส่งสินค้ายังท่าเรือกรุงเทพหรือท่าเรืออื่น ๆ ภายในแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นระบบนิเวศแบบแม่น้ำ ทำให้เกิดการพัดพาตะกอนจากบนแผ่นดินใหญ่ออกมากลายเป็นสันดอนบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งโดยปกติจะไม่สามารถใช้เรือขนาดใหญ่สัญจรไปมาได้ ทำให้ต้องขุดร่องน้ำลึกสำหรับเดินเรือและมีการวางทุ่นตลอดแนวร่องน้ำจนเข้าไปถึงส่วนของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นส่วนที่เดินเรือโดยยากลำบากเช่นกัน ทำให้ต้องใช้เจ้าหน้าที่นำร่องท้องถิ่น[6] สำหรับประเทศไทยผู้ได้รับอนุญาตมีเพียงเจ้าพนักงานนำร่อง ของกรมเจ้าท่า ในการนำร่องเรือเข้าสู่ร่องน้ำและคอยจัดการควบคุมการเดินเรือรวมถึงประสานงานกับเจ้าพนักงานนำร่องบนเรือลำอื่น ๆ ที่สัญจรสวนกัน[6] เนื่องจากทั้งสภาพการไหลเวียนของน้ำและสภาพของแม่น้ำทำให้เกิดอุบัติเหตุหลายครั้งระหว่างการนำร่อง[8][9] เจ้าพนักงานนำร่องจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเจ้าพนักงานนำร่องจะใช้สถานีนำร่องในการเป็นจุดพักหลังจากนำร่องเรือออกมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา และออกจากสถานีนำร่องเพื่อนำเรือลำใหม่เข้าสู่แม่นำเจ้าพระยาไปยังท่าเรือกรุงเทพหรือท่าเทียบเรือเอกชนอื่น ๆ ต่อไป[6] อ้างอิง
|