อี อี
อี อี (เกาหลี: 이이[1][2]; ฮันจา: 李珥; 26 ธันวาคม ค.ศ. 1536 – 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1584) นามปากกาว่า ยุลกก (Yulgok, เกาหลี: 율곡; ฮันจา: 栗谷) ซึ่งแปลว่า "หุบเขาแห่งลูกเกาลัด" เขาเป็นนักปราชญ์ลัทธิขงจื๊อใหม่ (Neo-Confucianism) คนสำคัญของเกาหลีในสมัยราชวงศ์โชซ็อน[3] ทั้งเป็นนักการเมืองที่เคารพนับถือ[4] แนวคิดและผลงานของอี อี นั้นมีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการนักปราชญ์ลัทธิขงจื๊อใหม่ รวมถึงระบบราชการและแนวคิดทางการเมืองของอาณาจักรโชซอนนับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่สิบหกเป็นต้นมา อี อี เป็นสานุศิษย์คนสำคัญคนหนึ่งของบัณฑิตโจ กวังโจ และยังเป็นนักปราชญ์ร่วมสมัยกันกับอี ฮวัง นักปราชญ์ลัทธิขงจื๊อใหม่คนสำคัญอีกท่านของราชวงศ์โชซอน ซึ่งอาวุโสกว่าอีกด้วย[5] ประวัติอี อี เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1536 ที่เมืองคังนึง จากมณฑลคังวอนแห่งอาณาจักรโชซอน บิดาของเขาเป็นเสนาบดีลำดับสี่ (จวาชันซอน; เกาหลี: 좌찬성) ส่วนมารดาของเขาคือ ชิน ซาอิมดัง (เกาหลี: 신사임당; ฮันจา: 申師任堂) ศิลปินนักวาดภาพหญิงผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง (ทั้งอี อี และมารดา ได้รับเกียรติปรากฏอยู่บนธนบัตร 5000 วอนและ 50,000 วอนในปัจจุบันอีกด้วย) เขาเป็นหลานชายของอี กี (เกาหลี: 이기; ฮันจา: 李芑) ผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีในช่วง ค.ศ. 1549-1551 กล่าวกันว่าเมื่ออายุได้ 7 ขวบ เขาก็ร่ำเรียนคัมภีร์ลัทธิขงจื๊อจนเจนจบ และผ่านการสอบเป็นข้าราชการฝ่ายบุ๋นตั้งแต่อายุเพียง 13 ปีเท่านั้น ต่อมาเมื่ออายุ 16 ปี มารดาของเขาได้ถึงแก่กรรมลง ทำให้เขาเลือกใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษ ณ ภูเขาคึมกังถึง 3 ปีเพื่อศึกษาหลักธรรมของพุทธศาสนา ต่อมาเมื่ออายุ 20 ปีจึงออกจากภูเขาและหันมาศึกษาคำสอนของลัทธิขงจื๊อ[6][7] อี อี แต่งงานเมื่ออายุ 22 ปี และได้เดินทางไปเข้าพบกับปรมาจารย์อี ฮวัง ที่โทซานในปีต่อมา ภายหลังเขาสอบรับราชการผ่านได้คะแนนสูงสุดจากการเขียนความเรียงเรื่อง "ชอนโดแช็ก" หรือ "ตำราว่าด้วยวิถีแห่งสวรรค์" (เกาหลี: 천도책; ฮันจา: 天道策) ซึ่งได้รับการยอมรับในฐานะวรรณกรรมชิ้นเอกอย่างกว้างขวาง เนื้อหาของงานเขียนชิ้นนี้นั้นว่าด้วยความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และปรัชญาลัทธิขงจื๊อในด้านการเมือง ทั้งยังแสดงถึงความรู้ความเข้าใจในปรัชญาลัทธิเต๋าของเขาเองอย่างลึกซึ้งอีกด้วย[8] อีกทั้งเขายังได้สอบผ่านได้คะแนนสูงสุดติดต่อกันถึง 9 ครั้ง และเมื่ออายุได้ 26 ปี บิดาของอี อี ได้ถึงแก่กรรมลง[4] ส่วนตัวอี อี นั้นเมื่ออายุ 29 ปี ได้รับราชการในตำแหน่งต่าง ๆ มากมาย ในปี ค.ศ. 1568 เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็น "ซอจังกวาน" หรือ "เจ้าหน้าที่ฝ่ายเอกสารของกรมพิธีการ" (เกาหลี: 서장관; ฮันจา: 書狀官) ติดตามขบวนราชทูตโชซอนไปยังจักรวรรดิจีนในสมัยราชวงศ์หมิงอีกด้วย ส่วนเมื่ออายุได้ 34 อี อี ได้มีส่วนในการเขียนบันทึกจดหมายเหตุรายวันของราชสำนักในรัชสมัยพระเจ้ามยองจงแห่งโชซอน โดยเขียนในส่วนของทงโฮมุนดัพ ซึ่งเป็นบันทึก 11 ความเรียงเกี่ยวกับนโยบายทางการเมืองการปกครองที่เขาได้เสนอไว้ว่าการปกครองที่ทรงธรรมนั้นควรเป็นอย่างไร[9] ด้วยเหตุที่รับราชการในตำแหน่งต่าง ๆ มาอย่างยาวนาน ทำให้อี อี เป็นไว้วางพระทัยของพระราชาเป็นอย่างมาก เขาเป็นหนึ่งในขุนนางคนสำคัญคนหนึ่งในฝ่ายการเมืองของราชสำนัก ต่อมาเมื่ออายุได้ 40 ปี เขาได้ทูลถวายงานเขียนและฎีกามากมายต่อราชสำนัก แต่กลับล้มเหลวเมื่อเกิดความขัดแย้งของการเมืองในราชสำนักขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1576 ความพยายามปฏิรูปการเมืองของเขาจึงหมดความหมายลงและทำให้เขาเดินทางกลับบ้านเกิดไป โดยระหว่างที่พำนักที่บ้านเกิดนั่นเอง เขาได้ใช้เวลาไปกับการสั่งสอนเหล่าสานุศิษย์และได้เขียนตำรับตำราออกมามากมาย[4] ภายหลังเมื่อกลับมารับราชการอีกครั้งตอนอายุ 45 ปี อี อี ได้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีและเจ้ากรมหลายตำแหน่ง ระหว่างนี้เขาก็ได้เขียนงานเขียนมากมายที่บันทึกถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่โหดร้ายรุนแรงในช่วงเวลานั้นด้วยจุดประสงค์ที่จะยับยั้งมันให้เบาบางลงได้บ้าง อย่างไรก็ดีในรัชสมัยของพระเจ้าซอนโจนั้น พระองค์ไม่ค่อยใส่ใจและบอกปัดแนวคิดของอี อี อยู่บ่อยครั้ง ทำให้อี อี ลำบากใจมากขึ้นในการพยายามจะเป็นกลางทางการเมืองในราชสำนักต่อไป เขาจึงได้ทูลลาออกจากราชการในปี ค.ศ. 1538 และปีต่อมาก็ถึงแก่กรรมลง[4] มีเรื่องเล่ากันว่า ตอนยังมีชีวิตอยู่นั้น อี อี ได้สร้างกระโจมไฟเตือนภัยไว้ที่ริมแม่น้ำอิมจิน (Imjin River) และสั่งให้ลูกหลานของเขาจุดไฟสัญญาณเพื่อเอาไว้เตือนพระราชาหากต้องทรงลี้ภัยไปยังทางเหนือจากกรุงฮันยาง (โซล) เพื่อให้ทรงเตรียมไปหลบในป้อมปราการ ภายหลังกระโจมไฟดังกล่าวได้ถูกยึดครองในช่วงสงครามอิมจิน (การบุกครองเกาหลีของญี่ปุ่น (พ.ศ. 2135–2141))[10] คำสอนอี อี ไม่ได้เป็นเพียงนักปรัชญาเท่านั้น แต่ยังเป็นนักปฏิรูปการเมืองอีกด้วย ในทางปรัชญาแล้ว เขาไม่ได้เห็นด้วยเสียทั้งหมดกับแนวคิดทวินิยมของลัทธิขงจื๊อใหม่ (dualistic Neo-Confucianism) ที่อี ฮวังสมาทาน สำนักเรียนลัทธิขงจื๊อของเขาเน้นคำสอนที่มีลักษณะเป็นรูปธรรมมากกว่าคำสอนเรื่องจิตภายใน วิธีการทางปรัชญาของเขาจึงมีลักษณะที่เป็นไปในทางเน้นการปฏิบัติโดยให้ความสำคัญกับประสบการณ์ภายนอก (มิใช่ภายในจิต) มากกว่า[11] ในขณะที่อี ฮวังนั้นท้อใจอยู่หลายครั้งหลายครากับการเมืองภายในราชสำนัก อี อี กลับเป็นขุนนางที่มุ่งมั่นในทางการเมือง เขาเชื่อว่าการเมืองและการทำงานในระบบราชการคือส่วนสำคัญในค่านิยมแบบขงจื๊อ อี อี เน้นย้ำว่า การเรียนรู้เพื่อจะเป็นปราชญ์และการอบรมบ่มเพาะตนคือรากฐานของระบบการปกครองที่เหมาะสมยิ่ง[6][7] อี อี ยังมีชื่อเสียงในด้านความสุขุมรอบคอบในด้านความมั่นคงของอาณาจักรอีกด้วย เขาเคยนำเสนอร่างนโยบายที่ให้เตรียมกองทัพไว้ป้องกันการรุกรานจากญี่ปุ่นซึ่งเขาเชื่อว่าจะมาบุกโจมตีเมื่อไหร่ก็ได้ ข้อเสนอของเขาถูกที่ประชุมเสนาบดีปฏิเสธไป และภายหลังข้อกังวลของเขาในเรื่องนี้ก็ได้รับการยืนยันเพียงไม่นานหลังจากเขาเสียชีวิตไปแล้ว ในรูปของ การบุกครองเกาหลีของญี่ปุ่น (พ.ศ. 2135–2141) นั่นเอง[7] ผลงานงานเขียนของอี อี มีอยู่ถึง 193 ชิ้น และได้รับการตีพิมพ์ถึง 276 ครั้งใน 6 ภาษา และมีหอสมุดถึง 2,236 แห่งที่มีผลงานเหล่านี้ ต่อไปนี้คือรายชื่อผลงานอย่างคร่าว ๆ ของเขา[12]
สิ่งสืบทอดYulgongno ถนนใจกลางโซล ตั้งชื่อตามเขา[18] และมีการใส่ภาพของเขาในธนบัตร 5,000 วอน[19] อ้างอิง
บรรณานุกรม
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ อี อี วิกิซอร์ซ มีงานต้นฉบับเกี่ยวกับ:
|