สเลเยอร์
สเลเยอร์ (อังกฤษ: Slayer) เป็นวงแทรชเมทัลสัญชาติอเมริกัน จากฮันติงตันพาร์ก รัฐแคลิฟอร์เนีย ก่อตั้งในปี 1981 โดยมือกีตาร์หลัก 2 คน คือเจฟฟ์ แฮนนีแมนและเคอร์รี คิง[1] สเลเยอร์ปูชื่อเสียงในระดับแถวหน้าให้กับวงการเพลงแทรชเมทัลอเมริกัน กับการออกผลงานในปี 1986 ชุด เรนอินบลัด (Reign in Blood) ที่ถูกเรียกว่า "เป็นอัลบั้มที่หนักที่สุดตลอดกาล" จัดโดยนิตยสารเคอร์แรง![2] วงยังได้รับเครดิตเป็นหนึ่งใน "บิ๊กโฟร์" แห่งวงการแทรชเมทัลหลักของสหรัฐ ร่วมกับวง เมทัลลิกา, แอนแทรกซ์ และเมกาเดธ[3] ดนตรีของพวกเขา มีลักษณะโดดเด่นคือ การริฟฟ์กีตาร์อย่างเร็ว รวมถึงการโซโลกีตาร์โดยลากเสียงครวนคราญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการกระเดื่องกลองชุดดับเบิลเบสที่ทำให้สเลเยอร์โดดเด่นในหมู่ของวงแทรชเมทัลด้วยกัน จนอดีตมือกลองของวง ลอมบาร์โด ได้รับฉายาว่าเป็น "เจ้าพ่อแห่งกลองดับเบิลเบส" (The godfather of double bass)[4] และการตะโกนร้องเสียงแหลมของอารายา เนื้อเพลงและปกอัลบั้มของสเลเยอร์สร้างความต่างด้วยการใช้ความก้าวร้าวลงในเนื้อเพลง เช่น เลือด ความตาย ความผิดปกติ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ความวิกลจริต ลัทธินาซี กามวิตถารร่วมเพศกับศพ ศาสนา ลัทธิซาตาน ฆาตกรต่อเนื่อง การฆ่าตัวตาย การสงคราม ซึ่งทำให้วงในระยะแรกมักถูกแบน มีปัญหาด้านกฎหมายและถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวางโดยกลุ่มศาสนาและบุคคลทั่วไป หลังจากวงออกผลงานชุดแรกในปี 1983 ทางวงออกอัลบั้มแสดงสด 2 ชุด ,อัลบั้มเพลงเก่ามาทำใหม่ 1 ชุด, บ็อกซ์เซต 1 ชุด, ดีวีดี 3 ชุด, วิดีโอ 1 ชุด, อีพี 2 ชุด และสตูดิโออัลบั้ม 12 ชุด ซึ่งสามารถขายได้ระดับแผ่นเสียงทองคำ 4 แผ่น สเลเยอร์ยังเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ 5 ครั้ง และได้รับรางวัล 2 ครั้งในปี 2007 กับเพลง "Eyes of the Insane" และเพลงในปี 2008 กับ "Final Six" ปัจจุบันสเลเยอร์สามารถทำยอดจำหน่ายได้มากกว่า 4,900,000 ชุดในสหรัฐ[5] ประวัติอัลบั้มโชว์โนเมอร์ซีโชว์โนเมอร์ซี (Show No Mercy) คืออัลบั้มสตูดิโอแรกสุดของวง จำหน่ายในเดือนธันวาคม 1983 ผ่านค่ายเพลงเมทัลเบลด โดยไบรอัน สลาเกล (Brian Slagel) เป็นผู้ทำสัญญาให้กับวงภายหลังชมสมาชิกวงเล่นเพลง "Phantom of the Opera" ของไอเอิร์นเมเดน[6] ถือเป็นอัลบั้มใต้ดินอย่างชัดเจน สเลเยอร์ต้องใช้เงินของตัวเองทั้งหมดเพื่อทำอัลบั้มนี้ขึ้น โดยส่วนหนึ่งได้มาจากเงินเก็บของอารายา ซึ่งสะสมมาตั้งแต่ทำอาชีพเป็นนักบำบัด,[7] และเงินยืมจากพ่อของเคอร์รี คิง[8] ส่วนการทัวร์คอนเสิร์ตเพื่อโปรโมตอัลบั้ม วงต้องขอความช่วยเหลือให้เพื่อนสนิทและสมาชิกครอบครัวร่วมทริปคอนเสิร์ตไปด้วยเพื่อช่วยด้านเทคนิคแสงและเสียง แม้ว่าจะได้คำวิจารณ์ว่าเป็นอัลบั้มที่มีคุณภาพต่ำก็ตาม แต่มันก็เป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดผ่านค่ายเมทัลเบลดนับตั้งแต่เปิดตัว โดยเฉพาะซิงเกิล "Die by the Sword", "The Antichrist", "Black Magic" ที่เป็นซิงเกิลได้รับความนิยมที่สุดของอัลบั้ม ซึ่งสเลเยอร์มักนำไปแสดงสดบ่อยๆ อัลบั้มสามารถทำรายได้อยู่ในช่วง 15,500 ถึง 20,000 ชุดในสหรัฐ และสามารถขายได้มากกว่า 15,000 ชุดในต่างประเทศ ด้วยลิขสิทธิ์ผ่านทางเมทัลเบลด[6] เฮลอเวทส์เฮลอเวทส์ (Hell Awaits) คืออัลบั้มสตูดิโอที่ 2 ของวง จำหน่ายในเดือนมีนาคม 1985[9][10] ภายหลังประสบความสำเร็จในยอดขายของอัลบั้มแรก สามารถทำยอดจำหน่ายได้มากที่สุดของเมทัลเบลด เป็นผลให้ไบรอัน สลาเกล ตัดสินให้ทำอัลบั้มที่สองขึ้น โดยเขายังได้ช่วยในเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับต้นทุนให้กับวงอีกด้วยและยังจัดหาโปรดิวเซอร์ที่มีประสบการณ์หลายคนมาช่วยในสตูดิโอด้วย เฮลอเวทส์เริ่มนำธีมของนรกและลัทธิซาตานเข้ามาใช้ในเนื้อหาเพลง ด้วยซิงเกิลเปิด "Hell Awaits" ที่เล่นช่วงท่อนหลังซ้ำๆว่า "join us"[11] ในด้านดนตรีถือเป็นการนำเสนอเนื้อหาและกระบวนการที่แตกต่างจากอัลบั้มก่อนหน้านี้มาก อ้างจากคำพูดของคิงและแฮนนีแมน ซึ่งเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากวงแบล็กเมทัลจากเดนมาร์ก "เมอซีฟูลเฟต"[12] เป็นการนิยามอิทธิพลเพลงสู่ดนตรีเอ็กซตรีม อัลบั้มนี้ยังได้ถูกการนำไปอัดใหม่โดยศิลปินใต้ดินอีกเป็นจำนวนมากและมักเกิดอัลบั้มและศิลปินเลียนแบบ (tribute) ขึ้นมา เรนอินบลัดเรนอินบลัด (Reign in Blood) เป็นสตูดิโออัลบั้มที่ 3 ของวง ออกจำหน่ายในวันที่ 7 ตุลาคม 1986 สังกัดค่ายเดฟ แจม โดยมี ริค รูบิน (Rick Rubin) ผู้ก่อตั้งค่ายเพลงเดฟแจมเรเคิดดิงส์ มาเป็นโปรดิวเซอร์ซึ่งช่วยให้ดนตรีของวงพัฒนามากขึ้น เรนอินบลัด ได้รับการตอบรับจากกลุ่มคนฟังและนักวิจารณ์อย่างดี นิตยสารเคอร์แรง! จัดอันดับให้เป็น "อัลบั้มที่หนักที่สุดตลอดกาล" เช่นเดียวกับอัลบั้มอีก 3 วง ในเครือ "บิ๊กโฟว์" (Big 4) ได้แก่ อัลบั้ม "อะมองเดอะลิฟวิง" จาก แอนแทรกซ์, อัลบั้ม "พีชเซลส์...บัทฮูส์บายอิง?" จาก เมกาเดธ และอัลบั้ม "มาสเตอร์ออฟพัพพิทส์" จาก เมทัลลิก้า อัลบั้มนี้ยังช่วยกำหนดมาตรฐานของดนตรีแนว แทรชเมทัล ในสหรัฐอเมริกา ช่วงทศวรรษที่ 1980 และสร้างอิทธิพลแก่แนวเพลงนี้เป็นอย่างมากจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้เองด้วย[13] เป็นครั้งแรกของวงที่นำเสนอธีมของลัทธินาซี การเหยียดมนุษย์ จนถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวางในหมู่ของประชาชนด้วยกัน ถึงแม้อัลบั้มจะประสบความสำเร็จในเรื่องของกระแสความนิยม แต่ก็สามารถไต่ชาร์ดของบิลบอร์ด 200 ได้เพียงอันดับที่ 94[14] และจำหน่ายได้ในระดับแผ่นเสียงทองคำในวันที่ 20 พฤศจิกายน 1992 ด้วยยอดการก็อปปีมากกว่า 500,000 ชุด[15] โดยมีซิงเกิลหลัก 2 ซิงเกิล คือ "แองเจิลออฟเดธ" (เพลงเปิด) และ "เรนนิงบลัด" (เพลงปิด) ที่ได้รับความนิยมและถูกนำไปใช้เล่นเกือบทุกคอนเสิร์ต เซาท์ออฟเฮฟเวินเซาท์ออฟเฮฟเวิน (South of Heaven) เป็นสตูดิโออัลบั้มที่ 4 ของวง ออกจำหน่ายในวันที่ 5 กรกฎาคม 1988 ถือเป็นอัลบั้มที่ 2 และเป็นอัลบั้มสุดท้ายภายใต้ชื่อค่ายเพลงเดฟ แจม โดยมี ริค รูบิน โดยมีริค รูบิน เป็นโปรดิวเซอร์ให้กับวง ซึ่งช่วยให้วงพัฒนาการขึ้นมากจนประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดในอัลบั้มก่อนหน้านี้ เซาท์ออฟเฮฟเวิน ก็ยังเป็นอัลบั้มที่ 2 ของวงที่ไต่ขึ้นบิลบอร์ด 200 ด้วยอันดับ 57[14] ในปี 1992 ก็จำหน่ายได้ในระดับแผ่นเสียงทองคำ จากสมาคมอุตสาหกรรมบันทึกเสียงของสหรัฐ[15] และยังจำหน่ายได้ในระดับแผ่นเสียงเงินในสหราชอาณาจักร ปี 1993[16] อัลบั้มได้ลดลงความเบาลงกว่าอัลบั้มก่อนหน้านี้ ด้วยการจังหวะที่ช้าลงเกือบทุกซิงเกิลของอัลบั้ม เพื่อที่จะสร้างความแตกต่างจากอัลบั้มก่อนหน้านี้ วงได้นำเสนอการไม่รูดกีตาร์เพื่อทำเสียงครวญคราญและลดเสียงแหลมลง ทำให้นักวิจารณ์บางส่วนได้ชมเชยถึงการเปลี่ยนรูปแบบของดนตรี แต่ก็มีบางส่วนที่ตำหนิถึงสไตล์เพลงที่น่าผิดหวัง เซาท์ออฟเฮฟเวิน มีซิงเกิลหลักอย่าง "South of Heaven" "Mandatory Suicide" "Spill the Blood" ซึ่งได้ความนิยมและถูกนำไปแสดงสดบ่อยครั้ง ซีซันส์อินดิอะบิสซีซันส์อินดิอะบิส (Seasons in the Abyss) เป็นสตูดิโออัลบั้มที่ 5 ของวง ออกจำหน่ายในวันที่ 9 ตุลาคม 1990 ผ่านทางค่ายแรกเริ่มเดฟ แจม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นอเมริกันเรคคอร์ดดิง ภายหลังค่ายเปลี่ยนชื่อใหม่ อัลบั้มบันทึกเสียงเพลงแบ่งเป็น 2 ครั้ง ครั้งแรกในเดือนมีนาคม 1990 ที่ฮิตซิตีเวสต์, ฮอลลีวูดซาวด์ และในเดือนมิถุนายนที่เรคคอร์ดแพลนท์ในลอสแองเจิลลิส, แคลิฟอร์เนีย[17][18] อัลบั้มยังถือเป็นอัลบั้มสุดท้ายที่มีมือกลองลอมบาร์โดร่วมวงด้วย จนมาร่วมอีกครั้งในอัลบั้มคริสต์อิลลูชันปี 2006 สไตล์ดนตรีของอัลบั้มคล้ายคลึงและได้รับการเปรียบเทียบจากนักวิจารณ์รวมกับ 2 อัลบั้มก่อนหน้านี้ เซาท์ออฟเฮฟเวิน และเรนอินบลัด ที่มักได้รับคำชมด้านบวกเสมอ[19] โดยเฉพาะซิงเกิล "War Ensemble" "Dead Skin Mask" "Seasons in the Abyss" ที่มักถูกนำไปแสดงสดบ่อยครั้ง อัลบั้มไต่ขึ้นอันดับ 18 ในสหราชอาณาจักรและบิลบอร์ด 200 ด้วยอันดับที่ 40[20][21] สามารถจำหน่ายได้ในระดับแผ่นเสียงทองคำทั้งในสหรัฐและแคนาดา[22][23] ดิไวน์อินเตอร์เวนชันดิไวน์อินเตอร์เวนชัน (Divine Intervention) เป็นสตูดิโออัลบั้มที่ 6 ของวง ออกจำหน่ายในวันที่ 27 กันยายน 1994 ผ่านทางค่ายเรคคอร์ดดิง เป็นอัลบั้มแรกที่ได้มือกลองมาแทนเดฟ ลอมบาร์โด คือพอล บอสทาพป์ (Paul Bostaph) วงได้ใช้เวลาร่วมทศวรรษในการสร้างภาพลักษณ์ที่รุนแรง นับตั้งแต่อัลบั้มนี้เปิดตัวเกือบ 4 ปีภายหลังอัลบั้มซีซันส์อินดิอะบิส อารายาได้กล่าวว่ามีเวลามากขึ้นที่จะใช้ในการอัดอัลบั้มเปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้ หน้าปกได้รับการออกแบบโดยนักออกแบบอัลบั้มแนวเฮฟวีเมทัลที่มีชื่อเสียงอย่างเวส เบนสโคเตอร์ (Wes Benscoter) ถือเป็นการพัฒนาหน้าปกอัลบั้มวงใหม่ด้วยการใช้คอมพิวเตอร์ทำกราฟิก เรียกว่า "Slayergram" ในปี 1998 อัลบั้มได้ถูกแบนในเยอรมันเนื่องมาจากเนื้อหาในซิงเกิล "SS-3", "Circle of Beliefs", "Serenity in Murder", "213" และ "Mind Control" ดิไวน์อินเตอร์เวนชัน ได้รับคำวิจารณ์มากมาย อัลบั้มสามารถจำหน่ายได้ 93,000 ก็อปปี้ในสัปดาห์แรก[24][25] ไต่ขึ้นอันดับ 8 บนบิลบอร์ด 200 และอันดับ 15 บนชาร์ทสหราชอาณาจักร อัลบั้มยังสามารถจำหน่ายได้ในระดับแผ่นเสียงทองคำทั้งในสหรัฐและแคนาดา[26][27] อันดิสพิวท์แอททิทูดอันดิสพิวท์แอททิทูด (Undisputed Attitude) เป็นสตูดิโออัลบั้มที่ 7 ของวง ออกจำหน่ายในวันที่ 28 พฤษภาคม 1996 อัลบั้มนำเสนอเพลงโคเวอร์ จากวงพังค์ร็อก ฮาร์ดคอร์พังค์[28][29] อาทิ Minor Threat, T.S.O.L., D.R.I., D.I., Dr. Know, The Stooges และ Verbal Abuse เป็นส่วนใหญ่ของอัลบั้ม และยังประกอบด้วยเพลงโปรเจกต์ที่แต่งโดยแฮนนีแมน ที่แต่งไว้ตั้งแต่ปี 1984 และ 1985 คือ "Pap Smear" และ "Gemini" ซึ่งเป็นซิงเกิลเดียวของสเลเยอร์ที่ได้บันทึกดั้งเดิมไว้ก่อนหน้านี้ อันดิสพิวต์แอททิทูด สามารถไต่ขึ้นอันดับที่ 34 บนบิลบอร์ด 200[30] ไดอาโบลัสอินมิวสิกาไดอาโบลัสอินมิวสิกา (Diabolus in Musica) เป็นสตูดิโออัลบั้มที่ 8 ของวง ออกจำหน่ายในวันที่ 9 มิถุนายน 1998 ถือเป็นอัลบั้มที่ 3 ที่ได้มือกลองพอล บอสทาพป์ มาร่วมอัดสตูดิโอ แม้ว่าอัลบั้มจะได้คำวิจารณ์หลากหลาย แต่อัลบั้มก็สามารถขายได้กว่า 46,000 ก็อปปี้ในสัปดาห์แรก[31] สามารถไต่ขึ้นอันดับ 31 บนบิลบอร์ด 200[32] เจฟฟ์ แฮนนีแมน ได้กล่าวว่าอัลบั้มมีเนื้อหาสาระที่เป็นดนตรีทดลองที่สุดของสเลเยอร์ มันยังเป็นอัลบั้มแรกของสเลเยอร์ที่ใช้คอร์ด C♯ มาใช้ คำว่า "ไดอาโบลัสอินมิวสิกา" เป็นภาษาลาติน แปลว่า "ปีศาจในดนตรี" (The Devil in Music) ช่วงรอยต่อของดนตรีมีความไม่กลมกลืนลงรอยกัน[33] อัลบั้มยังคงมีเนื้อหาเกี่ยวกับศาสนา ความผิดปกติของวัฒนธรรม ความตาย วิกลจริต สงคราม และการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ ก็อดเฮดส์อัสออลก็อดเฮดส์อัสออล (God Hates Us All) เป็นสตูดิโออัลบั้มที่ 9 ของวง ออกจำหน่ายในวันที่ 11 กันยายน 2001 อัลบั้มได้รับคำวิจารณ์เชิงบวกจากหลากหลายคิดเห็นและสามารถไต่บิลบอร์ด 200 ถึงอันดับ 28 ได้[34] และได้กว่า 51,000 ก็อปปี้[35] อัลบั้มใช้เวลาในการอัด 3 เดือนที่แวร์เฮาส์สตูดิโอในแคนาดา[36] และยังรวมถึงการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลแกรมมี อย่างซิงเกิล "Disciple" ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของวงที่มีซิงเกิลเข้าชิงรางวัลนี้[37] The ceremony took place on February 27, 2002, with Tool winning the award for their song "Schism".[38] อัลบั้มนี้ยังเป็นอัลบั้มสุดท้ายที่พอล บอสทาพป์ ทำหน้าที่มือกลองให้กับวงหลังร่วมสตูดิโอมามากกว่า 4 อัลบั้ม จนกระทั่งในปี 2015 ก็ได้มาร่วมวงอีกครั้งในอัลบั้ม "รีเพนท์เลส" เนื้อเพลงส่วนใหญ่แต่งโดยเคอร์รี คิง ประกอบด้วยเนื้อหาที่แตกต่างจากเดิมก่อนหน้านี้ โดยมีธีมส่วนใหญ่เกี่ยวกับศาสนา การฆาตรกรรม การแก้แค้น และการควบคุมตนเอง[39] คริสต์อิลลูชันคริสต์อิลลูชัน (Christ Illusion) เป็นสตูดิโออัลบั้มที่ 10 ของวง ออกจำหน่ายในวันที่ 8 สิงหาคม 2006 อัลบั้มได้รับคำชมอย่างดีจากนักวิจารณ์ และสามารถไต่ขึ้นสู่อันดับ 5 บนบิลบอร์ด 200 ซึ่งเป็นการไต่อันดับดีที่สุดของวงเท่าที่เคยอัลบั้มมา ก่อนที่จะถูกอัลบั้ม "รีเพนเลส" ขึ้นแทนที่ในอันดับที่ 4 อัลบั้มสามารถขายได้กว่า 62,000 ก็อปปี้ในสัปดาห์แรก[40] คริสต์อิลลูชัน ยังประกอบด้วยซิงเกิลที่ได้รับรางวัลแกรมมีถึง 2 ซิงเกิลคือ "Eyes of the Insane" และ "Final Six"[41][42] และเป็นครั้งแรกที่ได้มือกลองเดฟ ลอมบาร์โดมาร่วมวงอีกครั้งนับตั้งแต่อัลบั้มซีซันส์อินดิอะบิสปี 1990 และเป็นครั้งแรกที่ได้นำคอร์ด D# เข้ามาใช้นับตั้งแต่อัลบั้มดิไวน์อินเตอร์เวนชัน โดยใช้ในซิงเกิล "Jihad", "Flesh Storm", "Catalyst" และ "Consfearacy" ในขณะที่ "Catatonic", "Eyes of the Insane", "Skeleton Christ" และ "Supremist" ใช้คอร์ด B ส่วนที่เหลือใช้ C# หน้าปกอัลบั้มได้รับการออกแบบโดยศิลปินลาร์รี คาร์โรลล์ ที่เคยออกแบบอัลบั้มเรนอินบลัดมาแล้ว ซึ่งสามารถเรียกกระแสวิจารณ์อย่างมาก โดยเฉพาะในอัลบั้มนี้ที่นำพระเยซูในสภาพแขนขาดในบ่อเลือดพร้อมกับกองหัวมนุษย์ หรือในเนื้อหาของซิงเกิล "Jihad" ที่กล่าวถึงการก่อร้าย 11 กันยายน ในมุมมองของฝั่งก่อการร้าย จนทำให้ถูกเซนเซอร์จากหลายฝ่าย ทั้งจากกลุ่มคริสเตียนจากมุมไบ กลุ่มสงฆ์คาทอลิก ได้ออกมาตำหนิและออกมาเรียกร้องให้ทำลาย จนเป็นผลให้ทางการอินเดีย สั่งสั่งแบนและทำลาย ผ่านค่ายเพลงอีเอ็มไอทั้งหมด[43] เวิร์ดเพนท์บลัดเวิร์ดเพนท์บลัด (World Painted Blood) เป็นสตูดิโออัลบั้มที่ 11 ของวง ออกจำหน่ายผ่านค่ายอเมริกันเรคเคิร์ดดิงส์ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2009 โดยมีโปรดิวเซอร์อย่างเกรก ฟิเดลแมน (Greg Fidelman) และริค รูบิน (Rick Rubin) ถือเป็นอัลบั้มเดียวที่ฟิเดลแมนทำหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ให้ อัลบั้มได้ความหวังอย่างมากในการกลับมานับตั้งแต่ปล่อยอัลบั้มก่อนหน้านี้ในปี 2006 สมาชิกวงได้เริ่มปล่อยข้อมูลถึงอัลบั้มในช่วงต้นปี 2009 อัลบั้มประกอบด้วยหน้าปก 4 แบบ ซึ่งแต่ละอันจะรวมกันเป็นแผนที่โลกบนพื้นแดงที่เข้าคอนเซปต์ "ปาดเลือดแก่โลก" ตามชื่ออัลบั้มชัดเจน อัลบั้มประกอบด้วย 11 ซิงเกิล ซึ่งยังคงใช้เนื้อหาเดิมเกี่ยวกับความตาย การทำลายล้าง สงคราม การสังหารหมู่ บันทึกศาสนาของยิว เป็นครั้งแรกที่เล่นคอร์ด E-flat อย่างมากนับตั้งแต่ดิไวน์อินเตอร์เวนชัน เวิร์ดเพนท์บลัดถือเป็นอัลบั้มสุดท้ายที่ได้รวมสมาชิกอย่างลอมบาร์โด ซึ่งถูกไล่ออกจากวง และแฮนนีแมน ที่เสียชีวิตจากโรคตับ ในปี 2013 ซิงเกิล "Hate Worldwide" และ "World Painted Blood" ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลแกรมมีครั้งที่ 54 ในหัวข้อ " Best Metal Performance" ในปี 2015 อัลบั้มสามารถจำหน่ายรวมได้ 160,000 ก็อปปี้[44] โดยนับตั้งแต่ออกอัลบั้มสามารถไต่ขึ้นอันดับ 2 บนท็อปฮาร์ดร็อกชาร์ทของสหรัฐได้ อับดับ 12 บนบิลบอร์ด 200[45][46] และอันดับ 40 ในชาร์ทอังกฤษ[47] รีเพนท์เลสรีเพนท์เลส (Repentless) เป็นสตูดิโออัลบั้มที่ 12 ของวง ออกจำหน่ายผ่านค่ายนิวเคลียร์บลาสต์ในวันที่ 11 กันยายน 2015 พร้อมกับมือกีตาร์ใหม่แกรี โฮลท์ จากวงเอ็กโซดัสมาแทนแฮนนีแมนที่เสียชีวิตไปในปี 2013 และมือกลองพอล บอสทาพป์ อีกครั้งที่ออกไปภายหลังการกลับมาของลอมบาร์โดนับตั้งแต่ปี 2001 อัลบั้มสามารถขายได้กว่า 49,000 ก็อปปี้ในสัปดาห์แรกและไต่ขึ้นบนอันดับ 4 บิลบอร์ด 200 ถือเป็นการขึ้นอันดับดีที่สุดของสเลเยอร์[48] จนต่อมาตกลงไปสู่อันดับ 34 ในสัปดาห์ที่ 2[49] ลักษณะเพลงและการแต่งเพลงในช่วงแรกนั้นสเลเยอร์ได้รับคำชมว่า "รวดเร็วอย่างอันตรายและทักษะชั้นเลิศในเครื่องดนตรี" รวมกับโครงสร้างจังหวะของฮาร์ดคอร์พังค์และจังหวะแบบสปีดเมทัล วงได้นำเสนอเพลงที่รวดเร็วและกร้าวร้าวรุนแรง ในอัลบั้มเรนอินบลัด ถือเป็นการนำเสนอการริฟฟ์กีตาร์ที่เร็วที่สุดของวง ด้วยอัตราเฉลี่ย 220 บีตส์ต่อนาที ในอัลบั้ม "ไดอะบอลัสอินมิวสิกา" ก็เป็นครั้งแรกของวงที่นำเสนอคอร์ด C♯ ในอัลบั้ม "ก็อดเฮตส์อัสออล์" เป็นครั้งแรกที่นำเสนอคอร์ด B และสำหรับกีตาร์ 7 สายด้วยคอร์ด B♭ ออลมิวสิกได้วิจารณ์อัลบั้มไว้ว่า "สเลเยอร์ได้ละทิ้งซึ่งความฟุ้งเฟ้อและการเข้าถึงลงไปในช่วงปลายยุค 80 จนถึงต้นยุค 90 และได้ฟื้นกลับมาใหม่อย่างสมบูรณ์แบบในการเข้าถึงแนวอย่างแท้จริง"[50] ซึ่งแฟนเพลงรุ่นใหม่ได้ติดเพลงของพวกเขาเข้าสู่เมทัลยุคใหม่อย่าง "นูเมทัล"[51] มือกีตาร์ 2 คนของวงในอดีตสมัยที่แฮนนีแมนและคิงยังร่วมวงด้วยกัน การโซโล่กีตาร์คู่ของพวกเขาได้รับอ้างถึงว่าเป็น "ความป่าเถื่อนวุ่นวาย" (wildly chaotic) และ "บิดเบือนอย่างมืออาชีพ" (twisted genius)[52] ในส่วนของอดีตมือกลองอย่างลอมบาร์โด ได้ปรับการกระเดื่องดับเบิลเบสจากเดี่ยว เป็นกระเดื่องคู่ ทำให้สามารถทำจังหวะได้รวดเร็ว รุนแรงกร้าวร้าว จนได้รับฉายาเป็น "เจ้าพ่อแห่งกลองดับเบิลเบส" (The godfather of double bass) จากนิตยสารดรัมเมอร์เวิร์ด[53] ในขณะที่ลอมบาร์โดกำลังกระเดื่องดับเบิลเบส เขาจะใช้เทคนิคคือ "การยกส้นเท้าขึ้น"[54] ในอดีตที่สมาชิกรุ่นบุกเบิก และรุ่งเรืองของวงคือสมัยที่ แฮนนีแมน, คิง และอารายา ร่วมวงกันซึ่งพวกเขาได้ร่วมกันแต่งเพลงให้กับวงหลายเพลง โดยมีลอมบาร์โดเป็นผู้ช่วยเพิ่มเติม โดยบางครั้งทั้งอารายาและลอมบาร์โดเองก็แทบไม่เคยได้รับเครดิตว่าเป็นผู้ร่วมแต่งให้กับวงสเลเยอร์ ส่วนมากเครดิตจะตกไปอยู่กับแฮนนีแมนและคิงเป็นหลัก[8] เมื่อกล่าวถึงการแต่งเนื้อเพลงของสมาชิกวงอย่าง แฮนนีแมน, คิง และอารายา ล้วนนำเสนออิทธิพลของเนื้อที่แตกต่างกันออกไป เนื้อเพลงของแฮนนีแมนมักเกี่ยวข้องนาซี ซึ่งเขาชอบมาก เรื่องศาสนา สงคราม และเรื่องที่คล้ายๆเกี่ยวข้องกัน ส่วนคิงมักจะเกี่ยวกับ การต่อต้านศาสนา ซึ่งเขาเป็นผู้ที่ไม่มีศาสนา ในด้านของอารายาที่เป็นคาทอลิก อาจกล่าวได้ว่าแต่งเนื้อเพลงที่เบากว่า 2 คนที่กล่าวมานี้ ส่วนมากจะเกี่ยวกับ ฆาตกรต่อเนื่อง และสงคราม อิทธิพลของวงสเลเยอร์ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในวงที่มีอิทธิพลมากที่สุดวงหนึ่งในประวัติศาสตร์วงการเมทัล สตีฟ ฮิวอี้ (Steve Huey) แห่งออลมิวสิกเชื่อว่า เนื้อหาและทำนองเพลงของสเลเยอร์เป็นจุดแข็งสำคัญที่ทำให้โดดเด่นกว่าวงอื่นๆในเครือแทรชเมทัลของสหรัฐอย่าง "บิ๊กโฟว์" ที่ประกอบด้วย เมทัลลิกา, แอนแทรกซ์ และเมกาเดธ ซึ่งวงเหล่านี้รุ่งเรืองสุดขีดในช่วงยุค 80[55] สเลเยอร์ได้นำเสนอ การปรับจังหวะ การใช้ริฟฟ์กีตาร์ที่เหมือนการเฆี่ยน ฟาดไปที่กีตาร์อย่างแรงสมดั่งคำเรียกแนว "แทรช" (Thrash แปลว่า เฆี่ยน หวด โบย) การใช้เนื้อหาดุดัน รุนแรน กร้าวร้าว และหน้าปกอัลบั้มที่น่าสยดสยอง ซึ่งถือว่าเป็นวงที่นำเสนอแตกต่างไปจากวงเมทัลอื่นๆ สมัยนั้นมาก และดนตรีของเขาบ่งบอกได้อย่างชัดเจนถึงการกำเนิดแนวเพลงสุดขั้วอย่าง "เดทเมทัล" สเลเยอร์ได้รับการจัดอันดับจากเอ็มทีวี (MTV) ในลำดับที่ 6 จากหัวข้อ "วงเมทัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่สุดตลอดกาล"[56] อันดับที่ 50 จากวีเอชวัน (VH1) ในหัวข้อ "100 ศิลปินฮาร์ดร็อกที่ยิ่งใหญ่ที่ใหญ่สุด"[57] แฮนนีแมนและคิงได้ถูกจัดอันดับที่ 10 จากนิตยสารกีตาร์เวิร์ดปี 2004 ในหัวข้อ "100 มือกีตาร์เมทัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล"[58] และยังได้รับการโหวตให้เป็น "มือกีตาร์/ทีมมือกีตาร์ ที่ดีที่สุด" จากโพลของนิยสารรีโวล์เวอร์ (Revolver) อดีตมือกลองลอมบาร์โด ก็ได้รับการโหวตให้เป็น "มือกลองที่ดีที่สุด" และวงยังได้ติด 5 อันดับแรกในหัวข้อ "วงที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา" "วงแสดงสดที่ดีที่สุด" "อัลบั้มแห่งปี" (จากอัลบั้ม "คริสต์อิลลูชัน") และ "วงแห่งปี"[59] นักแต่งหนังสือเกี่ยวกับดนตรีอย่างโจเอิล แม็กอิเวอร์ (Joel McIver) ได้กล่าวว่า สเลเยอร์เป็นวงที่มีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อวงการดนตรีเอกซ์ตรีม ซึ่งถือเป็นแนวย่อยหลักของเฮฟวีเมทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแตกแขนงแยกย่อยออกไปสู่แนวย่อยที่ลึกลงไปทั้ง เดทเมทัล และแบล็กเมทัล[60] อ้างจาก จอห์น คอนสเตอร์ดีน (John Consterdine) แห่งเทอร์โรริเซอร์ (Terrorizer) ว่า ถ้าปราศจากสเลเยอร์วงการดนตรีเอกซ์ตรีมที่เรารู้จักกันวันนี้คงมิอาจเกิดขึ้น[61] แคม ลี (Kam Lee) แห่งวงแมสซาเคอร์ (Massacre) และอดีตสมาชิกวงเดท ได้กล่าวว่า "มันคงจะไม่มีเดทเมทัลหรือแบล็กเมทัลหรือเอกซ์ตรีมเมทัลอื่นๆ เฉกเช่นวันนี้ ถ้าไม่มีสเลเยอร์"[62] โจฮัน ไรน์โฮลดซ์ (Johan Reinholdz ) แห่งวงแอนโดรเมดา ได้กล่าวถึงสเลเยอร์ว่า "ใช้ความก้าวร้าวในการพัฒนาวงการแทรชเมทัลซึ่งนำไปสู่การกำเนิดในแนวย่อยเมทัลย่อยมีมากมาย พวกเขาได้ให้แรงบันดาลใจแก่วงเมทัลเหล่านั้น"[62] อเล็กซ์ สโคล์นิกซ์ (Alex Skolnick) แห่งวงแทรชเมทัลเทสต์ทาเมนต์ ได้ประกาศว่า "ก่อนสเลเยอร์ เมทัลไม่เคยมีการเชื่อมกันทั้ง ความหนักแน่น และจุดสมดุลระหว่างเสียงและการหยุด สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้ยังขาดการเข้าถึงอย่างสุดๆ ที่ต้องมีทั้งเนื้อหา กลอง และ [...] สำคัญอย่างยิ่งคือการริฟฟ์กีตาร์"[63] วงอื่น ๆ ที่ได้รับอิทธิพลของเพลงจากสเลเยอร์อาทิเช่น บุลเลตฟอร์มายวาเลนไทน์, สลิปน็อต, กอจิรา, เฮตบรีด[64], แคนนิเบิลคอปส์[60], แพนเทอรา[65], ครีเอเตอร์[66], เมย์เฮม[67], ดาร์คโทรน[60], ซิสเตมออฟอะดาวน์[68], แลมป์ออฟกอด[69], บิฮีมอท[70], อีวิล[71] และลาคูนาคอยล์[72] สตีฟ ออเซียม (Steve Asheim) มือกลองแห่งดีไซด์ ได้ออกมากล่าวชัดเจนว่า "มันกล่าวได้อย่างชัดเจนว่าจะไม่เกิดดีไซด์ขึ้น ถ้าปราศจากสิ่งที่ปรากฏทุกวันนี้คือสเลเยอร์"[60] แอนเดรส คิซเซอร์ (Andreas Kisser) มือกีตาร์แห่งเซปุลตูรา (Sepultura) กล่าวว่า "ปราศจากสเลเยอร์ เซปุลตูราคงเป็นไปไม่ได้"[73] วงวีเซอร์ (Weezer) ได้หยิบยกชื่อวงสเลเยอร์ ไอเอิร์นเมเดน และจูดาสพรีสต์ ผ่านเพลงของพวกเขา "Heart songs" จากอัลบั้มปี 2008 "เรด" ในท่อน "Iron Maiden, Judas Priest, and Slayer taught me how to shred..." สเลเยอร์กล่าวได้ว่าได้สร้างอิทธิพลของเมทัลนับตั้งแต่ปล่อยอัลบั้มเรนอินบลัดสู่ตลาด ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดเดทเมทัล[74] จนนำไปสู่การเกิดวงเดทเมทัลรุ่นแรกๆขึ้นมาอาทิ เดท, แคนนิเบิลคอปส์, ออบิทัวรี และมอร์บิดแองเจิล[75] อัลบั้มได้การสรรเสริญให้เป็น "อัลบั้มที่หนักที่สุดตลอดกาล" จากนิยสารเคอร์แรง![76] ได้รับคำชมว่าเป็น "ผู้อธิบายความหมายของแนว" จากนิตยสารสไตลัส (Stylus magazine)[77] และค่ายออลมิวสิก (AllMusic) ได้ให้ 5 ดาวจาก 5 ดาวกับอัลบั้มโดยกล่าวว่ามันเป็น "stone-cold classic"[78] นิตยสารเมทัลแฮมเมอร์ (Metal Hammer) ขนานนามเรนอินบลัดในฐานะ "อัลบั้มเมทัลที่ดีที่สุดในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา"[79] อ้างจากนีลเซนซาวน์สแกนด์ (Nielsen SoundScan) สเลเยอร์สามารถทำยอดจำหน่ายตั้งแต่ 1991-2003 ได้มากกว่า 4,900,000 ก๊อปปี้ในสหรัฐ[80] สมาชิกวง
ไทม์ไลน์ผลงานอัลบั้ม
รางวัลและการเสนอชื่อรางวัลแกรมมี
รางวัลเคอร์แรง!
เมทัลเอดจ์รีเดอรส์ชอยส์อวอร์ด
เมทัลแฮมเมอร์โกลเดนก็อดส์อวอร์ด
อ้างอิง
|