อเล็กซานเดอร์ คาลเดอร์
อเล็กซานเดอร์ คาลเดอร์ หรือ แซนดี้ คาลเดอร์ (อังกฤษ: Alexander Calder หรือ Sandy Calder) (22 กรกฎาคม ค.ศ. 1898 - 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1976) เป็นประติมากรของขบวนการลัทธิเหนือจริงคนสำคัญของสหรัฐอเมริกาของคริสต์ศตวรรษที่ 20 คาลเดอร์มีชื่อเสียงจากการเป็นผู้ริเริ่มการสร้าง “ประติมากรรมจลดุล”[1][2] (mobile sculpture) นอกจากประติมากรรมจลดุลแล้วคาลเดอร์ก็ยังสร้างงานที่เป็น “ประติมากรรมศักยดุล”[3] หรือ “ประติมากรรมสถิต”[4] (stabile), จิตรกรรม, ภาพพิมพ์หิน, ของเล่น, พรมทอแขวนผนัง และ เครื่องประดับด้วย วัยเด็กคาลเดอร์ผู้เกิดที่ลอว์ตันในรัฐเพนซิลเวเนียในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่22 กรกฎาคม ค.ศ. 1898 มาจากครอบครัวที่เป็นศิลปิน อเล็กซานเดอร์ สเตอร์ลิง คาลเดอร์ บิดาของคาลเดอร์เป็นประติมากรผู้มีชื่อเสียงผู้สร้างงานประติมากรรมสำหรับติดตั้งในที่สาธารณะหลายชิ้นส่วนใหญ่ในฟิลาเดลเฟีย ส่วนปู่ประติมากร อเล็กซานเดอร์ มิลน์ คาลเดอร์ เกิดที่สกอตแลนด์และอพยพมาฟิลาเดลเฟียในปี ค.ศ. 1868 งานที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดเป็นประติมากรรมขนาดใหญ่ของวิลเลียม เพนน์บนหอตึกเทศบาลเมืองฟิลาเดลเฟีย นาเนตต์ เลเดอเรอร์ คาลเดอร์มารดาของคาลเดอร์เป็นจิตรกรภาพเหมือนอาชีพผู้ได้รับการศึกษาจากสถาบันฌูเลียนและซอร์บอร์นในกรุงปารีสราวระหว่างปี ค.ศ. 1888 ถึงปี ค.ศ. 1893 ต่อมานาเนตต์ย้ายไปอยู่ที่ฟิลาเดลเฟียเมื่อไปพบกับอเล็กซานเดอร์ สเตอร์ลิง คาลเดอร์ขณะที่กำลังศึกษาอยู่ที่สถาบันวิจิตรศิลป์แห่งฟิลาเดลเฟีย[5] บิดามารดาของคาลเดอร์สมรสกันเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1895 พี่สาวคนโตมาร์กาเร็ต หรือ เพ็กกี้ คาลเดอร์เกิดในปี ค.ศ. 1896 ต่อมาเมื่อสมรสก็เปลี่ยนชื่อเป็น มาร์กาเร็ต คาลเดอร์ เฮย์ส และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ศิลปะมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเบิร์กลีย์[6] ในปี ค.ศ. 1902 เมื่ออายุได้สี่ปีคาลเดอร์ก็เป็นแบบเปลือยให้กับประติมากรรม “The Man Cub” ที่สร้างโดยบิดาที่ในปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน ในปีเดียวกันคาลเดอร์ก็สร้างงานหนึ่งในงานชิ้นแรกๆ เสร็จเป็นช้างที่ทำด้วยดินเหนียว[7] สามปีต่อมาเมื่อคาลเดอร์อายุได้เจ็ดปีและเมื่อพี่สาวอายุได้เก้าปี สเตอร์ลิง คาลเดอร์ก็ล้มป่วยด้วยวัณโรค บิดามารดาจึงไปรักษาตัวอยู่ที่ฟาร์มปศุสัตว์ที่ออราเคิลในแอริโซนาทิ้งลูกๆ ไว้ให้อยู่ในความดูแลของเพื่อนของครอบครัวอยู่ปีหนึ่ง[8] ครอบครัวกลับมาพบกันอีกครั้งในเดือนมีนาคมปี ค.ศ. 1906 และพักอยู่ที่ฟาร์มในแอริโซนาจนถึงฤดูใบไม้ร่วงปีเดียวกัน[9] จากแอริโซนาครอบครัวคาลเดอร์ย้ายไปอยู่ที่แพซาดีนาในรัฐแคลิฟอร์เนีย ห้องใต้หลังคาของบ้านกลายเป็นห้องทำงานประติมากรรมห้องแรกของคาลเดอร์ เมื่อได้รับเครื่องมือชุดแรก คาลเดอร์ใช้เศษลวดทองแดงที่พบตามถนนและลูกปัดจากตุ๊กตาของพี่สาวในการทำเครื่องประดับ เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1907 มารดาก็นำคาลเดอร์ไปชมเทศกาลพาเหรดดอกไม้ประจำปีแห่งแพซาดีนา (Tournament of Roses Parade) ที่คาลเดอร์ได้ดูการแข่งรถม้าสี่ตัว เหตุการณ์ดังว่าต่อมากลายมาเป็นผลงานละครสัตว์ของคาลเดอร์[10] ในปี ค.ศ. 1909 เมื่อเรียนอยู่ชั้นสี่คาลเดอร์ก็สลักรูปสุนัขและเป็ดจากแผ่นทองเหลืองเป็นของขวัญวันคริสต์มัสสำหรับบิดามารดา ประติมากรรมที่ทำเป็นสามมิติและเป็นจลนศิลป์ที่เคลื่อนไหวได้ เพราะจะเคลื่อนไหวเมื่อแตะเบาๆ งานประติมากรรมเหล่านี้มักจะได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นตัวอย่างผลงานสมัยแรกที่แสดงถึงแนวความสามารถของคาลเดอร์[11] ในปี ค.ศ. 1910 เมื่อการพักฟื้นของสเตอร์ลิง คาลเดอร์สิ้นสุดลง ครอบครัวก็ย้ายกลับไปฟิลาเดลเฟีย เมื่อคาลเดอร์ไปเข้าศึกษาอยู่ที่สถาบันเจอร์มันทาวน์อยู่ระยะหนึ่งและต่อมาโครทัน-ออน-ฮันสันในรัฐนิวยอร์ก[12] ในโครทันระหว่างที่ศึกษาในขั้นมัธยมคาลเดอร์ได้มีโอกาสทำความรู้จักกับจิตรกร เอเวอเรตต์ ชินน์ ที่คาลเดอร์สร้างระบบที่ใช้พลังแรงดึงดูดสำหรับรถไฟกล ที่คาลเดอร์บรรยายว่า:
หลังจากโครทันครอบครัวคาลเดอร์ก็ย้ายไปสปุยเทนเดวิลในบร็องซ์ เพื่อให้ไปอยู่ใกล้กับห้องทำงานที่ถนนสายสิบที่สเตอร์ลิง คาลเดอร์เช่าไว้ทำงาน ขณะที่พำนักอยู่ที่สปุยเทนเดวิลคาลเดอร์ก็เข้าศึกษาที่โรงเรียนมัธยมยองเคอร์ ในปี ค.ศ. 1912 สเตอร์ลิง คาลเดอร์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าผู้ทำการแทนของแผนกประติมากรรมของการแสดงนิทรรศการนานาชาติปานามาแปซิฟิกในซานฟรานซิสโก[14] คาลเดอร์เริ่มแสดงงานประติมากรรมในนิทรรศการที่จัดขึ้นในปี ค.ศ. 1915 ระหว่างที่ศึกษาอยู่ในระดับไฮสกูลระหว่างปี ค.ศ. 1912 ถึงปี ค.ศ. 1915 ครอบครัวคาลเดอร์ก็ย้ายไปมาระหว่างนิวยอร์กกับแคลิฟอร์เนีย ในบ้านที่อยู่ใหม่แต่ละที่บิดามารดาก็จะยกห้องใต้หลังคาไว้ให้เป็นห้องทำงานของคาลเดอร์ ในตอนปลายของสมัยเด็กคาลเดอร์พักอยู่กับเพื่อนในแคลิฟอร์เนียขณะที่บิดามารดาย้ายกลับไปนิวยอร์ก เพื่อจะได้เรียนจบได้ที่โรงเรียนมัธยมโลเวลล์ในซานฟรานซิสโก คาลเดอร์จบการศึกษาในปี ค.ศ. 1915 สมัยแรกแม้ว่าบิดามารดาจะสนับสนุนคาลเดอร์ให้เป็นผู้มีความสร้างสรรมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ไม่สนับสนุนให้ลูกเป็นศิลปินเพราะเป็นอาชีพที่ลำบากในการทำมาหากิน ในปี ค.ศ. 1915 คาลเดอร์ตัดสินใจเข้าเรียนสาขาวิศวกรรมเครื่องกลหลังจากได้ศึกษาเกี่ยวกับพื้นฐานจากเพื่อนร่วมชั้นชื่อไฮด์ หลุยส์ที่โรงเรียนมัธยมโลเวลล์ สเตอร์ลิง คาลเดอร์จัดให้คาลเดอร์เข้าศึกษาที่สถาบันเทคโนโลยีสตีเฟนส์ที่โฮโบเคนในนิวเจอร์ซีย์ คาลเดอร์เข้าเล่นในทีมฟุตบอลในปีแรกที่เป็นนักศึกษาและทำการฝึกกับทีมไปจนตลอดสี่ปี แต่ไม่ได้ลงเล่นแข่งขัน นอกจากฟุตบอลแล้วคาลเดอร์ก็ยังเล่นลาครอสที่ดูจะมีความสำเร็จมากกว่า และเป็นสมาชิกของสมาคมภราดรภาพเดลทา เทา เดลทา คาลเดอร์มีความสามารถในวิชาคณิตศาสตร์ ในฤูดูร้อนของปี ค.ศ. 1916 คาลเดอร์ใช้เวลาห้าอาทิตย์ในการฝึกที่ศูนย์ฝึกทหารสำหรับพลเรือนแพลทส์เบิร์ก ในปี ค.ศ. 1917 คาลเดอร์ก็เข้าอยู่ในกองทหารเรือในสังกัดกองทหารฝึกสำหรับนักศึกษา (Student’s Army Training Corps) ที่สถาบันเทคโนโลยีสตีเฟนส์และได้รับแต่งตั้งให้เป็น “guide of the battalion” ซึ่งทำให้คาลเดอร์กล่าวว่าทำให้:
คาลเดอร์ได้รับปริญญาจากสถาบันเทคโนโลยีสตีเฟนส์ในปี ค.ศ. 1919 ในช่วงเวลาสองสามปีต่อมาคาลเดอร์ก็ทำงานเกี่ยวกับการวิศวกรรมอยู่หลายหน้าที่ที่รวมทั้งเป็นวิศวกรไฮดรอลิคส์และคนเขียนแบบสำหรับบริษัทนิวยอร์กเอดิสัน แต่คาลเดอร์ก็ไม่พอใจกับหน้าที่ใดที่ทำ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1922 คาลเดอร์ทำงานเป็นพนักงานดับเพลิงในห้องเครื่องของเรือขนส่งผู้โดยสาร “เอช. เอฟ. อเล็กซานเดอร์” ขณะที่เรือแล่นออกจากซานฟรานซิสโกไปยังนครนิวยอร์ก คาลเดอร์ได้มีโอกาสทำงานบนดาดฟ้าเรือตามริมฝั่งกัวเตมาลาและได้มีโอกาสได้เป็นทั้งพระอาทิตย์ขึ้นทางหนึ่งและพระจันทร์ตกอีกซีกหนึ่งของฟากฟ้าตรงข้ามที่คาลเดอร์บรรยายไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติว่า:
เมื่อ “เอช. เอฟ. อเล็กซานเดอร์” จอดที่ท่าซานฟรานซิสโกคาลเดอร์ก็จะเดินทางขึ้นไปอเบอร์ดีนที่รัฐวอชิงตันไปเยึ่ยมพี่สาวกับพี่เขยเค็นเนธ เฮย์ส คาลเดอร์สมัครงานเป็นผู้คุมเวลาที่ค่ายโค่นไม้ ภูมิทัศน์ป่าเขาเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คาลเดอร์เขียนจดหมายไปถึงบ้านไปขอสีและแปรง ไม่นานหลังจากนั้นคาลเดอร์ก็ตัดสินใจย้ายกลับไปนิวยอร์กเพื่อไปพยายามสร้างตัวเป็นศิลปิน อาชีพศิลปินเมื่อทำการตัดสินใจเป็นศิลปินแล้วคาลเดอร์ก็ย้ายกลับไปนิวยอร์กและไปสมัครเป็นนักศึกษาที่สหพันธ์นักศึกษาศิลปะแห่งนิวยอร์ก ขณะที่เป็นนักศึกษาคาลเดอร์ก็ทำงานให้กับ “National Police Gazette” ที่งานชิ้นหนึ่งที่ได้รับมอบหมายให้ทำในปี ค.ศ. 1925 คือร่างภาพคณะละครสัตว์ริงลิงบราเธอร์สและบาร์นัมและเบลีย์ คาลเดอร์มีความรู้สึกดึงดูดกับละครสัตว์ซึ่งเป็นหัวข้อที่มาปรากฏในงานหลายชิ้นที่มาสร้างต่อมา ในปี ค.ศ. 1926 คาลเดอร์ย้ายไปปารีสไปเปิดห้องศิลป์ที่มงต์ปาร์นาส ด้วยการคำแนะนำของพ่อค้าของเล่นชาวเซอร์เบียคาลเดอร์ก็สร้างของเล่นแบบที่เคลื่อนไหวได้ แม้ว่าจะไม่ได้พบกับพ่อค้าผู้นั้นอีกแต่คาลเดอร์ก็ส่งงานของเล่นไปแสดงที่ Salon des Humoristes ตามคำยุยงของเพื่อนประติมากรโฮเซ เดอ ครีฟท์ ต่อมาในฤดูใบไม้ผลิปีเดียวกันคาลเดอร์ก็เริ่มสร้าง “Cirque Calder” ซึ่งเป็นงานละครสัตว์ย่อส่วนที่ทำจากลวด, เส้นด้าย, ยาง, ผ้า และ สิ่งของที่หาได้ คาลเดอร์ออกแบบให้ใส่กระเป๋าเดินทางได้ (ในที่สุดก็มีด้วยกันห้าใบ) ละครสัตว์ของคาลเดอร์จึงเป็นงานเคลื่อนที่ และทำให้คาลเดอร์สามารถใช้ในการแสดงได้ทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป คาลเดอร์ให้การแสดงสดที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน (Improvisation) ที่ใช้บรรยากาศของการแสดงละครสัตว์จริงอย่างเต็มที่ ในที่สุดงาน “Cirque Calder”[1] เก็บถาวร 2007-07-10 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน[2] เก็บถาวร 2008-09-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (มักจะแสดงที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะอเมริกันวิทนีย์) ก็กลายเป็นงานที่เป็นที่นิยมกันในหมู่ชาวปารีสกลุ่มอาวองการ์ด จนคาลเดอร์สามารถหารายได้จากการขายตั๋วเพื่อช่วยจ่ายค่าเช่าบ้านได้[3] เก็บถาวร 2008-11-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน[4] ในปี ค.ศ. 1927 คาลเดอร์ย้ายกลับไปยังสหรัฐอเมริกา ไปออกแบบของเล่นที่ทำด้วยไม้แบบผลักหรือดึงที่เคลื่อนไหวได้สำหรับเด็กที่ได้รับการผลิตระดับอุตสาหกรรมโดยบริษัทผลิตภัณฑ์กูลด์ที่วิสคอนซิน ในปี ค.ศ. 1928 คาลเดอร์ก็จัดงานแสดงศิลปะของตนเองที่หอแสดงภาพในนครนิวยอร์ก และในปี ค.ศ. 1934 คาลเดอร์ก็มีงานแสดงโดยลำพังตนเองในพิพิธภัณฑ์เป็นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาที่สมาคมเรอเนสซองซ์ของมหาวิทยาลัยชิคาโก ในปี ค.ศ. 1929 คาลเดอร์ก็มีงานแสดงประติมากรรมลวดโดยลำพังของตนเองในปารีสที่ห้องแสดงภาพบิลลิเอต์ จิตรกร ฌูลส์ ปาส์แซง เพื่อนของคาลเดอร์จากคาเฟส์ มงต์ปาร์นาส เป็นผู้เขียนบทนำให้ ในเดือนมิถุนายนปี ค.ศ. 1929 ขณะที่เดินทางจากปารีสไปยังนิวยอร์ก คาลเดอร์ก็พบลุยซา เจมส์เหลนของนักประพันธ์อเมริกัน เฮนรี เจมส์ และนักปรัชญา วิลเลียม เจมส์ ทั้งสองสมรสกันในปี ค.ศ. 1931 ขณะที่พำนักอยู่ในปารีสคาลเดอร์ก็พบและเป็นเพื่อนกับจิตรกรอาวองการ์ดหลายคนที่รวมทั้งโคอัน มีโร, ฌอง อาร์พ และ มาร์เซล ดูชองป์ เมื่อไปเยี่ยมห้องศิลป์ของปิเอต์ มงดริอองในปี ค.ศ. 1930 มงดริอองก็สร้างความ “ประหลาดใจ” ในคาลเดอร์หันมารับศิลปะนามธรรม “Cirque Calder” เป็นงานที่ทำให้เห็นถึงความสนใจของคาลเดอร์ในทั้งประติมากรรมลวด และ จลนศิลป์[16] และยังคงใช้ความรู้ทางวิศวกรรมในการสร้างดุลยภาพของประติมากรรมและใช้ในการพัฒนาประติมากรรมที่ที่ดูชองป์เรียกว่า “ประติมากรรมจลดุล” หรือ “Mobile” ซึ่งเป็นคำพ้องในภาษาฝรั่งเศสว่า “Mobile” และ “Motive” คาลเดอร์ออกแบบตัวละครในละครสัตว์ที่ห้อยลงมาด้วยเส้นด้าย แต่การผสมระหว่างสิ่งที่คาลเดอร์ทดลองเพื่อที่จะพัฒนาขึ้นมาเป็นประติมากรรมนามธรรมแท้ๆ เกิดขึ้นหลังจากเมื่อคาลเดอร์ไปเยี่ยม ปิเอต์ มงดริออง เมื่อคาลเดอร์เริ่มสร้างงาน “จลนศิลป์” ขึ้นเป็นชิ้นแรกโดยใช้เครื่องไขและระบบการดึงด้วยรอก เมื่อมาถึงปลายปี ค.ศ. 1931 คาลเดอร์ก็หันไปทำงานประติมากรรมที่อ่อนช้อยขึ้นที่มาจากการเคลื่อนไหวของอากาศภายในห้อง จากงานนี้ก็เป็นกำเนิดของ “ประติมากรรมจลดุล” ของคาลเดอร์ที่แท้จริง ในขณะเดียวกันคาลเดอร์ทำการทดลองการสร้าง “ประติมากรรมสถิตเชิงนามธรรม” ที่รับน้ำหนักตัวเองได้ที่ฮันส์ อาร์พเรียกว่า “ประติมากรรมศักยดุล” (stabile) เพื่อแยกจาก “ประติมากรรมจลดุล” คาลเดอร์และลุยซาย้ายกลับสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1933 เพื่อมาตั้งหลักแหล่งมีครอบครัวในฟาร์มเฮาส์ที่ซื้อไว้ที่ร็อกซเบอร์รี, คอนเนตทิคัต (บุตรีคนแรกแซนดราเกิดในปี ค.ศ. 1935 และลูกสามคนที่สองแมรีในปี ค.ศ. 1939) คาลเดอร์ยังคงทำการแสดง “Cirque Calder” และเริ่มทำงานร่วมกับมาร์ธา แกรมในการออกแบบฉากบัลเลต์และสร้างเวทีเคลื่อนที่สำหรับการแสดง “Socrate” โดยเอริค ซาตีในปี ค.ศ. 1936. งานประติมากรรมสำหรับสาธารณชนชิ้นแรกที่ได้จ้างให้ทำเป็งานประติมากรรมจลดุลคู่ที่ออกแบบสำหรับโรงละครที่เปิดในปี ค.ศ. 1937 ที่พิพิธภัณฑ์เบิร์คเชอร์ที่พิทท์สฟิลด์, แมสซาชูเซตส์ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง คาลเดอร์พยายามอาสาสมัครเป็นทหารเรือแต่ถูกปฏิเสธ คาลเดอร์จึงทำงานประติมากรรมต่อ แต่ความที่โลหะเป็นสิ่งที่ขาดแคลนระหว่างสงครามคาลเดอร์จึงหันไปสร้างงานที่ทำงานแกะไม้แทนที่ งานแสดงศิลปะย้อนหลังครั้งแรกของคาลเดอร์จัดขึ้นในปี ค.ศ. 1938 ที่ห้องแสดงภาพจอร์จ วอลเตอร์ วินเซนต์ สมิธที่สปริงฟิลด์, แมสซาชูเซตส์ ในปี ค.ศ. 1943 พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่เป็นเจ้าภาพจัดงานแสดงศิลปะย้อนหลังครั้งแรกของคาลเดอร์โดยการจัดการโดยเจมส์ จอห์นสัน สวีนีย์ และ มาร์เซล ดูชองป์ คาลเดอร์เป็นหนึ่งในบรรดาประติมากร 250 คนที่แสดงงานในนิทรรศการประติมากรรมสากลครั้งที่ 3 ที่จัดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งฟิลาเดลเฟียในฤดูร้อนของปี ค.ศ. 1949 งาน “ประติมากรรมจลดุลสากล” (International Mobile) กลายเป็นงานชิ้นเอกของงานและมาแขวนอีกในปี ค.ศ. 2007 ที่ที่แขวนไว้แต่เดิมในปี ค.ศ. 1949.
ในปี ค.ศ. 1962 คาลเดอร์ก็ย้ายมาทำงานที่ห้องศิลป์ใหม่ที่คาร์รัวออกแบบงานเชิงอนาคตที่มองลงไปยังหุบเขาของเชฟรีเยร์ในแองดร์-เอต์-ลัวร์ในฝรั่งเศส ระหว่างที่ทำคาลเดอร์ก็ไม่ลังเลที่แจกงานจลดุลให้เพื่อน และถึงกับอุทิศ “ประติมากรรมศักยดุล” ให้แก่เมืองที่ตั้งอยู่หน้าวัดซึ่งเป็นประติมากรรมที่เป็นอิสระจากแรงดึงดูด คาลเดอร์สร้างประติมากรรมศักยดุลและประติมากรรมจลดุลส่วนใหญ่ในโรงงานบีมองต์ตูร์ในฝรั่งเศส รวมทั้ง “L'Homme” ที่ทำด้วยเหล็กกล้าไร้สนิมสูง 24 เมตรที่บริษัทนิคเคิลอินเตอร์แนชันนัล (Inco) ของแคนาดาจ้างให้ทำสำหรับงานนิทรรศการสากลแห่งมอนทรีออลในปี ค.ศ. 1967 งานขั้นสุดท้ายสร้างจากหุ่น จำลองที่สร้างโดยคาลเดอร์โดยแผนกค้นคว้าทดลองที่ออกแบบให้ได้ตามสัดส่วน โดยมีคาลเดอร์เป็นผู้ควบคุมดูแลกระบวนการหล่อทั้งหมด และถ้าจำเป็นคาลเดอร์ก็จะแก้งานไปด้วย ประติมากรรมศักยดุลทั้งหมดสร้างด้วยเหล็กกล้าคาร์บอนและทาสีส่วนใหญ่เป็นสีดำนอกจากตรงที่เป็นตัวแบบที่เป็นเหล็กกล้าไร้สนิมบริสุทธิ์ จลดุลทำด้วยอะลูมิเนียมและทำด้วยดิวราลูมิน ในปี ค.ศ. 1966 คาลเดอร์ตีพิมพ์งาน “อัตชีวประวัติด้วยภาพ” (Autobiography with Pictures) โดยความช่วยเหลือของลูกเขย จีน เดวิดสัน ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1969 คาลเดอร์เข้าร่วมในพิธีการอุทิศงานประติมากรรมศักยดุล “La Grande Vitesse” ที่ตั้งอยู่ที่แกรนด์ แรปิดส์, มิชิแกน ประติมากรรมชิ้นนี้ได้ชื่อว่าเป็นประติมากรรมสำหรับสาธารณชนชิ้นแรกในสหรัฐอเมริกาที่สร้างโดยเงินทุนของรัฐบาลกลาง จากองค์การกองทุนเพื่อศิลปะแห่งชาติ (National Endowment for the Arts) ซึ่งเป็นองค์การของรัฐบาลกลางที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ภายใต้โครงการ “ศิลปะเพื่อสถานที่สาธารณะ” คาลเดอร์สร้างงานประติมากรรมชื่อ “WTC Stabile” หรือที่เรียกว่า “ใบพัดบิด” (“Bent Propeller”) ในปี ค.ศ. 1971 เพื่อติดตั้งหน้าทางเข้าของหอเหนือของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ เมื่อแบตเตอรีพาร์คซิตี้เปิดขึ้นประติมากรรมชิ้นนี้ก็ถูกย้ายไปติดตั้งระหว่างถนนเวซีย์และเชิร์ช[17] ประติมากรรมถูกทำลายพร้อมกับเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน ค.ศ. 2001[18] ในปี ค.ศ. 1973 คาลเดอร์ได้รับจ้างให้เขียนดีซี-8-62ทั้งลำเป็น “ผ้าใบบินได้” สำหรับสายการบินแบรนนิฟอินเตอร์แนชันนัล ในปี ค.ศ. 1975 คาลเดอร์ก็เขียนลำที่สองเสร็จครั้งนี้เป็นเครื่องโบอิง 727-227สำหรับโอกาสวาระครบรอบสองร้อยปีของสหรัฐอเมริกา (United States Bicentennial) ในปี ค.ศ. 1975 คาลเดอร์ได้รับงานจ้างจากบีเอ็มดับเบิลยูให้เขียนBMW 3.0 CSLที่กลายมาเป็นยานยนตร์คันแรกในโครงการ “รถศิลปะบีเอ็มดับเบิลยู” (BMW Art Car) คาลเดอร์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1976 ไม่นานหลังจากการเปิดแสดงนิทรรศการผลงานย้อนหลังที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะอเมริกันวิทนีย์ ขณะที่ยังทำโครงการทาสีเรือบินลำที่สามชื่อ “Tribute to Mexico” อนุสรณ์สองเดือนหลังจากการเสียชีวิต คาลเดอร์ก็ได้รับเครื่องรัฐอิสริยาภรณ์เหรียญแห่งอิสรภาพของประธานาธิบดีซึ่งเป็นงรัฐอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดสำหรับพลเรือนที่มอบโดยประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาผู้ในขณะนั้นคือเจอรัลด์ ฟอร์ด แต่ผู้แทนของครอบครัวคาลเดอร์ประท้วงพิธีการรับเมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 1977 เพื่อ “ประกาศความจำนงในการสนับสนุนการยกโทษให้แก่ผู้หนีทหารในสงครามเวียดนาม”[19] ในปี ค.ศ. 1987 ครอบครัวคาลเดอร์ก็ได้ก่อตั้งมูลนิธิคาลเดอร์ขึ้น ที่ไม่แต่เพียงเป็นองค์การตัวแทนอย่างเป็นทางการของคาลเดอร์ แต่ยังเป็นองค์การในการ “บริหารโครงการ, ร่วมมือจัดงานแสดง และตีพิมพ์งาน[ของคาลเดอร์] และให้คำแนะนำในเรื่องต่างๆ เช่นประวัติ, การรวบรวมงาน และ การบูรณปฏิสังขรณ์งานของคาลเดอร์” ด้วย[20] ผู้แทนเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ของคาลเดอร์ในสหรัฐอเมริกาสำหรับมูลนิธิคาลเดอร์คือสมาคมสิทธิของศิลปิน (Artists Rights Society)[21] ในปี ค.ศ. 2003 เป็นเวลาเกือบ 30 หลังจากการเสียชีวิตของคาลเดอร์ งานไม่มีชื่อของคาลเดอร์ขายได้ในราคา 5.2 ล้านเหรียญสหรัฐโดยคริสตีส์[22] ระเบียงภาพ
งานบางชิ้น
อ้างอิง
บรรณานุกรม
ดูเพิ่มแหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ อเล็กซานเดอร์ คาลเดอร์
|