เชฟกระทะเหล็ก ประเทศไทย
เชฟกระทะเหล็ก ประเทศไทย (อังกฤษ: Iron Chef Thailand) เป็นรายการเกมโชว์แข่งขันการทำอาหาร โดย บริษัท เฮลิโคเนีย เอช กรุ๊ป จำกัด ซื้อลิขสิทธิ์รายการ ยุทธการกระทะเหล็ก (อังกฤษ: Iron Chef ญี่ปุ่น: 料理の鉄人) จากบริษัท ฟูจิ ครีเอทีฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ของประเทศญี่ปุ่น มาผลิตในรูปแบบของประเทศไทย เริ่มอากาศครั้งแรกเมื่อวันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555 ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ต่อมามีการต่อยอดรายการมาเป็นรายการเรียลลิตีเต็มรูปแบบ โดยการนำเชฟมืออาชีพมาแข่งขันกันเพื่อค้นหาเชฟกระทะเหล็กคนใหม่ โดยใช้ชื่อว่า ศึกค้นหาเชฟกระทะเหล็ก (อังกฤษ: The Next Iron Chef) ในปี พ.ศ. 2565 ได้มีการปรับรูปแบบการแข่งขันเป็นรูปแบบ One-On-One Battle โดยในการแข่งขันรอบปกติจะมีการตัดเชฟผู้ช่วยออกทุก ๆ 20 นาที จำนวน 2 ครั้ง และในรอบ One-On-One Battle จะเหลือเพียงเชฟผู้ท้าชิงและเชฟกระทะเหล็กที่ต้องทำอาหารแข่งขันกันแบบตัวต่อตัวตามชื่อการแข่งขัน พิธีกรรายการเชฟกระทะเหล็ก ประเทศไทย ได้มีการปรับเปลี่ยนพิธีกรดังนี้
ระยะเวลาในการออกอากาศ
ในช่วงปี พ.ศ. 2564 เนื่องจากสถานการณ์การระบาดทั่วของโควิด-19 ในประเทศไทย ทางรายการจึงมีการยุติการออกอากาศชั่วคราว โดยออกอากาศเทปสุดท้ายเมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2564 และตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 ทางรายการได้นำตอนที่ออกอากาศในปี พ.ศ. 2564 นำมารีรันใหม่ในเวลาเดียวกัน (อาจมีของปี พ.ศ. 2563 มาออกอากาศบ้าง) และเริ่มออกอากาศตอนใหม่ตามปกติตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 รูปแบบของรายการอดีตรูปแบบที่ 1ใช้ในวันที่ 25 มกราคม – 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ช่วงประลองยุทธ์3 ผู้เข้าแข่งขันที่ได้รับการคัดเลือกจากประธานสรรหาทั้ง 3 ท่าน จะต้องทำการประลองยุทธ์กับทีม เชฟกระทะแหลก (ดารารับเชิญ 6 ท่าน) ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนมาเป็นแสดงภาพผู้เข้าแข่งขันทั้ง 3 ท่าน เวลาแข่งขัน โดยตัดภาพทีม เชฟกระทะแหลก ออกไป เนื่องจากมีผู้ชมจำนวนมากไม่พอใจเกี่ยวกับท่าทางในการทำอาหารด้าน เชฟกระทะแหลก ผู้เข้าแข่งขันจะได้รับวัตถุดิบหลักในการทำอาหารคนละ 1 อย่างตามจำนวนที่จำกัดไว้ โดยทำการจับฉลากล่วงหน้า ซึ่งผู้เข้าแข่งขัน ก็ไม่สามารถทราบว่า ได้วัตถุดิบคืออะไร และจะทำอย่างไร ให้วัตถุดิบปริศนาถูกแปลงสภาพมาเป็นอาหารชั้นเลิศตามเวลาที่กำหนดให้ (เวลาที่กำหนดในการแข่งขัน คือ 15 นาที) ช่วงนักชิมปริศนา3 ผู้เข้าแข่งขัน จะได้รับโจทย์การทำอาหาร ให้กลุ่มผู้ชิมที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละสัปดาห์ ยกตัวอย่างเช่น “ทำอาหารแคลลอร์รี่ต่ำ” ให้สาวงาม 20 คน หรือ นักมวย 30 คน เป็นต้น ผู้แข่งขันเพียง 1 คน จะได้รับการคัดเลือกเข้าไปเป็น ผู้ท้าชิง กับ เชฟกระทะเหล็กประเทศไทย (เวลาที่กำหนดในการแข่งขัน คือ 20 นาที) ช่วงเชฟกระทะเหล็กเชฟผู้ท้าชิงจะต้องแข่งขันทำอาหารกับเชฟกระทะเหล็กประจำรายการ โดยผู้ท้าชิงมีสิทธิ์เลือกว่าต้องการอยากประลองยุทธ์กับเชฟกระทะเหล็กท่านใด (เชฟกระทะเหล็ก อาหารไทย, เชฟกระทะเหล็ก อาหารญี่ปุ่น, เชฟกระทะเหล็ก อาหารตะวันตก และ เชฟกระทะเหล็ก อาหารจีน) โดยทั้งสองฝ่ายจะมีวัตถุดิบหลักและเวลาเป็นตัวกำหนดสำหรับการแข่งขัน (เวลาที่กำหนดในการแข่งขัน คือ 60 นาที) มีการนำเสนอ, การแสดงความคิดเห็น และการตัดสิน หลังผู้ท้าชิงและเชฟกระทะเหล็ก ทำอาหารเสร็จเรียบร้อย จะต้องนำเสนออาหารของตัวเองต่อกรรมการก่อนชิม จากนั้นคณะกรรมการจะทำการแสดงความคิดเห็น พร้อมตัดสินว่า...อาหารจานใดระหว่าง เชฟผู้ท้าชิง หรือ เชฟกระทะเหล็ก จะมีรสชาติชนะใจกรรมการ ในกรณีที่ผลการแข่งขันเสมอกัน จะมีการแข่งขันแบบต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที โดยเชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องทำอาหารเพิ่มขึ้นอีก 1 เมนู โดยใช้วัตถุดิบพิเศษที่รายการกำหนดไว้ให้ รูปแบบที่ 2ช่วงสรรหาผู้ท้าชิงและเมนูพิเศษเฉพาะตัวประธานสรรหาทั้ง 3 คน จะทำการคัดสรรเชฟที่มีฝีมือจากทั่วสารทิศ มาเป็น เชฟผู้ท้าชิง พร้อมกับดารารับเชิญ 3 ท่าน หรืออาจจะมากกว่านั้น ซึ่งเชฟผู้ท้าชิงจะมาทำอาหารเมนูพิเศษตามความถนัดของตนเอง จากแบบทดสอบพิเศษ ซึ่งจะเปลี่ยนไปในแต่ละสัปดาห์ เวลาที่กำหนดในการทำอาหาร คือ 30 นาที โดยจะมีรูปแบบแบบทดสอบพิเศษต่างๆ กันไป ดังนี้
ช่วงเชฟกระทะเหล็กเชฟผู้ท้าชิงจะต้องแข่งขันทำอาหารกับเชฟกระทะเหล็กประจำรายการ โดยผู้ท้าชิงมีสิทธิ์เลือกว่าต้องการอยากประลองยุทธ์กับเชฟกระทะเหล็กท่านใด (เชฟกระทะเหล็ก อาหารไทย, เชฟกระทะเหล็ก อาหารญี่ปุ่น, เชฟกระทะเหล็ก อาหารตะวันตก และ เชฟกระทะเหล็ก อาหารจีน) โดยทั้งสองฝ่ายจะมีวัตถุดิบหลักและเวลาเป็นตัวกำหนดสำหรับการแข่งขัน (เวลาที่กำหนดในการแข่งขัน คือ 60 นาที) มีการนำเสนอ, การแสดงความคิดเห็น และการตัดสิน หลังผู้ท้าชิงและเชฟกระทะเหล็ก ทำอาหารเสร็จเรียบร้อย จะต้องนำเสนออาหารของตัวเองต่อกรรมการก่อนชิม จากนั้นคณะกรรมการจะทำการแสดงความคิดเห็น พร้อมตัดสินว่า...อาหารจานใดระหว่าง เชฟผู้ท้าชิง หรือ เชฟกระทะเหล็ก จะมีรสชาติชนะใจกรรมการ ในกรณีที่ผลการแข่งขันเสมอกัน จะมีการแข่งขันแบบต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที โดยเชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องทำอาหารเพิ่มขึ้นอีก 1 เมนู โดยใช้วัตถุดิบพิเศษที่รายการกำหนดไว้ให้ ช่วงโรงเรียนกระทะเหล็กเชฟกระทะเหล็ก จะมาสาธิตการทำอาหารให้แก่ดารารับเชิญและผู้ชมทางบ้านที่สมัครเข้ารวมรายการ รวม 6 ท่าน หรืออาจจะมากกว่านั้น และทุกวันพุธสุดท้ายของแต่ละเดือน เชฟผู้ท้าชิงที่เคยแข่งขันในรายการ จะมาสาธิตการทำอาหารแทนเชฟกระทะเหล็ก หลังจากนั้นจะเลือกผู้ร่วมรายการ 2 ท่าน มาทำอาหารตามเชฟกระทะเหล็กหรือเชฟผู้ท้าชิงที่เคยแข่งขันในรายการ ซึ่งผู้ร่วมรายการที่เหลือ 4 คน จะทำการชิมและให้คะแนนว่าอาหารที่คนไหนทำ อร่อยกว่ากัน คนที่ได้คะแนนมากกว่า จะได้เป็น นักเรียนดีเด่น และได้รับประกาศนียบัตรเป็นของที่ระลึก รูปแบบที่ 3ประชันวัตถุดิบจะมีวัตถุดิบ 2 ชนิดออกมาให้ได้ชมกัน โดยหนึ่งในนั้นจะเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้แข่งในวันนั้นจริงๆ หรือบางครั้งอาจจะไม่เกี่ยวกับวัตถุดิบเลย แต่จะเป็นการทำอาหารให้แขกรับเชิญได้รับประทานกัน โดยจะมีเชฟประสพโชค ตระกูลแพทย์ (เชฟอาร์ต), เชฟบรรณ บริบูรณ์ (เชฟอิ๊ค), เชฟธัชพล ชุมดวง (เชฟตูน) สลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมา สัปดาห์ละ 2 คนเพื่อเป็นตัวแทนและนำเสนอวัตถุดิบอย่างละฝ่าย พร้อมทั้งทำอาหารจากวัตถุดิบนั้นๆ ให้กับแขกรับเชิญได้รับประทานด้วย ช่วงเชฟกระทะเหล็กเชฟผู้ท้าชิงจะต้องแข่งขันทำอาหารกับเชฟกระทะเหล็กประจำรายการ โดยผู้ท้าชิงมีสิทธิ์เลือกว่าต้องการอยากประลองยุทธ์กับเชฟกระทะเหล็กท่านใด (เชฟกระทะเหล็ก อาหารไทย, เชฟกระทะเหล็ก อาหารญี่ปุ่น, เชฟกระทะเหล็ก อาหารตะวันตก และ เชฟกระทะเหล็ก อาหารจีน) โดยทั้งสองฝ่ายจะมีวัตถุดิบหลักและเวลาเป็นตัวกำหนดสำหรับการแข่งขัน (เวลาที่กำหนดในการแข่งขัน คือ 60 นาที) มีการนำเสนอ, การแสดงความคิดเห็น และการตัดสิน หลังผู้ท้าชิงและเชฟกระทะเหล็ก ทำอาหารเสร็จเรียบร้อย จะต้องนำเสนออาหารของตัวเองต่อกรรมการก่อนชิม จากนั้นคณะกรรมการจะทำการแสดงความคิดเห็น พร้อมตัดสินว่า...อาหารจานใดระหว่าง เชฟผู้ท้าชิง หรือ เชฟกระทะเหล็ก จะมีรสชาติชนะใจกรรมการ ในกรณีที่ผลการแข่งขันเสมอกัน อาจจะมีการแข่งขันแบบต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที โดยเชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องทำอาหารเพิ่มขึ้นอีก 1 เมนู โดยใช้วัตถุดิบพิเศษที่รายการกำหนดไว้ให้ หรืออาจจะไม่มีการต่อเวลา และคงผลเสมอไว้เช่นเดิม รูปแบบที่ 4ช่วงเชฟกระทะเหล็กรูปแบบจะคล้ายคลึงกับ เชฟกระทะเหล็ก ประเทศสหรัฐอเมริกา (อังกฤษ: Iron Chef America) ซึ่งเชฟทั้งสองฝ่ายจะมีเวลาในการแข่งขัน 60 นาที เหมือนเดิม โดยภายใน 20 นาทีแรกนั้น เชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องทำอาหาร 1 เมนู ให้เสร็จเรียบร้อย พร้อมเสิร์ฟด้วยตนเองให้กับคณะกรรมการได้ชิมกันจานต่อจาน โดยคณะกรรมการ 3 คน จะทำการชิมพร้อมกับแสดงความคิดเห็นและให้คะแนนกันแบบระบบเวลาจริงเลย มีคะแนนส่วนนี้ให้ 5 คะแนน ถ้าทำไม่ทัน คะแนนส่วนนี้จะเป็น 0 คะแนนโดยทันที จากนั้นอีก 40 นาทีที่เหลือเชฟทั้งสองฝ่าย ต้องรังสรรค์อย่างน้อย 4 เมนูให้เสร็จทันเวลา ที่มากไปกว่านั้นเพื่อเพิ่มความท้าทายและความกดดันให้กับเชฟทั้งสองฝ่าย ท่านประธานสันติได้เพิ่ม โจทย์พิเศษ (Culinary Curve Ball) ที่สามารถเป็นได้ทั้งวัตถุดิบหรืออุปกรณ์เสริม ซึ่งเชฟทั้งสองฝ่าย ต้องใช้โจทย์พิเศษนี้เป็นองค์ประกอบในเมนูใดเมนูหนึ่งให้ได้นั้นเอง ซึ่งเราจะได้ประหลาดใจไปกับวิธีการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าของเชฟแต่ละท่าน แถมยังได้เห็นถึงจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขา มีคะแนนส่วนนี้ให้ 5 คะแนน และคณะกรรมการ 3 คน ทำการให้คะแนน โดยจะพิจารณาจากคะแนนด้านรสชาติความอร่อย 10 คะแนน, ด้านความสวยงามและความคิดสร้างสรรค์ 5 คะแนน และด้านความสามารถในการดึงรสชาติของวัตถุดิบหลัก 5 คะแนน ช่วงโรงเรียนกระทะเหล็กเชฟกระทะเหล็ก จะมาสาธิตการทำอาหารให้แก่ดารารับเชิญและผู้ชมทางบ้านที่สมัครเข้ารวมรายการ รวม 6 ท่าน หรืออาจจะมากกว่านั้น และทุกวันพุธสุดท้ายของแต่ละเดือน เชฟผู้ท้าชิงที่เคยแข่งขันในรายการ จะมาสาธิตการทำอาหารแทนเชฟกระทะเหล็ก หลังจากนั้นจะเลือกผู้ร่วมรายการ 2 ท่าน มาทำอาหารตามเชฟกระทะเหล็กหรือเชฟผู้ท้าชิงที่เคยแข่งขันในรายการ ซึ่งผู้ร่วมรายการที่เหลือ 4 คน จะทำการชิมและให้คะแนนว่าอาหารที่คนไหนทำ อร่อยกว่ากัน คนที่ได้คะแนนมากกว่า จะได้เป็น นักเรียนดีเด่น และได้รับประกาศนียบัตรเป็นของที่ระลึก รูปแบบที่ 5ช่วงเชฟกระทะเหล็กเชฟผู้ท้าชิงจะต้องแข่งขันทำอาหารกับเชฟกระทะเหล็กประจำรายการ โดยผู้ท้าชิงมีสิทธิ์เลือกว่าต้องการอยากประลองยุทธ์กับเชฟกระทะเหล็กท่านใด (เชฟกระทะเหล็ก อาหารไทย, เชฟกระทะเหล็ก อาหารญี่ปุ่น, เชฟกระทะเหล็ก อาหารตะวันตก แนวอินโนเวทีฟ, เชฟกระทะเหล็ก อาหารจีนร่วมสมัย, เชฟกระะทะเหล็ก อาหารหวาน, เชฟกระทะเหล็ก อาหารเอเชี่ยนทวิสต์คิวชีน และเชฟกระทะเหล็ก อาหารยุโรป) โดยทั้งสองฝ่ายจะมีวัตถุดิบหลักและจะมีเวลาในการแข่งขัน 60 นาที เป็นตัวกำหนดสำหรับการแข่งขัน โดยภายใน 20 นาทีแรกนั้น เชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องทำอาหาร 1 เมนู ให้เสร็จเรียบร้อย พร้อมเสิร์ฟด้วยตนเองให้กับคณะกรรมการได้ชิมกันจานต่อจาน โดยคณะกรรมการ 3 คน จะทำการชิมพร้อมกับแสดงความคิดเห็นและให้คะแนนกันแบบระบบเวลาจริงเลย มีคะแนนส่วนนี้ให้คนละ 5 คะแนน ถ้าทำไม่ทัน คะแนนส่วนนี้จะเป็น 0 คะแนนโดยทันที จากนั้นอีก 40 นาทีที่เหลือเชฟทั้งสองฝ่าย ต้องรังสรรค์อย่างน้อย 4 เมนูให้เสร็จทันเวลา การตัดสินคณะกรรมการ 3 คน จะทำการชิมอาหารและแสดงความคิดเห็นให้กับเชฟทั้งสองฝ่าย จากนั้นคณะกรรมการ 3 คน จะทำการให้คะแนน โดยจะพิจารณาจากคะแนนด้านจานแรกคนละ 5 คะแนน, รสชาติความอร่อยคนละ 10 คะแนน, ด้านความสวยงามและความคิดสร้างสรรค์คนละ 5 คะแนน และด้านความสามารถในการดึงรสชาติของวัตถุดิบหลักคนละ 5 คะแนน รวม 75 คะแนน รูปแบบที่ 6ใช้ในวันที่ 8 กรกฎาคม – 9 กันยายน พ.ศ. 2560 ช่วง World Ingredient ภารกิจตามล่าวัตถุดิบสุดขอบโลกในช่วงนี้ จะมีลักษณะคล้ายกับช่วงประชันวัตถุดิบในรูปแบบที่ 3 แต่จะเป็นการให้พิธีกรร่วม 2 ท่านคือ เบญจพล เชยอรุณ (กอล์ฟ) และ ชล วจนานนท์ (ชลลี่) มานำเสนอวัตถุดิบที่จะให้ประธานสันติเป็นผู้คัดเลือก เพื่อนำมาใช้ในการแข่งขัน และผู้ชมทางบ้านจะสามารถร่วมสนุกว่าประธานสันติจะเลือกวัตถุดิบชนิดใด เพื่อชิงบัตรกำนัลมูลค่า 10,000 บาท ช่วงเชฟกระทะเหล็กเชฟผู้ท้าชิงจะต้องแข่งขันทำอาหารกับเชฟกระทะเหล็กประจำรายการ โดยผู้ท้าชิงมีสิทธิ์เลือกว่าต้องการอยากประลองยุทธ์กับเชฟกระทะเหล็กท่านใด (เชฟกระทะเหล็ก อาหารไทย, เชฟกระทะเหล็ก อาหารญี่ปุ่น, เชฟกระทะเหล็ก อาหารตะวันตก แนวอินโนเวทีฟ, เชฟกระทะเหล็ก อาหารจีนร่วมสมัย, เชฟกระะทะเหล็ก อาหารหวาน, เชฟกระทะเหล็ก อาหารเอเชี่ยนทวิสต์คิวชีน และเชฟกระทะเหล็ก อาหารยุโรป) โดยทั้งสองฝ่ายจะมีวัตถุดิบหลักและจะมีเวลาในการแข่งขัน 60 นาที เป็นตัวกำหนดสำหรับการแข่งขัน โดยภายใน 20 นาทีแรกนั้น เชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องทำอาหาร 1 เมนู ให้เสร็จเรียบร้อย พร้อมเสิร์ฟด้วยตนเองให้กับคณะกรรมการได้ชิมกันจานต่อจาน จากนั้นอีก 40 นาทีที่เหลือเชฟทั้งสองฝ่าย ต้องรังสรรค์อย่างน้อย 4 เมนูให้เสร็จทันเวลา การตัดสินคณะกรรมการ 3 คน จะทำการชิมอาหารและแสดงความคิดเห็นให้กับเชฟทั้งสองฝ่าย จากนั้นคณะกรรมการ 3 คน จะทำการให้คะแนน โดยจะพิจารณาจากคะแนนด้านจานแรกคนละ 5 คะแนน, รสชาติความอร่อยคนละ 10 คะแนน, ด้านความสวยงามและความคิดสร้างสรรค์คนละ 5 คะแนน และด้านความสามารถในการดึงรสชาติของวัตถุดิบหลักคนละ 5 คะแนน รวม 75 คะแนน แบบที่ 7ใช้ในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 – 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ช่วงเชฟกระทะเหล็กเชฟผู้ท้าชิงจะต้องแข่งขันทำอาหารกับเชฟกระทะเหล็กประจำรายการ โดยผู้ท้าชิงมีสิทธิ์เลือกว่าต้องการอยากประลองยุทธ์กับเชฟกระทะเหล็กท่านใด (เชฟกระทะเหล็ก อาหารญี่ปุ่น, เชฟกระทะเหล็ก อาหารตะวันตก แนวอินโนเวทีฟ, เชฟกระทะเหล็ก อาหารจีนร่วมสมัย, เชฟกระะทะเหล็ก อาหารหวาน, เชฟกระทะเหล็ก อาหารเอเชี่ยนแนวผสมผสาน, เชฟกระทะเหล็ก อาหารตะวันตกแนวผสมผสาน และเชฟกระทะเหล็ก อาหารฝรั่งเศส) โดยทั้งสองฝ่ายจะมีวัตถุดิบหลักและจะมีเวลาในการแข่งขัน 60 นาที เป็นตัวกำหนดสำหรับการแข่งขัน เชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องรังสรรค์ 5 เมนู ให้เสร็จทันเวลา จากนั้นเมื่อผ่านไป 45 นาที จะมีวัตถุดิบปริศนา (Culinary Curve Ball) ซึ่งเชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องนำวัตถุดิบปริศนามาใช้ทำอาหารเป็นวัตถุดิบหลักในเมนูสุดท้ายจาก 5 เมนู (มีเพียงเทปวันที่ 11 และ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 ที่ใช้กติกาจากรูปแบบรายการแบบที่ 4 คือเชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องนำวัตถุดิบปริศนานำมาประกอบการรังสรรค์อย่างน้อย 1 เมนูจาก 5 เมนู) การตัดสินจะมีคณะกรรมการ 3 และ 4 คน จะทำการให้คะแนน ซึ่งเกณฑ์การตัดสินคะแนนจะพิจารณาด้านความอร่อย 50 คะแนน, ความคิดสร้างสรรค์เมนู 25 คะแนน, ความคิดสร้างสรรค์ตกแต่งจาน 25 คะแนน และการชูวัตถุดิบหลัก 50 คะแนน รวม 150 คะแนน (ในช่วงวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 - 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 จะใช้เกณฑ์การตัดสินจะพิจารณาด้านความอร่อย 10 คะแนน, ความคิดสร้างสรรค์และตกแต่งจาน 5 คะแนน, การชูวัตถุดิบหลัก 5 คะแนน และวัตถุดิบปริศนา 5 คะแนน (ในเทปวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2561 ซึ่งจะมีคะแนนพิเศษซึ่งก็คือ โจทย์พิเศษ 2 อีกคนละ 5 คะแนน)) รูปแบบที่ 1 Blind Tastingในรูปแบบ Blind Tasting คณะกรรมการจะไม่ทราบมาก่อนว่าเมนูอาหารแต่ละจานที่จะได้รับประทานนั้นเป็นของเชฟท่านใด เพื่อป้องกันปัญหาการล็อกผล โดยกรรมการทั้งสี่จะเก็บตัวในระหว่างที่เชฟทั้งสองทำการรังสรรค์เมนู และเมื่อเข้าสู่ช่วงการตัดสิน เชฟทั้งสองจะถูกนำไปเก็บตัวและดูการตัดสินผ่านทางจอมอนิเตอร์ และอาหารของเชฟทั้งสองจะถูกเสิร์ฟให้แก่คณะกรรมการทำการตัดสิน โดยคณะกรรมการจะทำการตัดสินหน้าเวทีของ Kitchen Stadium (ในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 – 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563) ต่อมาเปลี่ยนเป็นห้อง Bidding Battle ของ ศึกค้นหาเชฟกระทะเหล็ก (28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 - 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2565) โดยจะใช้อักษรย่อว่าเป็นเชฟ A หรือ B ในการแทนตัวเชฟผู้ท้าชิงและเชฟกระทะเหล็ก เริ่มใช้ในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 – 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 และ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 - 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 นอกจากนี้ตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 - 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 จะสลับจานเสิร์ฟในแต่ละเมนู ทำให้กรรมการคาดเดาแนวทางการทำอาหารของเชฟได้ยากขึ้น รูปแบบที่ 2 เปิดเผยในรูปแบบเปิดเผย จะให้ทั้งเชฟกระทะเหล็กและเชฟผู้ท้าชิงเข้าไปในห้อง Bidding Battle ของ ศึกค้นหาเชฟกระทะเหล็ก โดยจะมีคณะกรรมการมานั่งชิมอาหารของเชฟกระทะเหล็กและเชฟผู้ท้าชิงพร้อมกัน โดยมีการเปิดเผยหน้าเชฟกระทะเหล็กและเชฟผู้ท้าชิงแบบให้เห็นแบบต่อหน้าต่อตา แต่จะยังมีการวิจารณ์คล้าย ๆ กับรูปแบบ Blind Tasting เดิม เริ่มใช้ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2563 – 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 ปัจจุบัน (แบบที่ 8)ใช้ในวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2565 - ปัจจุบัน ช่วงแนะนำผู้ท้าชิงในช่วงเริ่มรายการ กอล์ฟ - สัญญา ธาดาธนวงศ์ และกระติ๊บ - ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล ซึ่งเป็นพิธีกรภาคสนาม จะเดินทางไปยังร้านอาหารของเชฟผู้ท้าชิง เพื่อแนะนำและทำความรู้จักกับเชฟผู้ท้าชิง โดยเชฟผู้ท้าชิงยังมีการทำเมนูเอกลักษณ์ (Signature Dish) ให้พิธีกรภาคสนามได้รับประทานก่อนจะเข้าสู่การแข่งขันจริง โดยช่วงนี้ใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565 - 1 เมษายน พ.ศ. 2566 ช่วงเชฟกระทะเหล็กเชฟผู้ท้าชิงจะต้องแข่งขันทำอาหารกับเชฟกระทะเหล็กประจำรายการ โดยผู้ท้าชิงมีสิทธิ์เลือกว่าต้องการอยากประลองยุทธ์กับเชฟกระทะเหล็กท่านใด (เชฟกระทะเหล็ก อาหารญี่ปุ่น, เชฟกระทะเหล็ก อาหารตะวันตกแนวอินโนเวทีฟ, เชฟกระทะเหล็ก อาหารจีนร่วมสมัย, เชฟกระทะเหล็ก อาหารหวาน, เชฟกระทะเหล็ก อาหารตะวันตกแนวผสมผสาน, เชฟกระทะเหล็ก อาหารฝรั่งเศส, เชฟกระทะเหล็ก อาหารยุโรปแนวผสมผสาน, เชฟกระทะเหล็ก อาหารยุโรปร่วมสมัย) โดยผู้ท้าชิงสามารถกำหนดโจทย์เพื่อทดสอบเชฟกระทะเหล็กได้ด้วย โดยจะต้องแข่งขันทั้งหมด 2 รอบ ดังนี้ รอบแรกทั้งสองเชฟจะมีวัตถุดิบหลักอย่างแรกซึ่งจะใช้ในการทำเมนูที่ 1 และเมนูที่ 2 ไปก่อน และจะมีเวลาในการแข่งขัน 60 นาที เป็นตัวกำหนดสำหรับการแข่งขัน โดยเชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องทำอาหาร 1 เมนู ให้เสร็จเรียบร้อย และต้องเสิร์ฟเมนูแรกให้คณะกรรมการชิมไปก่อนภายใน 15 นาทีแรก จึงจะกลับมาแข่งขันต่อได้ จากนั้นอีก 5 นาทีต่อมา จะต้องตัดเชฟผู้ช่วยออก 1 คน (จะเหลือ 3 คน) และจะมีวัตถุดิบที่ 2 ซึ่งจะใช้ในการทำเมนูที่ 3 และเมนูที่ 4 และเมื่อเหลือ 20 นาทีสุดท้าย จะต้องตัดเชฟผู้ช่วยออกอีก 1 คน (จะเหลือ 2 คน) และจะมีวัตถุดิบปริศนา (Culinary Curve Ball) ซึ่งเชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องนำวัตถุดิบปริศนามาใช้ทำอาหารเป็นวัตถุดิบหลักในเมนูที่ 5 และเมื่อหมดเวลา ทั้งสองเชฟจะต้องเสิร์ฟทั้ง 4 เมนูที่เหลือให้คณะกรรมการได้ชิมในลำดับต่อไป เมื่อคณะกรรมการชิมอาหารทั้ง 4 เมนูเสร็จสิ้น จะต้องไปแข่งขันต่อในรอบ One-On-One Battle หรือการแข่งขันแบบตัวต่อตัวต่อไป ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2565 ได้มีการปรับเปลี่ยนกติกาเล็กน้อย โดยเมื่อเปิดตัววัตถุดิบที่ 2 ไปแล้ว จะมีเวลาเหลืออีก 15 นาทีที่เชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องทำอาหารและเสิร์ฟเมนูจากวัตถุดิบที่ 2 อีก 1 เมนูให้คณะกรรมการชิม และเมื่อหมดเวลา 60 นาที ทั้งสองเชฟจะต้องเสิร์ฟทั้ง 3 เมนูที่เหลือให้คณะกรรมการได้ชิมในลำดับต่อไป รอบ One-On-One Battle (การแข่งขันแบบตัวต่อตัว)ทั้งสองเชฟจะต้องแข่งขันกันแบบตัวต่อตัว โดยไม่มีเชฟผู้ช่วยเลย โดยจะต้องรังสรรค์อาหารจากวัตถุดิบหลัก 1 อย่าง และเมื่อประตู Supermaket เปิด ทั้งสองเชฟจะต้องไปช็อปปิ้งวัตถุดิบเพิ่มเติมใน Supermaket ภายใน 3 นาที เมื่อหมดเวลาประตูจะปิด ถ้าออกมาไม่ทันจะถูกขังไว้ใน Supermaket เป็นเวลา 5 นาที และจะต้องทำอาหารเมนูที่ 6 เมนูสุดท้ายภายในเวลา 30 นาที หลังเปิดตัววัตถุดิบ เมื่อหมดเวลาทั้งสองเชฟจะต้องเสิร์ฟเมนูที่ 6 เมนูสุดท้าย ให้คณะกรรมการได้ชิมในลำดับต่อไป ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 - ปัจจุบัน ได้มีการปรับกติกาการช็อปปิ้งวัตถุดิบใน Supermarket เล็กน้อย โดยอิงจากการเปลี่ยนสีของไฟฉากเป็นสีแดง ซึ่งยังคงมีเวลาในการช็อปปิ้งเพียง 3 นาทีนับตั้งแต่ไฟเปลี่ยนสี แต่จะไม่มีการขัง โดยหลังหมดเวลา ไฟฉากจะเปลี่ยนสีจากสีแดงกลับไปเป็นสีขาว และเชฟทั้งคู่จะต้องออกจาก Supermarket ทันที โดยไม่สามารถเข้าไปได้อีก รูปแบบพิเศษ Fast & Deliciousใช้ในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2566 และ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 เชฟทั้งสองฝ่ายจะมีเวลาทั้งหมด 75 นาที สำหรับการทำอาหารทั้ง 6 เมนู โดยทั้งสองฝ่ายจะไม่ทราบว่าโจทย์วัตถุดิบจะออกมาในเวลาใด และต้องเสิร์ฟให้กับคณะกรรมการภายในเวลาใด ซึ่งเชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องบริหารเวลาด้วยตนเอง[2] การตัดสินให้ทั้งเชฟกระทะเหล็กและเชฟผู้ท้าชิงนำอาหารเข้าไปที่ห้อง Bidding Battle ของศึกค้นหาเชฟกระทะเหล็ก (ในวันที่ 18 มิถุนายน - 17 ธันวาคม พ.ศ. 2565) หรือโต๊ะกรรมการด้านหลังของ Kitchen Stadium (11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 - ปัจจุบัน) และอธิบายอาหารด้วยตัวเองเพื่อเสิร์ฟให้คณะกรรมการ 4 คน ที่มานั่งชิมอาหารพร้อมกัน โดยยังคงมีการวิจารณ์อาหารคล้าย ๆ กับรูปแบบก่อนหน้า ซึ่งมีเกณฑ์การตัดสินคะแนนคือ รสชาติ, ความคิดสร้างสรรค์ และการชูวัตถุดิบหลัก ส่วนลำดับเวลาการเสิร์ฟและคะแนนการตัดสินเป็นดังนี้
สำหรับรูปแบบ Fast & Delicious มีเกณฑ์การตัดสินคะแนนคือ รสชาติ, ความคิดสร้างสรรค์ และการชูวัตถุดิบหลัก ซึ่งจะให้คะแนนสูงสุด 10 คะแนนต่อจาน รวมคะแนนสูงสุด 60 คะแนน[3] ทั้งนี้ หากเชฟผู้ท้าชิงสามารถชนะเชฟกระทะเหล็กได้ จะได้รับถ้วยรางวัลเชฟกระทะเหล็ก (Iron Chef Trophy) ไปครอบครองด้วย เชฟกระทะเหล็กรายชื่อเชฟกระทะเหล็กที่ปรากฏในรายการ ซึ่งแสดงสถิติการแข่งขันผลชนะ เสมอ แพ้ ของเชฟกระทะเหล็กแต่ละคน โดยกล่องสีจะแทนแถบสีของชุดเชฟกระทะเหล็ก
การแข่งขันวัตถุดิบหลักที่นำมาใช้รายการบางครั้งก็จะมีราคาแพงและแปลกใหม่ เช่น ปลาเก๋ามังกร, ปลาแซลมอน, ปลาหมึกยักษ์, ปูทาราบะ แต่บางครั้งก็จะเป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่ายโดยทั่วไป เช่น กุ้งแม่น้ำ, กะหล่ำปลี เป็นต้น ซึ่งบางครั้งก็แสดงถึงความเป็นพื้นบ้านในประเทศไทย เช่น ปลาร้า, ไก่บ้าน โดยวัตถุดิบหลักในแต่ละสัปดาห์ทั้งเชฟผู้ท้าชิงและเชฟกระทะเหล็กจะต้องนำมาทำอาหาร 5 เมนู ซึ่งจำนวนจานของอาหารแต่ละอย่างที่ต้องเตรียมในการตัดสินนั้นจะมีอย่างน้อย 6 จาน กล่าวคือ เตรียมให้ประธาน 1 จาน และคณะกรรมการตามจำนวนคณะกรรมการในแต่ละสัปดาห์ และต้องเตรียม 1 จาน ของอาหารแต่ละอย่างออกมาต่างหากสำหรับการถ่ายภาพและการนำเสนอ โดยอาหารทั้งหมดจะทำด้วยเชฟกระทะเหล็กและมีผู้ช่วย ปกติแล้วทั้งเชฟผู้ท้าชิงและเชฟกระทะเหล็กจะเตรียมผู้ช่วยเชฟมาเองจำนวน 2 คน (ปัจจุบันต้องเตรียมผู้ช่วยเชฟ 3 คน เนื่องจากในการแข่งขันรอบปกติ จะต้องมีเชฟผู้ช่วยตลอดการแข่งขัน และมีการตัดผู้ช่วยเชฟออก 2 ครั้ง) และอุปกรณ์เครื่องครัว นอกเหนือจากทางรายการที่มีอยู่นำมาใช้ในรายการได้ กรรมการตัดสินในรายการในการตัดสินแต่ละครั้งจะมีกรรมการ 5 คน แต่บางครั้งอาจมี 4-6 คน ทั้งนี้อาจมีแขกรับเชิญเป็นดารา นักแสดงหรือผู้มีชื่อเสียงในวงการบันเทิง 1-2 คนรวมอยู่ด้วย ต่อมาภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงจนเหลือกรรมการเพียง 4 ท่าน โดยกรรมการส่วนใหญ่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านวงการอาหาร และมีชาวต่างชาติด้วยเป็นบางครั้ง เนื่องจากเป็นเชฟที่ประจำอยู่ตามภัคตาคารต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียง กรรมการประจำรายการตัวอย่างเช่น
ฯลฯ สิ่งสืบเนื่องภัตตาคาร
สินค้า
อ้างอิงแหล่งข้อมูลอื่น |