อิทธิ พลางกูร
อิทธิ พลางกูร มีชื่อจริงว่า เอกชัยวัฒน์ พลางกูร (30 มกราคม พ.ศ. 2498 - 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547) เป็นนักร้อง นักดนตรี นักแต่งเพลง และโปรดิวเซอร์เพลงชาวไทย มีผลงานหลัก ๆ ในสังกัดอาร์เอส ประวัติวัยเด็กอิทธิ พลางกูร เกิดเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2498 เป็นบุตรชายคนที่ 3 ของศาสตราจารย์ นายแพทย์โอภาส และ แพทย์หญิงสุมาลย์ พลางกูร จบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร มัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และอนุปริญญาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เล่นเครื่องดนตรีชิ้นแรกคือกลองก่อนจะหันมาเล่นกีตาร์ ซึ่งเพลงแรกที่หัดเล่นกีตาร์คือเพลง 500 Miles ของวง The Journeymen โดยได้รับอิทธิพลทางดนตรีมาจากพี่ชาย อิทธิฉายแววนักดนตรีตั้งแต่ยังเด็ก และสามารถเล่นเพลงของจิมมี เฮนดริกซ์ และวง ครีม ซึ่งถือว่าเล่นยากมากได้ตั้งแต่อยู่ชั้นม.ต้น ต่อมาเมื่อเรียนม.ปลาย ที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงได้ตั้งวงดนตรีเป็นครั้งแรกโดยใช้ชื่อว่าวง เดอะ สตรีม โดยได้ขึ้นแสดงเพลง Old Turkey Buzzard ของ Jose Faliciano ในงานของโรงเรียน ซึ่งเพลงดังกล่าวเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง McKenna's Gold หรือขุมทองแม็คเคนน่าที่โด่งดังมากในเมืองไทย นอกจากนี้ยังเล่นเพลงของเดอะ บีทเทิลส์ และวงครีม หลังจบการศึกษาชั้นมัธยมปลาย อิทธิย้ายกลับกรุงเทพ เพื่อเรียนต่อด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ และได้เข้าร่วมกับวง ดิ ออร์กาไนซ์เซชั่น เล่นเพลงแนวฮาร์ดร็อกของวงดีพ เพอร์เพิล, ยูไรอาห์ฮีป, แกรนด์ฟังก์เรลโรด ก้าวเข้าสู่วงการเพลงสมาชิกวงเดอะเบลสส์อิทธิเข้าสู่วงการเพลงด้วยการเป็นสมาชิกวง "เดอะ เบลสส์" ซึ่งเป็นการออดิชั่นเพื่อหางานดนตรีเล่นประจำตามไนท์ คลับ มีสมาชิกยุคเริ่มแรกคือ สุรสีห์ อิทธิกุล ในตำแหน่งมือกีตาร์, สมชาย กฤษณะเศรณี ตำแหน่งมือเบส , โชด นานา มือกลอง และไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว(ปั่น) เป็นนักร้องนำ โดยอิทธิ พลางกูร รับหน้าที่เล่นกีตาร์ พร้อมทั้งได้ปรับเปลี่ยนสไตล์การเล่นให้เบาลงเพื่อให้สามารถเล่นกับโรงแรมหรูๆ ได้[1] ต่อมาเมื่อ สุรสีห์, ไพบูลย์เกียรติ และ สมชาย ได้แยกตัวออกไป จึงเปลี่ยนสมาชิกในวงเป็น ธนิต เชิญพิพัฒธนสกุล ในตำแหน่งมือกลองและร้องนำ , วิวัฒน์ ไชยเจริญ ซึ่งเป็นอดีตสมาชิกวงแกรนด์เอ็กซ์ในยุคแรก มาเป็นสมาชิกในตำแหน่งเปียโน, นพดล กมลวรรณ อดีตสมาชิกวง เดอะ ฟ็อกซ์ มาเล่นในตำแหน่งคีย์บอร์ดและซินธิไซเซอร์, สมบัติ พรหมมา อดีตนักดนตรีวงมุกดาพันธ์ ในตำแหน่งเครื่องเป่า , เกรียงไกร จิตตาโภคา ในตำแหน่ง กีตาร์เบส นอกจากนี้ยังได้ จารึก วิริยะกิจ หนึ่งในนักร้องที่ได้รับฉายาว่าเอลวิส เมืองไทย มาเป็นนักร้องหลักให้กับวง วงเดอะ เบลสส์ ออกผลงานเพลงไทยชุดแรก เป็นอัลบั้มพิเศษ โดยเป็นการนำบทเพลงแนวโฟล์คซองคำเมือง จากอัลบั้ม โฟล์กซองคำเมือง อมตะ 1 และ 2 ของจรัล มโนเพ็ชร และเพลง คำวิงวอน โดยต้นฉบับของ สมบูรณ์ บุญโรจน์ มาทำดนตรีใหม่ในแนวเพลงดิสโก้ ชื่ออัลบั้ม คำเมืองดิสโก้ สังกัดค่ายชัวร์ออดิโอ ต่อมาในปี พ.ศ. 2526 ซึ่งเป็นยุคที่เพลงไทยกำลังเฟื่องฟู เดอะ เบลสส์ ได้ออกสตูดิโออัลบั้มที่เป็นผลงานของตัวเองชุดแรกในชื่อ หัวใจขายขาด สังกัดห้องอัดเสียงทอง ซึ่งมีอุกฤษฏ์ พลางกูร พี่ชายของอิทธิ เป็นผู้บริหารและควบคุมการบันทึกเสียงในขณะนั้น มีเพลงฮิตอย่าง หัวใจขายขาด ซึ่งเป็นเพลงเก่าของสุเทพคอรัส แนวร็อค แอนด์ โรล[2] ร้องโดย ธนิต และเพลง เมื่อใดฉันไร้รัก เพลงช้าที่โดดเด่นมาก จากการร้องของอิทธิ โดยอัลบั้มนี้ได้ สุรพล โทณะวณิก มาเขียนคำร้อง ปีต่อมา เดอะ เบลสส์ได้ออกอัลบั้ม คืนเหงาใจ ซึ่งมีเพลงฮิตคือ อเมริกา และอิทธิ พลางกูร ได้ร้องนำในอัลบั้มนี้ 4 เพลง ได้แก่ คืนเหงาใจ , ลวง, เธอกับฉัน และ คืนแสงจันทร์ แต่อัลบั้มนี้กลับไม่ประสบความสำเร็จทางยอดขายมากนัก จากนั้นทางวงประสบปัญหาไม่มีที่เล่นดนตรีประจำและสมาชิกเกิดความเบื่อหน่าย จึงยุบวง เดอะ เบลสส์ ที่มีอายุรวม 8 ปี หลังจากยุบวง อิทธิไปเป็นหุ้นส่วนทำห้องอัด "แจม สตูดิโอ" กับพี่ชาย พร้อมกับทำงานเป็นซาวนด์ เอ็นจิเนียร์ และโปรดิวเซอร์ให้กับศิลปินต่างๆ มากมาย ในนามศิลปินเดี่ยวอิทธิ พลางกูรได้รับการชักชวนจาก สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ หรือ เฮียฮ้อ ให้ออกอัลบั้มชุดแรกในปี พ.ศ. 2531 ชื่อชุด "ให้มันแล้วไป" กับสังกัดอาร์.เอส.โปรโมชั่น กรุ๊ป และเพียงแค่อัลบั้มแรกก็ประสบความสำเร็จสุดขีด โดยถือเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงของวงการเพลงไทยด้วยยอดขายกว่า 700,000 ตลับ โดยเพลงที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือ ให้มันแล้วไป และ เก็บตะวัน ซึ่งแต่งโดย ธนพล อินทฤทธิ์ ซึ่งต่อมาเพลงนี้ได้กลายเป็นเพลงยอดนิยมมาตราบจนปัจจุบัน และเป็นเสมือนสัญลักษณ์ประจำตัวของอิทธิ โดยมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ได้ ปรัชญา ปิ่นแก้ว เป็นผู้กำกับ ซึ่ง 2 เพลงดังกล่าวฮิตติดชาร์ตอันดับหนึ่งเกือบทุกสำนัก นอกจากจะประสบความสำเร็จทางยอดขายแล้ว มิวสิกวิดีโอเพลง เก็บตะวัน ก็ยังได้รับรางวัลโทรทัศน์ทองคำ ชนะเลิศ สาขามิวสิกวิดีโอดีเด่น อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีเพลงฮิตอื่นๆ เช่น ยังจำไว้ ซึ่งแต่งทำนองโดย ธนิต เชิญพิพัฒธนสกุล อดีตสมาชิก วงเดอะ เบลสส์ ที่มารับหน้าที่โปรดิวเซอร์ร่วม [3][4] แต่น่าสังเกตว่าเพลงนี้มีทำนองและดนตรีเหมือนกับเพลง 何の矛盾もない (Nanno Mujun Monai) ของ Tsuyoshi Nagabuchi จากอัลบั้ม License ที่ออกมาก่อนหน้านั้นหนึ่งปีแทบทุกประการ[5][6] ปี พ.ศ. 2532 อิทธิได้ออกอัลบั้มชุดที่ 2 กับทางอาร์.เอส. โดยใช้ชื่ออัลบั้มว่า ไปต่อไป โดยมีเพลง ไปต่อไป,กายช้ำ และ อย่าเอ่ยคำว่ารัก เป็นเพลงฮิตประจำคลื่นวิทยุ ปี พ.ศ. 2533 ออกอัลบั้ม อิทธิ 3 เวลา และสร้างความฮือฮาด้วยการนำเทียรี่ เมฆวัฒนา จากวงคาราบาวมาร่วมงานด้วยในเพลง กาลเวลา และเพลงเราสามคน ซึ่งเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมต่อเนื่องข้ามปี โดยมิวสิกวิดีโอเพลงนี้โด่งดังอย่างมาก เพราะได้ดาราดังในยุคนั้นมาร่วมแสดงถึง 3 คน ได้แก่ ขจรศักดิ์ รัตนนิสสัย, วินิจ เลิศรัตนชัย และ เปิ้ล ปาริกา เทพสุขดี มาร่วมแสดง ก่อนที่ เปิ้ล จะมีผลงานเพลงในนามวงมะลิลา บราซิลเลี่ยน ในอีกระยะเวลาถัดมาไม่นานนัก ปี พ.ศ. 2535 อิทธิออกอัลบั้มชุดที่ 4 ชื่อชุดว่า ป้ายแดง แม้ว่าจะห่างหายจากอัลบั้มที่แล้ว 2 ปี แต่ก็ยังได้รับความนิยมเช่นเดิม และอัลบั้มนี้มีเพลงฮิตคือฟ้า...ดอกไม้และเธอ ,อย่าทนอีกเลย ซึ่งได้ริสา หงษ์หิรัญ และอรรถชัย อนันตเมฆ มาแสดงมิวสิกวิดีโอร่วมกัน ตลอดจนเพลง เข้าใจหน่อย (โอ๊ย) ที่ได้อุดม แต้พานิชมาเล่นเป็นพระเอกมิวสิกวิดีโอ และเพลง รอยร้าว ซึ่งเป็นเพลงฮิตที่ยังได้ยินอยู่จนถึงทุกวันนี้ โดยเป็นอัลบั้มชุดสุดท้ายที่ทำการบันทึกเสียงที่ แจม สตูดิโอ เพราะทางต้นสังกัดอาร์เอสได้เปิดห้องอัดเสียงเองแล้ว ปี พ.ศ. 2536 อิทธิ พลางกูร เข้าห้องอัดเสียงอาร์เอส เพื่อออกอัลบั้ม อิทธิ 5 กำลัง D โดยมีเพลงทรมาน เป็นเพลงที่ใช้โปรโมตอัลบั้ม และทำเป็นมิวสิกวิดีโอแสดงโดย พีท ทองเจือ และ จริยา แอนโฟเน่ ปี พ.ศ. 2538 อิทธิ มีอัลบั้มรวมฮิต รวมฮิต เก็บตะวัน โดยมีการเพิ่มเพลงใหม่คือ รู้นะ..คิดอะไรอยู่ โดยได้จักรกฤษณ์ อำมรัตน์เล่นเป็นพระเอกมิวสิกวิดีโอ ปีต่อมาได้ออกอัลบั้ม อิทธิ 6 ปกขาว มีเพลงที่ได้รับความนิยมคือ ปกขาว,น้ำในตา ที่ได้ ฉัตรชัย เปล่งพานิช มาเล่นเป็นพระเอกมิวสิกวิดีโอร่วมกับ กุลสตรี ศิริพงษ์ปรีดา และ กรรชัย กำเนิดพลอย และได้ สร่างศัลย์ เรืองศรี หรือหนู มิเตอร์ มาช่วยเล่นกีตาร์ นอกจากนี้อิทธิยังทำงานเบื้องหลัง เป็นโปรดิวเซอร์ควบคุมการผลิตผลงานของศิลปินในสังกัดเดียวกันอีกหลายคน เช่น อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง, เรนโบว์ (พีระพงษ์ พลชนะ) เป็นต้น ในปี พ.ศ. 2540 อิทธิได้ออกอัลบั้มรวมฮิตชื่อว่า Heart Hits โดยเพิ่มเพลงใหม่เข้ามา 2 เพลงคือเพลง ฝันร้าย และเพลง ไม่ต้องขอบใจ ต่อมาในปีเดียวกันอิทธิได้ลาออกจากอาร์เอส มาตั้งค่ายเพลงของตัวเองชื่อ มิวสิก ออน เอิร์ธ โดยมี เอ็มจีเอ ดูแลด้านการตลาด พร้อมกับได้ออกอัลบั้มของตัวเองคู่กับเทียรี่ เมฆวัฒนา ในชื่อชุด ฮาร์ท แอนด์ โซล มีเพลงที่ได้รับความนิยม คือ ในกำมือ, ผัดฟัก... ฟักผัด, ฆ่าไม่ตาย, คนดีในชีวิต เป็นต้น และได้ออกอัลบั้มชุด อันปลั๊ก เชดส์ ออฟ เลิฟ โดยนำเพลงในอัลบั้มชุดก่อนๆ ของตนเองและเพลงสากลในอดีตเช่น Reflection Of My Life ของ Marmalade, Still In Love With You ของ Sherbet และ Angelina ของ Rosetta Stone มาขับร้องและทำดนตรีใหม่ในแนวอคูสติกซึ่งก็นับว่าประสบความสำเร็จพอควร ปีต่อมาทางค่ายได้ออกอัลบั้มรวมเพลงที่ร้องโดยศิลปินในค่ายออกมาในชื่อชุด แค่บอกลา/ใต้แสงจันทร์ โดยอิทธิ พลางกูร ร้องเพลงใหม่ 1 เพลง คือเพลง แค่บอกลา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และผลงานของศิลปินคนอื่นในค่ายที่ออกตามหลังมาก็ไม่ประสบความสำเร็จด้วยเช่นกัน ทำให้ต้องปิดค่ายไปในระยะเวลาต่อมาไม่นาน ช่วงบั้นปลายชีวิตในกลางปี พ.ศ. 2545 อิทธิ พลางกูร ปรากฏเป็นข่าวโด่งดังในสังคม เมื่อพบว่าเป็นโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่ขั้นรุนแรงแล้ว โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวมาก่อน มารู้ตัวก็ต่อเมื่อวันหนึ่งเกิดเลือดไหลจากทวารหนักอย่างรุนแรงจนเจ้าตัวหมดสติ เพื่อนข้างห้องซึ่งอยู่อพาร์ตเมนต์เดียวกันเป็นผู้นำส่งโรงพยาบาล ซึ่งอิทธิได้เผยว่า ตนเองเป็นคนชอบรับประทานน้ำอัดลมกับไอศกรีมอย่างมาก โดยเฉพาะน้ำอัดลมสามารถดื่มแทนน้ำได้เลยทีเดียว หลังจากผ่าตัดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2545 อิทธิก็มีร่างกายซูบผอมอย่างเห็นได้ชัด ต่อมาทางอาร์.เอส.โปรโมชั่น ต้นสังกัดเก่าก็ได้ให้ความช่วยเหลือกับอิทธิและครอบครัว โดยการให้อิทธิ พลางกูรออกอัลบั้มอีกชุด ในชื่อชุดว่า เวลาที่เหลือ โดยมีเพลงที่ใช้โปรโมตคือเพลงสะดวกโยธิน และ เพลง เจ็บจะตาย และทำอัลบั้มชุดพิเศษที่รวมเอานักร้อง ศิลปินในค่ายมาร้องเพลงของอิทธิขึ้นมาใหม่ ในชื่อชุด "A Tribute To อิทธิ พลางกูร" และได้จัดคอนเสิร์ตใหญ่ขึ้นมาในวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2547 ที่อินดอร์ สเตเดี้ยม หัวหมาก ซึ่งอิทธิ ได้ขึ้นแสดงและร้อง 3 เพลง คือ เพลง กาลเวลา ร่วมกับเทียรี่ เมฆวัฒนา เพลง ไม่ธรรมดา ร่วมกับอุกฤษฎ์ พลางกูร พี่ชายของอิทธิเอง และเพลงสุดท้ายคือ ยังจำไว้ ที่อิทธิร้องเดี่ยวและสะกดผู้ชมทั้งงาน พร้อมกันนี้ภรรยาพร้อมลูก ๆ ก็ได้ขึ้นเวทีแสดงด้วย โดยเพลง ยังจำไว้ ถือเป็นเพลงสุดท้ายในชีวิตที่อิทธิ พลางกูร ร้องเดี่ยวต่อหน้าผู้ชม การเสียชีวิตในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 อิทธิ พลางกูร ได้เข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาลบางโพโดยมีอาการไข้สูง และอ่อนเพลีย แพทย์พบว่าแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ได้กระจายไปตามกระแสเลือด และพิษจากแบคทีเรียทำให้การไหลเวียนของเลือดล้มเหลว จากนั้นแพทย์ได้นำอิทธิเข้าห้องไอซียู แต่อิทธิก็ยังมีไข้ต่อเนื่องมาตลอดตั้งแต่วันที่ 9-10 พฤศจิกายน จนกระทั่งวันที่ 11 พฤศจิกายน 2547 เวลา 9.00 น. ก็มีอาการทรุดหนัก หายใจไม่สะดวกจนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งแพทย์ได้ช่วยปั๊มหัวใจจนชีพจรเต้นขึ้นมาอีกครั้ง ต่อมาเวลา 14.50 น. หัวใจก็ล้มเหลวและหยุดเต้นอีกซึ่งแพทย์ได้พบว่ามะเร็งได้แพร่กระจายไปในอวัยวะทุกส่วนแล้ว รวมถึงสมองด้วย จากนั้นแพทย์ก็ได้ช่วยปั๊มหัวใจอีกและใส่เครื่องหายใจช่วย แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถช่วยชีวิตไว้ได้ โดยอิทธิได้สิ้นลมหายใจเมื่อเวลา 16.00 น.[7] งานศพของอิทธิทำการบำเพ็ญกุศลที่วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร มีพิธีพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 17 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน[8] ชีวิตส่วนตัวอิทธิ พลางกูร สมรสกับ นางชาญดา ลียะวณิช มีบุตรด้วยกันทั้งหมด 3 คน คือ ญาดา , เขมิกาวราลี และ ภริชญา พลางกูร ผลงานเพลงเดอะ เบลสส์
อัลบั้มเดี่ยว
อัลบั้มรวมเพลง
ศิลปินรับเชิญในอัลบั้ม
โปรดิวเซอร์
รางวัล
อ้างอิง
|