หมากสง
หมากสง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Areca catechu) หรือที่เรียกทั่วไปว่า "หมาก" (พืชที่เรียกว่า "หมาก" นั้น มีด้วยกันหลายชนิด นักพฤกษศาสตร์จึงเรียกหมากที่ใช้กินกับใบพลูว่า "หมากสง") เป็นพืชจำพวกปาล์ม เป็นชนิดหนึ่งในสกุล Arecaceae นับว่ามีความสำคัญมากทั้งในด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรมในหลายท้องถิ่น ในทวีปเอเชีย รวมทั้งประเทศไทยด้วย ส่วนสำคัญของพืชชนิดนี้ คือ เมล็ด ซึ่งมีสารจำพวก อัลคาลอยด์ (alkaloid) อันประกอบด้วย อาเรเคน (arecaine) และ อาเรโคลีน (arecoline) นิยมนำมาเคี้ยวกับหมากใบและใบพลู ซึ่งนับว่าเป็นสารเสพติดอย่างอ่อน หมากพบได้ในหลายประเทศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ แถบมหาสมุทรแปซิฟิกในส่วนที่เป็นเขตร้อน และบางส่วนของทวีปแอฟริกา ในภาษาอังกฤษ เรียกหมากว่า "Betel palm" หรือ "Betel nut" ทั้งๆ ที่ คำว่า " betel" แปลว่า พลู ที่เรียกเช่นนี้ เพราะชาวอังกฤษ (ในสมัยโบราณ) เห็นว่าหมากนิยมเคี้ยวกับพลูนั่นเอง ลักษณะลำต้นหมากเป็นที่มีลำต้นเล็ก มีความสูงปานกลาง (ประมาณ 20 เมตร) แต่ด้วยขนาดลำต้นที่เล็ก (เส้นผ่าศูนย์กลาง 20-30 เซนติเมตร) ทำให้ดูสูงมาก เป็นไม้ประดับได้ด้วย ใบใบยาว 1.5 - 2 เมตร ลักษณะเหมือนใบมะพร้าว มีใบดก แต่มีความบอบบาง ก้านใบและส่วนใบไม่นิยมใช้ประโยชน์ ส่วนของกาบใบ เรียกว่า กาบปูเล มีความหนา และแข็งพอสมควร นิยมนำมาใช้ห่อของ ทำซองใส่มีด และชาวบ้านในภาคใต้ทำพับห่อทำเป็นภาชนะสำหรับตักน้ำ เรียกว่า หมา หรือ หมาตักน้ำ ขณะที่เด็กๆ ยังนำไปรองนั่ง ผลัดกันลาก เป็นของใช้เล่นอีกอย่างหนึ่งของเด็กไทยสมัยก่อน ผลผลของหมากเป็นรูปกลมรีคล้ายลูกรักบี้ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางด้านกว้างประมาณ 1 - 2 นิ้ว ด้านยาวประมาณ 1.5-2.5 นิ้ว เปลือกนอกเป็นเส้นใย ผิวของผลเมื่ออ่อนสีเขียว เมื่อแก่แล้วออกสีส้มแดง เรียกว่า สีหมากสุก เมื่อผลสุกจะร่วงจากขั้ว หากปล่อยไว้ เปลือกจะเหี่ยวแห้ง ยุ่ย สามารถดึงออก เหลือแต่เมล็ดข้างในได้โดยง่าย หมากเป็นพืชที่มีเกษรตัวผู้และเกษรตัวเมียอยู่ในทะลายดียวกัน ส่วนที่เรียกว่าหมากจริงๆ ก็คือ ส่วนเมล็ดข้างในผลมีลักษณะค่อนข้างกลม เมื่อยังอ่อนมีสีขาวนวลจนถึงเหลือง เนื้อนิ่ม พอแก่ลงจะหนามากขึ้น และสีคล้ำ จนเป็นสีน้ำตาลเข้ม ใช้กินกับปูนแดงและพลู เป็นของกินเล่นที่สำคัญของชาวไทยและหลายชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาช้านาน การเก็บหมากนั้น ไม่สามารถใช้ไม้สอยได้อย่างมะพร้าว เพราะหมากมีต้นสูง จึงต้องใช้คนปีนขึ้นไปเก็บ แต่คนปีนหมากจะมีเทคนิคการปีน เมื่อขึ้นไปถึงข้างบนต้นหนึ่ง และเก็บหมากโยนลงมาแล้ว จะไม่ไต่ลงมายังโคนต้น แต่จะโยกต้นหมากให้เอนไปหาต้นอื่น แล้วกระโดดจับต้นอื่น เป็นอย่างนี้เรื่อยไป จนกว่าจะไม่มีต้นหมากที่อยู่ใกล้กัน วัฒนธรรมหมากหมากนับเป็นพืชสำคัญในหลายวัฒนธรรม สำหรับในวัฒนธรรมไทยนั้น การกินหมาก กลายเป็นส่วนหนึ่งของหลายๆ ประเพณีที่สำคัญ ดังนี้
กล่าวมาแล้วข้างต้น ว่าชาวไทยนิยมกินหมากกับพลู (และปูนแดง) โดยมากจะนำใบพลูที่ไม่แก่ หรืออ่อนจนเกินไป มาทาด้วยปูนแดง แล้วกินกับหมากที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เคี้ยวด้วยกัน จะมีน้ำหมากสีแดง ซึ่งจะต้องบ้วนทิ้ง การกินหมากทำให้ฟันดำ แต่ปากแดง ในสมัยโบราณ ชาวไทยทั้งหญิงชาย ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยชรา ล้วนแต่กินมากทั้งสิ้น ส่วนต้นหมากนั้น เป็นพืชที่ขึ้นง่าย พบได้ทั่วไปในสวน หาหมากกินได้ไม่ยาก
การกินหมากจนเป็นธรรมเนียมเช่นนี้ ทำให้เกิดการพัฒนาไปสู่วัฒนธรรมหมากอย่างจริงจัง นั่นคือ ใช้หมาก เป็นเครื่องต้อนรับแขก การเตรียมหมากพลูเพื่อต้อบรับแขก จึงนับเป็นการต้อบรับที่ดี ผู้ที่มีฐานะ จะมีอุปกรณ์เกี่ยวกับหมากที่สวยงาม ปัจจุบันนี้ คนไทยกินหมากน้อยลง แต่ยังมีหมากพลูจัดเป็นชุดขาย โดยมากนิยมนำไปเป็นเครื่องบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ขนบธรรมเนียมเกี่ยวกับหมากมีดังนี้
สารสกัดด้วยเอทานอลจากเนื้อผลหมากสงสามารถยับยั้งการเจริญของคะน้าได้[1] อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ Areca catechu |