อ่าวไทย
อ่าวไทย (เดิมชื่อ อ่าวสยาม) เป็นน่านน้ำที่อยู่ในทะเลจีนใต้ มหาสมุทรแปซิฟิก ล้อมรอบด้วยประเทศไทย ประเทศมาเลเซีย ประเทศกัมพูชา และประเทศเวียดนาม อ่าวไทยไม่เพียงแต่มีความสำคัญในทางภูมิศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะน้ำมันและแก๊สแต่ยังมีความสำคัญในทางกฎหมายอาญาอย่างยิ่ง โดยอาณาเขตที่ศาลไทยมีอำนาจพิจารณาคดีเกี่ยวกับความผิดที่เกิดขึ้นในอาณาบริเวณอ่าวไทยตามที่กำหนดเขตไว้ในกฎหมายให้ถือเป็นราชอาณาจักรไทย ประวัติศาสตร์อ่าวไทยได้ถูกกล่าวถึงครั้งแรกในแผนที่โลกของทอเลมีในชื่อ แมกนัสไซนัส (Magnus Sinus) หรืออ่าวที่กว้างไกลในภาษากรีก ซึ่งทะเลมีได้รวบรวมคำบรรยายจากพ่อค้าวาณิชที่เดินเรือไปอาณาจักรฟูนาน ซึ่งทำให้ทอเลมีอธิบายว่า หากเดินเรือจากอ่าวคงคา ผ่านแหลมทองคำ (Golden Chersonese) ขึ้นไปทางเหนือจะเจอปากอ่าวที่มีขนาดใหญ่มาก มีชายฝั่งคดเคี้ยวและมีแม่น้ำหลายสายไหลลงมาที่อ่าวนึ้[1] ซึ่งแม่น้ำหลายสายที่ว่าอาจหมายถึง แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำบางปะกง โดยหากเดินเรือผ่านพื้นที่จังหวัดตราดลงไปอีกก็จะเจอเมืองท่าสำคัญของอาณาจักรฟูนาน ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่แหล่งโบราณคดีโอเคีย ตำบลเตินเชิว จังหวัดอานซาง ประเทศเวียดนาม ในจดหมายเหตุจีนสมัยโบราณยุคอาณาจักรพัน - พันหรือสุวรรณภูมิ อ่าวไทยมีชื่อว่า อ่าวจินหลิน[2] (Chin Lin) หมายถึงดินแดนทอง และทอเลมีเรียกชื่อบริเวณปากอ่าวไทยว่าไคร้เส (Chrysê)[3] พื้นที่อ่าวไทยมีพื้นที่ 300,858.76 ตารางกิโลเมตร[4] เขตแดนของอ่าวไทยกำหนดด้วยเส้นที่ลากจากแหลมกาเมา ทางตอนใต้ของเวียดนาม ไปยังเมืองโกตาบารูในชายฝั่งมาเลเซีย ซึ่งอยู่ห่างกัน 381 กิโลเมตร โดยจุดเหนือสุดของอ่าวไทย ตรงปากแม่น้ำเจ้าพระยา นิยมเรียกกันว่า "อ่าวประวัติศาสตร์รูปตัว ก" ซึ่งต่างชาติเรียก "อ่าวกรุงเทพฯ" ชายฝั่งทะเลอ่าวไทยทอดยาว 1,840 กิโลเมตร มีความลึกเฉลี่ย 58 เมตร (190 ฟุต)[5] จุดที่ลึกที่สุด 85 เมตร (279 ฟุต)[5] จึงทำให้การแลกเปลี่ยนระหว่างน้ำจืดกับน้ำเค็มเป็นไปอย่างเชื่องช้า น้ำจืดจำนวนมากที่ไหลมาจากแม่น้ำต่าง ๆ ทำให้น้ำทะเลในอ่าวไทยมีระดับความเค็มต่ำประมาณร้อยละ 3.05-3.25 และมีตะกอนสูง แต่บริเวณที่ลึกกว่า 50 เมตร มีความเค็มสูงกว่านี้ประมาณร้อยละ 3.4% ซึ่งเกิดจากน้ำทะเลที่ไหลเข้ามาจากทะเลจีนใต้ อาณาเขตของอ่าวไทยความสำคัญอาณาเขตของอ่าวไทยนั้นมีความเกี่ยวข้องกับหลักเรื่องดินแดนตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่ง หยุด แสงอุทัย ศาสตราจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่า[6]
ตามกฎหมายไทยแล้ว มีบัญญัติในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 4 วรรคหนึ่ง ว่า "ผู้ใดกระทำความผิดในราชอาณาจักรต้องรับโทษตามกฎหมาย" และ ววรรคสองว่า "การกระทำความผิดในเรือไทยหรืออากาศยานไทยไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด ให้ถือว่ากระทำความผิดในราชอาณาจักร" ดังนั้น "ราชอาณาจักรไทย" ตามประมวลกฎหมายอาญาจึงหมายความถึง[6]
ทะเลอันเป็นอ่าวไทยพระราชบัญญัติกำหนดเขตจังหวัดในอ่าวไทยตอนใน พ.ศ. 2502[7] เป็นพระราชบัญญัติที่ตราขึ้นเมื่อ 23 กันยายน พ.ศ. 2502 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 76 ตอนที่ 92 หน้าที่ 430 วันที่ 29 กันยายน ปีเดียวกันนั้น และมีผลใช้บังคับในวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติดังกล่าว ดังนี้ เนื่องจากเขตจังหวัดต่าง ๆ ทางทะเลในอ่าวไทยตอนในยังไม่เป็นที่ชัดแจ้ง เป็นเหตุให้เกิดความยุ่งยากในทางปฏิบัติบางประการจึงควรจะได้กำหนดเสียให้เป็นที่ชัดแจ้ง เพื่อประโยชน์ในการปกครองและความสะดวกของประชาชน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ โดยมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดเขตอ่าวไทยไว้ดังต่อไปนี้ (ดูแผนที่ด้านขวาประกอบ) จังหวัดเพชรบุรีจากจุดอักษร ก. ตำบลห้วยทรายเหนือ อำเภอชะอำ ละติจูด 12 องศา-35 ลิปดา45 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 49 องศา-47 ลิปดา-30 พิลิปดาตะวันออก; ขนานกับเส้นละติจูดไปถึงจุดหมายเลข (1) ละติจูด 12 องศา-35 ลิปดา-45 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-27 ลิปดา-30 พิลิปดาตะวันออก จากจุดอักษร ข. บนเส้นแบ่งเขตจังหวัดระหว่างจังหวัดเพชรบุรีกับจังหวัดสมุทรสงครามไปถึงจุดหมายเลข (2) ละติจูด 13 องศา-13 ลิปดา-00 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-10 ลิปดา-00 พิลิปดาตะวันออก; แล้วขนานกับเส้นละติจูดไปถึงจุดหมายเลข (3), ละติจูด 13 องศา-13 ลิปดา-00 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-27 ลิปดา-30 พิลิปดาตะวันออก จากจุดหมายเลข (3) ละติจูด 13 องศา-13 ลิปดา-00 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-27 ลิปดา-30 พิลิปดาตะวันออก; ขนานกับเส้นลองจิจูดไปบรรจบกันที่จุดหมายเลข (1) ละติจูด 12 องศา-35 ลิปดา-45 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-27 ลิปดา-30 พิลิปดาตะวันออก จังหวัดสมุทรสงครามจากจุดอักษร ข. บนเส้นแบ่งเขตจังหวัดระหว่างจังหวัดเพชรบุรีกับจังหวัดสมุทรสงครามไปถึงจุดหมายเลข (2) ละติจูด 13 องศา-13 ลิปดา-00 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-10 ลิปดา-00 พิลิปดาตะวัออก จากจุดอักษร ค. บนเส้นแบ่งเขตจังหวัดระหว่างจังหวัดสมุทรสงครามกับจังหวัดสมุทรสาครไปบรรจบกันที่จุดหมายเลข (2) ละติจูด 13 องศา-13 ลิปดา-00 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-10 ลิปดา-00 พิลิปดาตะวันออก จังหวัดสมุทรสาครจากจุดอักษร ค. บนเส้นแบ่งเขตจังหวัดระหว่างจังหวัดสมุทรสงครามกับจังหวัดสมุทรสาครไปถึงจุดหมายเลข (2) ละติจูด 13 องศา-13 ลิปดา-00 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-10 ลิปดา-00 พิลิปดาตะวันออก จากจุดอักษร ง. บนเส้นแบ่งเขตจังหวัดระหว่างจังหวัดสมุทรสาครกับจังหวัดธนบุรีไปถึงจุดหมายเลข (3) ละติจูด 13 องศา-13 ลิปดา-00 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-27 ลิปดา-30 พิลิปดาตะวันออก จากจุดหมายเลข (3) ละติจูด 13 องศา-13 ลิปดา-00 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-27 ลิปดา-30 พิลิปดาตะวันออก; ขนานกับเส้นละติจูดไปบรรจบกันที่จุดหมายเลข (2) ละติจูด 13 องศา-13 ลิปดา-00 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-10 ลิปดา-00 พิลิปดาตะวันออก จังหวัดธนบุรีจากจุดอักษร ง. บนเส้นแบ่งเขตจังหวัดระหว่างจังหวัดสมุทรสาครกับจังหวัดธนบุรีไปถึงจุดหมายเลข (3) ละติจูด 13 องศา-13 ลิปดา-00 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-27 ลิปดา-30 พิลิปดาตะวันออก จากจุดอักษร จ. บนเส้นแบ่งเขตจังหวัดระหว่างจังหวัดธนบุรีกับจังหวัดสมุทรปราการ ขนานกับเส้นลองจิจูดไปบรรจบกันที่จุดหมายเลข (3) ละติจูด 13 องศา-13 ลิปดา-00 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-27 ลิปดา-30 พิลิปดาตะวันออก สำหรับพื้นที่จังหวัดธนบุรีในแผนที่นั้น ปัจจุบันคือเขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรปราการจากจุดอักษร จ. บนเส้นแบ่งเขตจังหวัดระหว่างจังหวัดธนบุรีกับจังหวัดสมุทรปราการ ขนานกับเส้นลองจิจูดไปถึงจุดหมายเลข (3) ละติจูด 13 องศา-13 ลิปดา-00 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-27 ลิปดา-30 พิลิปดาตะวันออก จากจุดอักษร ฉ. บนเส้นแบ่งเขตจังหวัดระหว่างจังหวัดสมุทรปราการกับจังหวัดฉะเชิงเทราไปถึงจุดหมายเลข (4) ละติจุด 13 องศา-13 ลิปดา-00 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-45 ลิปดา-00 พิลิปดาตะวันออก จากจุดหมายเลข (4) ละติจูด 13 องศา-13 ลิปดา-00 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-45 ลิปดา-00 พิลิปดาตะวันออก; ขนานกับเส้นละติจูดไปบรรจบกันที่จุดหมายเลข (3) ละติจูด 13 องศา-13 ลิปดา-00 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-27 ลิปดา-30 พิลิปดาตะวันออก จังหวัดฉะเชิงเทราจากจุดอักษร ฉ. บนเส้นแบ่งเขตจังหวัดระหว่างจังหวัดสมุทรปราการกับจังหวัดฉะเชิงเทราไปถึงจุดหมายเลข (4) ละติจูด 13 องศา-13 ลิปดา-00 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-45 ลิปดา-00 พิลิปดาตะวันออก จากจุดอักษร ช. บนเส้นแบ่งเขตจังหวัดระหว่างจังหวัดฉะเชิงเทรากับจังหวัดชลบุรีไปบรรจบกันที่จุดหมายเลข (4) ละติจูด 13 องศา-13 ลิปดา-00 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-45 ลิปดา-00 พิลิปดาตะวันออก จังหวัดชลบุรีจากจุดอักษร ช. บนเส้นแบ่งเขตจังหวัดระหว่างจังหวัดฉะเชิงเทรากับจังหวัดชลบุรีไปถึงจุดหมายเลข (4) ละติจูด 13 องศา-13 ลิปดา-00 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-45 ลิปดา-00 พิลิปดาตะวันออก จากจุดอักษร ซ. แหลมบ้านช่องแสมสาน ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ ละติจูด 12 องศา-35 ลิปดา-45 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-57 ลิปดา-45 พิลิปดาตะวันออก; ขนานกับเส้นละติจูดไปถึงจุดหมายเลข (1) ละติจูด 12 องศา-35 ลิปดา-45 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-27 ลิปดา-30 พิลิปดาตะวันออก จากจุดหมายเลข (1) ละติจูด 12 องศา-35 ลิปดา-45 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-27 ลิปดา-30 พิลิปดาตะวันออก; ขนานกับเส้นลองจิจูดไปถึงจุดหมายเลข (3) ละติจูด 13 องศา-13 ลิปดา-00 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-27 ลิปดา-30 พิลิปดาตะวันออก จากจุดหมายเลข (3) ละติจูด 13 องศา-13 ลิปดา-00 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-27 ลิปดา-30 พิลิปดาตะวันออก; ขนานกับเส้นละติจูดไปบรรจบกันที่จุดหมายเลข (4) ละติจูด 13 องศา-13 ลิปดา-00 พิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-45 ลิปดา-00 พิลิปดาตะวันออก สายน้ำในอ่าวไทยแม่น้ำสายหลักที่น้ำในแม่น้ำไหลลงสู่อ่าวไทย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีนที่แยกสาขาออกมา แม่น้ำแม่กลองที่ไหลลงสู่อ่าวแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม แม่น้ำบางปะกง และแม่น้ำตาปีที่ไหลลงสู่อ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี น้ำอุ่นในอ่าวไทยทำให้เกิดแนวปะการังที่สวยงาม โดยสถานที่ดำน้ำที่ได้รับความนิยม เช่น เกาะสมุย และเกาะเต่า ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ทรัพยากรธรรมชาติที่พบในอ่าวไทย คือ น้ำมันและแก๊สธรรมชาติ ฤดูปิดอ่าวทุกวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ถึง 15 พฤษภาคม ของทุกปี อันเป็นช่วงที่สัตว์น้ำเศรษฐกิจโดยเฉพาะปลาทูและสัตว์น้ำอื่น ๆ วางไข่ เลี้ยงตัวในวัยอ่อนและเจริญเติบโต เป็นฤดูปิดอ่าว กรมประมงจะประกาศควบคุมการทำประมงตั้งแต่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดชุมพร และ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 26,400 ตารางกิโลเมตร[8] การประกาศใช้มาตรการปิดอ่าวนี้มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2496 ถ้าชาวประมงรายใดฝ่าฝืน ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 5,000-10,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ[9] เชิงอรรถ
อ้างอิง
|