อะกริวอลเทอิกส์อะกริวอลเทอิกส์ (อังกฤษ: Agrivoltaics) หรือ อะโกรโฟโตวอลเทอิกส์ (อังกฤษ: Agrophotovoltaics) หรือการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ท่ามกลางการทำเกษตร คือการพัฒนาพื้นที่เพื่อการผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ (Photovoltaics) ร่วมกันกับการใช้งานเชิงเกษตรกรรม[1] การติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ไว้ท่ามกลางพืชแปลว่าทั้งสองจะต้องแบ่งกันใช้แสงอาทิตย์ในการผลิตผลผลิตทั้งสองชนิด[2] กลวิธีนี้ถูกคิดขึ้นเป็นครั้งแรกโดย อดอล์ฟ เกิทซ์แบร์เกอร์ (Adolf Goetzberger) และ อาร์มิน ซาสทรอฟ (Armin Zastrow) ในปี ค.ศ. 1981.[3] คำว่าอะกริวอลเทอิกส์ถูกใช้เป็นครั้งแรกในปึ ค.ศ. 2011[4] กฎหมายเกี่ยวกับการผลิตไฟฟ้าแบบอะกริวอลเทอิกส์นั้นแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ พืชส่วนใหญ่ไม่เหมาะกับการใช้งานรูปแบบนี้ ผู้ที่ตัดสินใจลงทุนใช้ระบบอะกริวอลเทอิกส์อาจมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในปริมาณหรือคุณภาพของผลิตผลทางการเกษตร หรือเพื่อการผลิตพลังงานไฟฟ้าเป็นหลักและปลูกพืชไว้รอบ ๆ แผงเพียงเล็กน้อย มากไปกว่านั้น บางคนให้นิยามของระบบอะกริวอลเทอิกส์เป็นเพียงการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ไว้บนหลังคาโรงนาหรือฟาร์มปศุสัตว์[2] หรือในอีกทางหนึ่ง โครงการขนาดเล็กในสหรัฐบางแห่งซึ่งติดตั้งรังผึ้ง (beehive) ไว้ตามขอบแผงเซลล์แสงอาทิตย์ก็ถูกเรียกว่าระบบอะกริวอลเทอิกส์เช่นกัน[5] ในแง่ของประสิทธิภาพ พื้นที่ทางการเกษตรนั้นเหมาะกับการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์มากที่สุด โดยสามารถสร้างกำไรและพลังงานได้มากกว่าระบบที่อยู่ในพื้นที่ร้าง เหตุเพราะระบบโฟโตวอลเทอิกนั้นจะมีประสิทธิภาพลดลงเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น และไร่นาทั่วไปอยู่ในพื้นที่ที่มีความชื้นซึ่งคุณสมบัติที่ทำให้เย็นลงของความดันไอเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มประสิทธิภาพของแผงเซลล์แสงอาทิตย์ จึงมีการคาดการณ์ว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ในอนาคตจะเพิ่มการแข่งขันแย่งชิงพื้นที่ทางการเกษตร พื้นที่ทางการเกษตรที่ดีที่สุดสำหรับการแปลงเป็นแผงเซลล์แสงอาทิตย์นั้นอยู่ในภูมิภาคภาคตะวันตกของสหรัฐ แอฟริกาตอนใต้ และตะวันออกกลาง ทุ่งหญ้าและพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นชนิดของพื้นที่ที่ดีที่สุดสำหรับการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในขณะที่พื้นที่อย่างทุ่งหิมะ (Snow field) และทุ่งน้ำแข็งเป็นสภาพแวดล้อมที่แย่ที่สุด หากสมมุติว่าศักยภาพของการผลิตพลังงานมัธยฐานเท่ากับ 28 วัตต์ต่อตารางเมตร (irradiance) ตามที่อ้างโดยบริษัทพลังงานโซลาร์ซิตีจากรัฐแคลิฟอร์เนีย รายงานฉบับหนึ่งประมาณการณ์อย่างคร่าว ๆ ไว้ว่าการคลุมพื้นที่ทางการเกษตรเพียง 1% จากที่มีอยู่ทั่วโลกด้วยแผงเซลล์แสงอาทิตย์ทั่วไปจะสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดที่โลกต้องการในปัจจุบันได้[6] ประวัติอดอล์ฟ เกิทซ์แบร์เกอร์ ผู้ก่อตั้งสถาบันเพื่อระบบพลังงานแสงอาทิตย์เฟราน์โฮเฟอร์ (Fraunhofer Institute for Solar Energy Systems) ในปี ค.ศ. 1981 พร้อมกับ อาร์มิน ซาสทรอฟ ได้สร้างทฤษฎีขึ้นมาในปี ค.ศ. 1982 เกี่ยวกับการใช้งานร่วมกันระหว่างการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และการเพาะปลูกพืชภายในพื้นที่ที่เพาะปลูกได้ (arable land) ซึ่งจะสามารถแก้ไขปัญหาการแก่งแย่งกันใช้พื้นที่ดินระหว่างการใช้งานทั้งสองรูปแบบ[3][7] จุดอิ่มตัวของแสงเป็นปริมาณสูงสุดของโฟตอนที่พืชชนิดหนึ่งจะสามารถดูดซับได้ และการได้รับโฟตอนมากเกินกว่านี้ก็จะไม่เพิ่มอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงขึ้นไปอีก ด้วยเหตุนี้ อากิระ นากาชิมะ (Akira Nakashima) จึงเสนอให้นำระบบเซลล์แสงอาทิตย์เข้ามาใช้ร่วมกับการทำเกษตรเพื้อนำแสงส่วนเกินมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า และได้พัฒนาต้นแบบ (Prototype) ของระบบนี้ขึ้นมาเป็นครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 2004[8] คำว่า "อะกริวอลเทอิกส์" อาจถูกใช้เป็นครั้งแรกในงานตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2011[4] ในขณะที่คำว่า "อะโกรโฟโตวอลเทอิก"[9] หรือ "อะกริโฟโตวอลเทอิก" ถูกใช้ในวรรณกรรมภาษาเยอรมัน[10] และคำว่า "โซลาร์แชริง" หรือการแบ่งปันแสงอาทิตย์ถูกใช้ในภาษาญี่ปุ่น[8] รูปแบบระบบอะกริวอลเทอิกส์นั้นถูกแบ่งออกเป็นสามรูปแบบที่ยังมีการวิจัยอยู่ คือการวางวางแผงเซลล์แสงอาทิตย์ให้มีช่องว่างเว้นระหว่างแผงสำหรับพืช การติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ไว้บนเสาเหนือพืช และการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ไว้บนเรือนกระจก.[1] ทั้งสามรูปแบบนี้มีตัวแปรหลายอย่างที่สามารถปรับเปลี่ยนได้เพื่อให้ทั้งพืชผลทางการเกษตรและแผงเซลล์แสงอาทิตย์ได้รับแสงอย่างเต็มที่ ตัวแปรหลักในระบบอะกริวอลเทอิกส์คือองศาของแผงเซลล์แสงอาทิตย์หรือ "องศาเอียง" ตัวแปรอย่างอื่นที่ต้องพิจารณาในการเลือกพื้นที่สำหรับการติดตั้งระบบชนิดนี้คือชนิดของพืชที่จะใช้เพาะปลูก ความสูงจากพื้นของแผงเซลล์ ความรับอาบรังสีสุริยะ (solar irradiance) ในพื้นที่ และสภาพภูมิอากาศในบริเวณ[1] การออกแบบระบบอุปกรณ์อะกริวอลเทอิกส์นั้นถูกออกแบบไว้หลายรูปแบบ ในเอกสารขั้นแรกในปี ค.ศ. 1982 เกิทซ์แบร์เกอร์และซาสทรอฟได้ตีพิมพ์แนวคิดในการพัฒนาการติดตั้งระบบอะกริวอลเทอิกส์ในอนาคตในหลายจุด อาทิ[3]
แผงเซลล์แสงอาทิตย์แบบคงที่เหนือพืชผลระบบที่สามัญที่สุดคือระบบที่ใช้แผงเซลล์แสงอาทิตย์แบบคงที่บนหลังคาเรือนกระจก เหนือพืช หรือระหว่างพืชในไร่นา และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของระบบได้โดยการปรับความหนาแน่นและองศาเอียงของแผงเซลล์แสงอาทิตย์ ระบบอะกริวอลเทอิกส์แบบพลวัตระบบแบบพลวัตระบบแรกและเรียบง่ายที่สุดถูกสร้างขึ้นในประเทศญี่ปุ่นโดยใช้แผงเซลล์สุริยะบาง ๆ ที่ถูกติดตั้งไว้บนขาตั้งที่ไม่มีฐานคอนกรีต ระบบนี้สามารถถอดประกอบได้และมีน้ำหนักเบา และสามารถเคลื่อนย้ายและปรับแผงได้ด้วยมือตามความเหมาะสมของแต่ละฤดูระหว่างที่เกษตรกรเพาะปลูกในที่ดิน ช่องว่างที่เว้นไว้ระหว่างแผงแต่ละแผงนั้นมีความกว้างเพื่อลดแรงต้านของลม[8] ระบบอะกริวอลเทอิกส์ระบบใหม่ ๆ นั้นมีการออกแบบมาพร้อมกับระบบติดตามดวงอาทิตย์เพื่อจัดตำแหน่งของแผงเซลล์สุริยะให้เหมาะสมที่สุด โดยระบบนี้มีการติดตั้งแล้วในไร่นาในประเทศญี่ปุ่น[11] ในปี ค.ศ. 2004 กึนเทอร์ ซาลูน (Günter Czaloun) นำเสนอระบบติดตามโดยใช้เชือก ซึ่งใช้จัดองศาของแผงเพื่อเพิ่มการผลิตไฟฟ้าหรือเพื่อให้ร่มกับพืชได้ตามที่ต้องการ โดยต้นแบบแรกถูกสร้างขึ้นในปึ ค.ศ. 2007 ที่ประเทศออสเตรีย[12] บริษัท REM TEC ได้ติดตั้งโรงผลิตไฟฟ้าที่ใช้ระบบติดตามที่มีสองแกนหลายแห่งในประเทศอิตาลีและประเทศจีน[13][14] และยังได้พัฒนาระบบเดียวกันสำหรับนำมาใช้กับเรือนกระจกทางการเกษตร[15] ในประเทศฝรั่งเศส บริษัท Sun'R ได้พัฒนาระบบติดตามแบบแกนเดี่ยวขึ้นมา โดยตามที่บริษัทนี้กล่าว ระบบของพวกเขาสามารถปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของพืชได้โดยการใช้แบบจำลองที่ซับซ้อนของการเติบโตของพืช การพยากรณ์อากาศ การคำนวณ และซอฟท์แวร์ที่เพิ่มประสิทธิภาพของระบบ[16] บริษัท Artigianfer ได้พัฒนาเรือนกระจกที่สามารถผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ได้ โดยมีแผงเซลล์สุริยะที่ติดตั้งไว้ซึ่งสามารถขยับตามดวงอาทิตย์ตามแนวทิศตะวันออก-ตะวันตกได้[17] รูปแบบอื่น ๆเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าแบบโฟโตวอลเทอิกรูปแบบใหม่ที่ปล่อยให้แสงสีที่พืชจำเป็นต้องใช้สามารถส่องผ่านได้และผลิตไฟฟ้าจากแสงสีอื่น ๆ มีศักยภาพที่จะถูกนำมาใช้ในเรือนกระจกในภูมิภาคเขตร้อนในอนาคต[18] เช่นในปี ค.ศ. 2015 หลิว เหวิน นักวิจัยมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศจีน เมืองเหอเฝย ได้เสนอแนวคิดการผลิตไฟฟ้าแบบอะกริวอลเทอิกส์ที่ใช้แผ่นกระจกโค้งซึ่งถูกเคลือบด้วยฟิล์มพอลิเมอร์ไดโครอิกซึ่งปล่อยให้แสงที่ความยาวคลื่นจำเพาะสามารถผ่านได้ เช่นแสงที่ความยาวคลื่นที่จำเป็นต่อการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช (แสงสีแดงและน้ำเงิน) และสะท้อนและรวมแสงที่ความยาวคลื่นอื่นลงบนแผงเซลล์สุริยะเพื่อผลิตไฟฟ้า การติดตั้งแบบนี้ใช้ระบบติดตามดวงอาทิตย์แบบสองแกน ระบบอะกริวอลเทอิกส์ระบบนี้สามารถกำจัดร่มเงาเหนือพืชทั้งหมด เพราะแสงที่ความยาวคลื่นสีแดงและน้ำเงินที่จำเป็นต่อการสังเคราะห์ด้วยแสงสามารถส่องผ่านลงมาได้ ระบบนี้ได้รับรางวัล R&D100 ในปี ค.ศ. 2017[19] การเลี้ยงแกะไว้แทะเล็มหญ้ารอบ ๆ แผงเซลล์สุริยะในบางกรณีอาจถูกกว่าการตัดหญ้า[20] ผลกระทบแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่ถูกนำมาใช้ในระบบอะกริวอลเทอิกส์ลดปริมาณของแสงและพื้นที่สำหรับพืช และยังส่งผลกระทบกระทบต่อพืชและดินที่ถูกปกคลุมในแง่อื่น ๆ ด้วย เช่นน้ำและความร้อน ในภูมิอากาศเขตละติจูดเหนือ ระบบอะกริวอลเทอิกส์จะเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศจุลภาคของพืชทั้งในด้านบวกและลบทำให้ไม่เกิดประโยชน์สุทธิ โดยลดคุณภาพของผลผลิตจากการเพิ่มขึ้นของความชื้นและโรค และก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการใช้สารฆ่าศัตรูพืช แต่กลับกันก็ลดความผันผวนของอุณหภูมิซึ่งเพิ่มปริมาณผลผลิต ขณะที่ในประเทศที่มีปริมาณหยาดน้ำฟ้าต่ำหรือไม่เสถียร ความผันผวนของอุณหภูมิสูง และขาดแคลนชลประทาน ระบบอะกริวอลเทอิกส์สามารถส่งผลที่เป็นประโยชน์ต่อคุณภาพของภูมิอากาศจุลภาคของพืช[21] น้ำจากการทดลองวัดระดับการระเหยของน้ำข้างใต้แผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่ปลูกพืชเกษตรทนร่มเช่นแตงกวาและผักกาดหอมซึ่งถูกรดน้ำโดยชลประทานในทะเลทราย พบว่าการระเหยลดลง 14-29 เปอร์เซ็นต์[1] ระบบอะกริวอลเทอิกส์สามารถนำมาใช้ได้ในพื้นที่ที่จำเป็นต้องใช้น้ำอย่างประหยัด (water efficiency)[1] ความร้อนได้มีการศึกษาเกี่ยวกับความร้อนของพื้นดิน อากาศ และพืชที่ปลูกข้างใต้แผงเซลล์แสงอาทิตย์ในช่วงฤดูเพาะปลูก พบว่าแม้อุณหภูมิของอากาศข้างใต้แผงเซลล์แสงอาทิตย์นั้นไม่เปลี่ยนแปลง อุณหภูมิของพื้นดินและพืชที่วัดได้กลับลดลง[1] ข้อดีโดยทั่วไปแผงโฟโตวอลเทอิกจะผลิตแก๊สเรือนกระจกในปริมาณที่ค่อนข้างน้อย แม้ว่าในขั้นตอนการติดตั้งจำเป็นต้องใช้โครงสร้างติดตั้งและการวางสายไฟที่ทำจากเหล็กกล้า ซึ่งต้องการการทำเหมืองแร่เพื่อผลิตถ่านหิน คอนกรีต และแร่ต่าง ๆ อย่างไรก็ตามปริมาณแก๊สเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาในขั้นตอนการผลิตก็ยังน้อยกว่าปริมาณที่ถูกปล่อยออกมาจากการผลิตไฟฟ้ารูปแบบดั้งเดิมในชั่วชีวิตของการใช้งานผลิตภัณฑ์[22] หากระบบการผลิตไฟฟ้าแบบอะกริวอลเทอิกส์นั้นคุ้มค่าในเชิงเศรษฐกิจ การใช้งานควบคู่กันระหว่างการผลิตพลังงานและสินค้าเกษตรจะสามารถบรรเทาการแก่งแย่งทรัพยากรที่ดิน และลดแรงกระตุ้นที่จะเปลี่ยนเขตพื้นที่ธรรมชาติมาใช้งานเชิงเกษตรกรรม[3] ในการจำลองสถานการณ์ขั้นต้นในงานวิจัยโดยดูปราซและคณะในปี ค.ศ. 2011 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่คำว่า 'อะกริวอลเทอิกส์' ถูกบัญญัติขึ้นมา ได้คำนวณว่าประสิทธิภาพการใช้งานที่ดินสามารถเพิ่มขึ้นกว่า 60-70% (ส่วนใหญ่เป็นประสิทธิภาพในการใช้ประโยชน์จากความรับอาบรังสีสุริยะ)[1][4] ดิเนชและคณะกล่าวว่าการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ควบคู่ไปกับการปลูกพืชทนร่มสามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของแปลงเกษตรได้มากกว่า 30% เมื่อเทียบกับแปลงเกษตรแบบทั่วไปที่ไม่ได้ติดตั้งระบบอะกริวอลเทอิกส์ ตามแบบจำลองของพวกเขา[1] มีการสันนิษฐานว่าระบบอะกริวอลเทอิกส์สามารถเป็นประโยชน์ต่อพืชฤดูร้อน เนื่องจากภูมิอากาศจุลภาคที่เกิดขึ้นและผลข้างเคียงด้านความร้อนและการควบคุมการไหลของน้ำ[23] ข้อเสียการแทนที่ที่ดินเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตรด้วยแผงเซลล์แสงอาทิตย์เป็นปัจจัยสำคัญที่มักถูกอ้างเป็นข้อเสียของระบบโฟโตวอลเทอิก[6][21] ที่ดินเพาะปลูกเป็นที่ดินชนิดที่แผงเซลล์แสงอาทิตย์มีประสิทธิภาพมากที่สุด[6] แม้ระบบอะกริวอลเทอิกส์จะทำให้สามารถใช้ประโยชน์ทางเกษตรบนพื้นที่ของโรงผลิตไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ได้ แต่ก็จะทำให้มีผลผลิตปริมาณที่ต่ำลง[21] อย่างไรก็ตามปริมาณผลผลิตพืชเกษตรบางชนิดในบางกรณีกลับไม่ได้รับผลกระทบจากร่มเงา ตัวอย่างเช่นผักกาดหอมในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา[1][6] แต่การติดตั้งระบบก็จะกินพื้นที่ใช้สอยไปกับโครงสร้างที่ใช้ติดตั้งและอุปกรณ์ต่าง ๆ[21] ระบบอะกริวอลเทอิกส์จะใช้งานได้ดีกับพืชที่ต้องการร่มเงาและในที่ที่แสงอาทิตย์ไม่ได้เป็นข้อจำกัดเท่านั้น พืชเกษตรทนร่มเป็นเพียงส่วนเล็กของผลผลิตการเกษตร[1] ตัวอย่างเช่น ข้าวสาลีไม่สามารถเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่ได้รับแสงน้อย และจึงไม่เหมาะสมกับระบบอะกริวอลเทอิกส์[1] การจำลองสถานการณ์ของระบบอะกริวอลเทอิกส์โดยดิเนชและคณะแสดงให้เห็นว่าผลิตภาพของพืชผลเกษตรที่ทนร่มและการผลิตไฟฟ้านั้นไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้สามารถผลิตทั้งสองสิ่งไปพร้อมกันได้ โดยได้ประมาณว่าผลผลิตของผักกาดหอมในระบบอะกริวอลเทอิกส์นั้นเทียบเท่ากับการทำไร่นารูปแบบทั่วไป[1] จากงานศึกษางานหนึ่งที่จำลองเรือนกระจกที่ใช้ระบบอะกริวอลเทอิกส์ซึ่งมีหลังคาที่ติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ไว้ครึ่งหนึ่ง พบว่าระบบไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากผลผลิตของพืชลดลง 64% และผลิตภาพของแผงเซลล์แสงอาทิตย์ลดลง 84% [24] วิทยานิพนธ์งานหนึ่งในปี ค.ศ. 2016 ได้คำนวนออกมาว่าระบบอะกริวอลเทอิกส์นั้นไม่สามารถทำกำไรได้ในประเทศเยอรมนี โดยจะขาดทุนถึง €80,000 ยูโรต่อเฮกตาร์ต่อปี ความสูญเสียเกิดจากระบบโฟโตวอลเทอิกซึ่งส่วนใหญ่มาจากค่าใช้จ่ายในการติดตั้งแผงเซลล์สุริยะบนเสาติดตั้งซึ่งมีความสูง วิทยานิพนธ์ยังได้คำนวณเงินอุดหนุนจากรัฐในรูปแบบของการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (feed-in tariff) ที่จะทำให้ระบบอะกริวอลเทอิกส์นั้นสามารถอยู่รอดทางเศรษฐกิจ และเป็นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะโน้มน้าวให้นักลงทุนลงทุนกับโครงการแบบนี้ได้ โดยหากผู้เสียภาษีจ่ายค่าไฟฟ้าเพิ่มเติมอย่างน้อย €0.115 ยูโรต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงจากราคาตลาด (€0.05 ในประเทศเยอรมนี) ให้แก่ผู้ผลิตแล้ว ก็จะทำให้โครงการในรูปแบบนี้เกิดขึ้นได้อีกในอนาคต[21] การติดตั้งระบบอะกริวอลเทอิกส์ต้องการการลงทุนขนาดใหญ่สำหรับค่าแผงเซลล์แสงอาทิตย์ เครื่องจักรทำเกษตร และระบบไฟฟ้า ซึ่งทำให้มีค่าเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายเพิ่ม และความเสี่ยงที่เครื่องจักรจะทำให้ระบบเสียหายนั้นก็ส่งผลให้ค่าประกันสูงกว่าแผงเซลล์แสงอาทิตย์รูปแบบธรรมดา ในประเทศเยอรมนี ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบที่สูงส่งผลให้เกษตรกรไม่สามารถจัดหาเงินทุนจากการกู้ยืมเพื่อการเกษตรแบบทั่วไปได้ ทว่าในอนาคตทางภาครัฐสามารถเข้ามาควบคุม เปลี่ยนแปลง และอุดหนุนเพื่อสร้างตลาดใหม่ให้นักลงทุนในโครงการเหล่านี้ เพื่อให้เกษตรกรมีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในภายภาคหน้าได้[21] ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ที่ซึ่งแหล่งเงินทุนเป็นปัญหาใหญ่และโดยทั่วไปมีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อการเกษตรต่อปีประมาณ 9 ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ การลงทุนในระบบอะกริวอลเทอิกส์เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลทางเศรษฐกิจสำหรับเกษตรกรส่วนใหญ่ ระบบโฟโตวอลเทอิกเป็นระบบที่มีเทคโนโลยีซับซ้อน หมายความว่าเกษตรกรจะไม่สามารถซ่อมแซมความเสียหายต่อระบบในบางกรณีได้ ทำให้จำเป็นต้องพึ่งพาผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ในกรณีของประเทศเยอรมนี ค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานสามารถเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นผลจากระบบอะกริวอลเทอิกส์[21] หรืออีกด้านหนึ่ง แรงงานอาจเป็นปัญหาหลักในเศรษฐกิจที่มีค่าแรงสูงเช่นประเทศสหรัฐอเมริกา การเลี้ยงแกะไว้แทะเล็มหญ้ารอบ ๆ แผงเซลล์แสงอาทิตย์เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งที่เพิ่มการใช้งานเชิงเกษตรขึ้นให้กับแผงเซลล์แสงอาทิตย์ทั่วไป แต่ทรัพยากรมนุษย์ของคนเลี้ยงแกะอาจมีไม่เพียงพอ[20] ในประเทศเกาหลีใต้ ประชากรท้องถิ่นได้กล่าวหาผู้สนับสนุนว่าโกหกเกี่ยวกับผลประโยชน์ทางสิ่งแวดล้อมของระบบโฟโตวอลเทอิก ว่าระบบนี้จะก่อให้เกิดมลพิษต่อบริเวณโดยรอบด้วยสารพิษภายในแผงเซลล์แสงอาทิตย์และสารเคมีที่ใช้ทำความสะอาดมัน ก่อให้เกิดมลภาวะทางแสงจากพื้นผิวที่สะท้อนแสงของแผงเซลล์แสงอาทิตย์ และอาจปล่อย "รังสีแม่เหล็กไฟฟ้า" ที่อาจเป็นอันตรายได้ ความขัดแย้งจากผู้อยู่อาศัยและการต่อต้านจากท้องถิ่นอาจส่งผลให้ราคาของระบบนั้นสูงเกินไปทั้งในด้านเงินตราและเวลาที่ต้องเสียไปกับคดีความต่าง ๆ [25] ระบบอะกริโวลเทอิกทั่วโลกทวีปเอเชียประเทศญี่ปุ่นประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกที่พัฒนาระบบอะกริวอลเทอิกส์กลางแจ้งขึ้นมาในปี ค.ศ. 2004 อากิระ นากาชิมะ ได้พัฒนาโครงสร้างที่ถอดประกอบได้ซึ่งมีการนำมาทดสอบกับพืชชนิดต่าง ๆ โครงสร้างแบบนี้ทำให้เกษตรกรสามารถถอดหรือเคลื่อนย้ายสิ่งก่อสร้างตามการปลูกพืชหมุนเวียนและความต้องการของพืชได้[8] ตั้งแต่นั้นมา สิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่กว่าที่เป็นโครงสร้างถาวรและระบบแบบพลวัตก็ได้ถูกพัฒนาขึ้นมา โดยมีความสามารถผลิตไฟฟ้าได้หลายเมกะวัตต์[26][27][11] โรงไฟฟ้าขนาด 35 เมกะวัตต์บนพื้นที่ 54 เฮกตาร์เริ่มดำเนินการในปี ค.ศ. 2018 ซึ่งประกอบด้วยแผงเซลล์แสงอาทิตย์สูงสองเมตรเหนือพื้น ณ จุดต่ำสุด ที่ติดตั้งบนเสาเหล็กฐานคอนกรีต อัตราร่มเงาของโรงไฟฟ้านี้เท่ากับ 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงกว่าอัตราที่พบปกติในระบบของนากาชิมะที่ 30 เปอร์เซ็นต์ พื้นที่ข้างใต้แผงเกษตรกรใช้ปลูกโสมจีน (Panax ginseng), อาชิตาบะ (ashitaba) และผักชีในอุโมงค์พลาสติก โดยเลือกปลูกโสมโดยเฉพาะเพราะมันสามารถโตได้ด้วยแสงน้อย พื้นที่นี้แต่ก่อนเป็นที่ปลูกหญ้าสนามสำหรับสนามกอล์ฟ แต่เมื่อความนิยมกอล์ฟลดลงในประเทศญี่ปุ่น พื้นที่เหล่านี้ก็เริ่มถูกทิ้งร้าง[28] โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 480 เมกะวัตต์มีแผนจะสร้างขึ้นบนเกาะอูกูจิมะในปี ค.ศ. 2020 ซึ่งส่วนหนึ่งจะใช้ระบบอะกริวอลเทอิกส์[29] กฎหมายญี่ปุ่นกำหนดไว้ว่า การที่จะได้รับอนุญาตให้ใช้ประโยชน์จากแผงเซลล์แสงอาทิตย์เหนือพืชเกษตรนั้น เกษตรกรต้องคงผลผลิตเกษตรกรรมไว้อย่างน้อย 80 เปอร์เซ็นต์จากของเดิม และหากเทศบาลพบว่าระบบที่ติดตั้งนั้นก่อให้เกิดร่มเงาบนแปลงเกษตรมากเกินไป เกษตรกรก็จำเป็นที่จะต้องถอดระบบนั้นออก ในขณะเดียวกันรัฐบาลญี่ปุ่นก็มีมาตรการสนับสนุนที่เรียกว่า FITs สำหรับการผลิตพลังงานของท้องถิ่น ส่งผลให้เจ้าของที่ที่ใช้ระบบซึ่งน้ำหนักเบาสามารถสร้างรายได้จากการผลิตไฟฟ้ามากกว่าการทำเกษตร[8] หากใช้ระบบอะกริวอลเทอิกส์รูปแบบนี้ และใช้ประเทศญี่ปุ่นเป็นกรณีตัวอย่าง ระบบโฟโตวอลเทอิกทั่วไปจะสามารถผลิตพลังงานที่เพียงพอให้กับประเทศได้บนพื้นที่ขนาด 2.5 ล้านเอเคอร์ และหากใช้ระบบอะกริวอลเทอิกส์จะสามารถทำแบบเดียวกันได้บนพื้นที่เกษตรกรรมขนาด 7 ล้านเอเคอร์ ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นมีพื้นที่เกษตรกรรมรวม 11.3 ล้านเอเคอร์[8] ประเทศจีนในปี ค.ศ. 2016 บริษัทสัญชาติอิตาลี REM TEC ได้สร้างโรงไฟฟ้าระบบอะกริวอลเทอิกส์ขนาด 0.5 เมกะวัตต์พีกขึ้นในอำเภอจินไจ้ (Jinzhai) มณฑลอานฮุย[14] บริษัทจีนหลายบริษัทได้พัฒนาโรงผลิตไฟฟ้าขนาดหลายกิกะวัตต์ที่ผนวกรวมการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เข้ากับเกษตรกรรม ไม่ว่าจะเป็นแบบเรือนกระจกโฟโตวอลเทอิกหรือที่ติดตั้งไว้กลางแจ้ง ตัวอย่างเช่น บริษัท Panda Green Energy ได้ติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์เหนือไร่องุ่นในเมืองทูร์ปาน (Turpan) เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ในปี ค.ศ. 2016 โดยโรงไฟฟ้าขนาด 0.2 เมกะวัตต์นี้ได้รับใบรับรองระดับชาติและได้เชื่อมต่อเข้ากับกริดไฟฟ้าแล้ว[30] ในปี ค.ศ. 2017 บริษัท Fuyang Angkefeng Optoelectronic Technology ได้สร้างสถานที่ทดสอบโรงผลิตไฟฟ้าระบบอะกริวอลเทอิกส์ขึ้นในเมืองฟู่หยาง (Fuyang) มณฑลอานฮุย ระบบนี้ใช้เทคโนโลยีอะกริวอลเทอิกส์รูปแบบใหม่ (ดูที่ด้านบน) ซึ่งถูกคิดค้นโดย หลิว เหวิน จากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศจีน เมืองเหอเฝย[19][31] 30 ปีแล้วที่ Elion Group มีความพยายามต่อสู้ต่อการแปรสภาพเป็นทะเลทรายของภูมิภาคคู่ปู้ฉี (Kubuqi) น้ำที่ใช้ล้างแผงเซลล์แสงอาทิตย์ถูกใช้เพื่อรดน้ำพืชที่ปลูกไว้ข้างใต้[32] ว่าน โหยวเป่า (Wan You-bao) ได้รับสิทธิบัตรสำหรับระบบที่ให้ร่มเงากับพืชพันธุ์ที่ปลูกในพื้นที่ทะเลทรายในปึ ค.ศ. 2007 โดยมีแผงเซลล์แสงอาทิตย์ติดตั้งอยู่เพื่อให้ร่มเงา[33] ประเทศเกาหลีใต้รัฐบาลเกาหลีใต้ได้รับแผนการ Renewable energy 3020 มาใช้ในการกำหนดนโยบายด้านพลังงาน โดยมีเป้าหมายให้ 20 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานทั้งหมดผลิตจากทรัพยากรหมุนเวียนภายในปี ค.ศ. 2030[25] ในปี ค.ศ. 2019 สมาคมอะกริวอลเทอิกส์เกาหลี (Korea Agrivoltaic Association) ถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมอะกริวอลเทอิกส์ของประเทศเกาหลีใต้[34] ในปี ค.ศ. 2016 SolarFarm.Ltd สร้างโรงไฟฟ้าอะกริวอลเทอิกส์เป็นที่แรกในประเทศเกาหลีใต้ซึ่งปลูกข้าวเป็นผลผลิตทางการเกษตร[35] กฎหมายการจัดเขตของประเทศเกาหลี ที่เรียกว่า "ข้อบังคับการแบ่งแยก" (separation regulations) กำหนดว่าการสร้างโรงไฟฟ้าแผงเซลล์แสงอาทิตย์หรือโซลาร์ฟาร์มไว้ใกล้ถนนหรือพื้นที่อยู่อาศัยนั้นเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย หมายความว่าจะต้องสร้างในพื้นที่ที่ไม่ถูกใช้งานเช่นตามเนินภูเขา ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกและเคยถูกทำลายในช่วงที่มีพายุ ในปึ ค.ศ. 2017 มีการปรับปรุงกฎการจัดเขตให้ท้องถิ่นสามารถกำหนดข้อบังคับของตนเองได้ ตั้งแต่นั้นมาโรงไฟฟ้าอะกริวอลเทอิกส์ถูกสร้างขึ้นมาจำนวนหนึ่ง แต่การแผ่ขยายของโรงไฟฟ้าโฟโตวอลเทอิกในพื้นที่ชนบทเป็นที่ไม่พอใจของผู้อยู่อาศัยในท้องที่ซึ่งเป็นเหตุให้มีการชุมนุมประท้วงต่อต้าน เพราะแผงเซลล์แสงอาทิตย์ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่อุจาดตา และผู้คนหวาดกลัวมลภาวะจากวัสดุที่เป็นพิษในแผงเซลล์แสงอาทิตย์ หรือแม้แต่อันตรายจาก "คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า" การต่อต้านจากชาวบ้านนำไปสู่การต่อสู้ในชั้นศาลทั่วทั้งประเทศ เลขานุการบริหารสมาคมอะกริวอลเทอิกส์เกาหลี คิม ชังอัน กล่าวอ้างว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมนี้เกิดจาก "ข่าวปลอม"[25] ในปึ ค.ศ. 2021 สมาคมเฟราน์โฮเฟอร์จากประเทศเยอรมนีกล่าวว่ารัฐบาลเกาหลีใต้มีแผนจะสร้างระบบอะกริวอลเทอิกส์หนึ่งแสนระบบในไร่นาของเกษตรกรเพื่อเป็นผลประโยชน์หลังเกษียณ[36] ประเทศอินเดียงานศึกษางานหนึ่งที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2017 พิจารณาความเป็นไปได้ที่จะนำระบบอะกริวอลเทอิกส์มาใช้ในไร่องุ่นในประเทศอินเดีย ระบบที่ถูกศึกษาในบทความประกอบด้วยแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่แทรกอยู่ระหว่างพืชเพื่อจำกัดปริมาณร่มเงาที่จะตกลงบนพืช งานศึกษานี้กล่าวอ้างว่าระบบนี้นั้นสามารถเพิ่มรายได้ (ไม่ใช่กำไร) ให้กับเกษตรกรชาวอินเดียในพื้นที่ ๆ หนึ่งได้ถึง 1500 เปอร์เซ็นต์ เมื่อไม่นำเงินลงทุนมาคิด[1][37] ประเทศมาเลเซียในประเทศมาเลเซีย ผู้พัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศมาเลเซีย Cypark Resources Berhad (หรือ Cypark) ได้สร้างโซลาร์ฟาร์มแบบโฟโตวอลเทอิกผสมผสานกับเกษตรกรรม (AIPV) เป็นที่แรกของประเทศมาเลเซียในกัวลาเปอร์ลิซ (Kuala Perlis) โดยผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์และผลผลิตทางการเกษตรเช่น เมลอน พริก แตงกวา ฯลฯ[38] ภายหลัง Cypark ได้พัฒนาโซลาร์ฟาร์มที่อื่นอีกสี่ที่ซึ่งผสมผสานการใช้งานเข้ากับกิจกรรมทางการเกษตรเช่นเดียวกันคือ ที่กัวลาเปอร์ลิซขนาด 6 เมกะวัตต์พร้อมเลี้ยงแพะกับแกะ ที่เปิงกาลันฮูลู (Pengkalan Hulu) ขนาด 425 กิโลวัตต์พร้อมปลูกผักท้องถิ่น และที่เจอเลอบู (Jelebu) ขนาด 4 เมกะวัตต์กับที่ตานะฮ์เมอระฮ์ (Tanah Merah) ขนาด 11 เมกะวัตต์พร้อมเลี้ยงแพะกับแกะ[ต้องการอ้างอิง] มหาวิทยาลัยปุตรามาเลเซีย (Universiti Putra Malaysia) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีความเฉพาะทางในด้านเกษตรศาสตร์ ได้มีการทดลองการเพาะปลูกพืชสมุนไพรที่ชื่อว่าหญ้าหนวดแมวในปี ค.ศ. 2015 ข้างใต้โครงสร้างติดตั้งแผงเซลล์แสงสุริยะแบบถาวรบนพื้นที่ทดลองขนาด 0.4 เฮกตาร์[39] ประเทศเวียดนามสถาบันฟรอมโฮเฟอร์เพื่อระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (Fraunhofer ISE) ได้ติดตั้งระบบอะกริวอลเทอิกส์ของพวกเขาในฟาร์มกุ้งแห่งหนึ่งในจังหวัดบักเลียวในเขตดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ตามที่สถาบันกล่าว ผลลัพธ์ของโครงการนำร่องโครงการนี้ชี้ว่าการบริโภคน้ำลดลง 75 เปอร์เซ็นต์ ระบบของพวกเขาอาจสามารถให้ประโยชน์อื่น ๆ ได้เช่น ร่มเงาสำหรับคนงาน รวมไปถึงอุณหภูมิน้ำที่ต่ำลงและเสถียรมากขึ้นซึ่งเป็นผลดีต่อการเติบโตของกุ้ง[40] ทวีปยุโรปในทวีปยุโรปช่วงต้นคริสต์ทศวรรษที่ 2000 มีการก่อสร้างเรือนกระจกโฟโตวอลเทอิกแบบทดลอง โดยหลังคาของเรือนกระจกส่วนหนึ่งถูกแทนที่ด้วยแผงเซลล์แสงอาทิตย์ ในประเทศออสเตรีย ระบบอะกริวอลเทอิกส์แบบกลางแจ้งแบบทดลองขนาดเล็กถูกก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2007[12] ตามมาด้วยการทดลองอีกสองที่ในประเทศอิตาลี[41] และตามด้วยการทดลองในประเทศฝรั่งเศสและประเทศเยอรมนี[42][43] ในปี ค.ศ. 2020 มีการริเริ่มโครงการนำร่องในประเทศเบลเยียม ซึ่งจะทดสอบว่าสามารถปลูกต้นแพร์ท่ามกลางแผงเซลล์แสงอาทิตย์ได้หรือไม่[44] อุตสาหกรรมโฟโตวอลเทอิกไม่สามารถใช้เงินอุดหนุนจากนโยบายเกษตรร่วมของสหภาพยุโรปได้เมื่อถูกสร้างขึ้นบนที่ดินทำเกษตร[36] ประเทศออสเตรียในปี ค.ศ. 2004 กึนเทอร์ ซาลูน ได้เสนอระบบโฟโตวอลเทอิกแบบติดตามพระอาทิตย์ด้วยเชือก ต้นแบบทดลองที่แรกถูกสร้างขึ้นในทีโรลใต้ (South Tyrol) ในปี ค.ศ. 2007 บนพื้นที่ขนาด 0.1 เฮกตาร์ โครงสร้างสายเชือกอยู่สูงกว่าห้าเมตรเหนือพื้นดิน และในปี ค.ศ. 2017 ระบบแบบใหม่ถูกนำเสนอในงานประชุมอินเตอร์โซลาร์ (Intersolar) ที่จัดขึ้นในเมืองมิวนิก เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพที่จะมีราคาต่ำกว่าระบบแบบกลางแจ้งระบบอื่น ๆ เนื่องจากใช้เหล็กในปริมาณที่น้อยลง[12] ประเทศอิตาลีในปี ค.ศ. 2009 และ 2011 มีการติดตั้งระบบอะกริวอลเทอิกส์แบบแผงคงที่เหนือไร่องุ่น (vineyard) โดยการทดลองแสดงให้เห็นว่าทำให้ผลผลิตลดลงเล็กน้อยและเก็บเกี่ยวล่าช้ากว่าปกติ[41][45] ในปี ค.ศ. 2009 บริษัทสัญชาติอิตาลี REM TEC ได้พัฒนาระบบติดตามดวงอาทิตย์สองแกน และในปี ค.ศ. 2011 กับ 2012 REM TEC ได้สร้างโรงไฟฟ้าระบบอะกริวอลเทอิกส์แบบกลางแจ้งขนาดหลายเมกะวัตต์[13] บริษัทโฆษณาว่าระบบสแลนอัตโนมัติสามารถนำมาใช้ผสมผสานเพื่อเพิ่มผลผลิตได้[46] นอกจากระบบกลางแจ้งแล้ว บริษัทยังมีระบบสำหรับเรือนกระจกที่บริษัทอ้างว่าจะทำให้สภาพภูมิอากาศจุลภาคในเรือนกระจกเหมาะสมกับพืขมากที่สุด[15] ประเทศฝรั่งเศสบริษัท Akuo Energy ได้มีการพัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับ agrinergie มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2007 ซึ่งเป็นการผสมผสานการผลิตไฟฟ้ากับเกษตรกรรมเข้าด้วยดันผ่านการสอดแทรกและซ้อนกัน[47] ในปี ค.ศ. 2017 บริษัท Tenergie ได้เริ่มนำเรือนกระจกแบบโฟโตวอลเทอิกมาใช้ ซึ่งมีโครงสร้างที่กระจายแสงที่ลดความเปรียบต่างระหว่างส่วนที่เป็นเงากับแสงที่เกิดจากแผงเซลล์แสงอาทิตย์[48] ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 สถาบัน INRA, IRSTEA กับบริษัท Sun'R ทำงานร่วมกันในโครงการ Sun'Agri[42] ต้นแบบแรกซึ่งมีแผงเซลล์แสงอาทิตย์แบบคงที่ถูกติดตั้งในปี ค.ศ. 2009 บนที่โล่งขนาด 0.1 เฮกตาร์ในเมืองมงเปอลีเย[16] ต้นแบบอื่น ๆ ที่มีแผงแบบเคลื่อนที่ได้แกนเดี่ยวถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2014[16] และ 2017 เป้าหมายของการศึกษาเหล่านี้คือเพื่อจัดการสภาพภูมิอากาศจุลภาคของพืชและผลิตพลังงานไฟฟ้า และเพื่อศึกษาการกระจายของแสงระหว่างพืชและแผงเซลล์แสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าระบบอะกริวอลเทอิกส์แรกที่บริษัท Sun'R ได้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2018 อยู่ในเทศบาลเทรแซร์ (Tresserre) ในจังหวัดปีเรเน-ออรีย็องตาล โดยมีขนาด 2.2 เมกะวัตต์พีกบนไร่องุ่นพื้นที่ 4.5 เฮกตาร์ ซึ่งเป็นการประเมินประสิทธิภาพของระบบของบริษัทนี้บนไร่องุ่นในขนาดใหญ่และสภาวะจริง[49] ในปี ค.ศ. 2016 บริษัท Agrivolta ได้เฉพาะทางในระบบอะกริวอลเทอิกส์[50] หลังจากที่ต้นแบบแรกได้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2017 ในเมืองแอ็กซ็องพรอว็องส์ บริษัท Agrivolta ได้ติดตั้งระบบของตัวเองบนพื้นที่ของสถาบันวิจัยพืชสวนแห่งชาติฝรั่งเศส (Astredhor) ในเทศบาลอีแยร์ (Hyères)[51] และได้นำเสนอเทคโนโลยีของบริษัทในงานแสดงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค (CES) ในเมืองลาสเวกัสในปี ค.ศ. 2018[52] ประเทศเยอรมนีในปี ค.ศ. 2011 สถาบันเพื่อระบบพลังงานแสงอาทิตย์เฟราน์โฮเฟอร์เริ่มวิจัยระบบอะกริวอลเทอิกส์ ตามด้วยโครงการ APV-Resola ซึ่งเริ่มในปี ค.ศ. 2015 และกำหนดการสิ้นสุดในปี ค.ศ. 2020 ต้นแบบแรกขนาด 194.4 กิโลวัตต์พีกมีแผนที่จะสร้างในปี ค.ศ. 2016 บนพื้นที่ขนาด 0.5 เฮกตาร์ของไร่นาสหกรณ์ฮ็อฟเกอไมน์ชัฟท์ เฮ็กเกิลบัค ในเทศบาลแฮร์ทวังเงิน (Herdwangen-Schönach)[43] ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015 การผลิตพลังงานไฟฟ้าโฟโตวอลเทอิกในประเทศเยอรมนียังไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจหากไม่มีเงินอุดหนุน FITs จากรัฐบาล[21] ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2021 ไม่มีเงินอุดหนุน FITs ให้ระบบอะกริวอลเทอิกส์ในประเทศเยอรมนี[36] ในทางกลับกัน สมาคมเฟราน์โฮเฟอร์ซึ่งเป็นสถาบันส่งเสริมการใช้งานพลังงานแสงอาทิตย์กล่าวในปี ค.ศ. 2021 ว่า 4 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่เพาะปลูกได้ของเยอรมนีจำเป็นต้องถูกคลุมด้วยแผงเซลล์แสงอาทิตย์เพื่อให้สามารถผลิตพลังงานพอความต้องการของประเทศได้ (ขนาดที่ติดตั้งประมาณ 500 กิกะวัตต์พีก) โดยเชื่อว่าความจุทั้งหมดของประเทศสำหรับระบบอะกริวอลเทอิกส์เหนือพืชทนร่มเช่นเบอร์รีเท่ากับ 1,700 กิกะวัตต์พีก หรือประมาณ 14 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมด[36] ประเทศเดนมาร์กภาควิชาพืชไร่นาของมหาวิทยาลัยออร์ฮูส (Aarhus University) ได้เริ่มโครงการศึกษาระบบอะกริวอลเทอิกส์ในสวนผลไม้ในปี ค.ศ. 2014[53] ทวีปอเมริกาสหรัฐในประเทศสหรัฐอเมริกา บริษัท SolAgra ได้ร่วมมือพัฒนาระบบอะกริวอลเทอิกส์ร่วมกับภาควิชาพืชไร่นาของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เดวิส พืชผลที่สามารถเพาะปลูกข้างใต้ได้ประกอบด้วยองุ่น แรสเบอร์รี แอปเปิล ผักกาดหอม มะเขือเทศ เก๋ากี้ มันฝรั่ง และข้าว[54] มีการศึกษาระบบอะกริวอลเทอิกส์เชิงทดลองโดยมหาวิทยาลัยหลายแห่งเช่น โครงการ Biosphere 2 ที่มหาวิทยาลัยแอริโซนา[55][56] โครงการภาควิชาเกษตรกรรมสต็อกบริดจ์ของมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ แอมเฮิรสท์ (University of Massachusetts Amherst)[57] บริษัทสัญชาติสหรัฐบริษัทหนึ่งได้ติดตั้งรังผึ้งไว้ใกล้แผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่มีอยู่ก่อนแล้ว[5] ประเทศชิลีระบบอะกริวอลเทอิกส์ขนาด 13 กิโลวัตต์พีกสามระบบถูกสร้างขึ้นในประเทศชิลีในปี ค.ศ. 2017 เป้าหมายของโครงการนี้คือเพื่อศึกษาพืชที่สามารถได้รับประโยชน์จากร่มเงาของระบบอะกริวอลเทอิกส์ ไฟฟ้าที่ผลิตถูกนำมาใช้ในสิ่งก่อสร้างทางการเกษตรเช่น การทำความสะอาด การบรรจุภัณฑ์ การเก็บเย็น ตู้ฟักไข่ ฯลฯ ระบบหนึ่งถูกติดตั้งในบริเวณที่ไฟดับบ่อย[58] อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น |