เพียเมืองแพน
เพียเมืองแพน (เพี้ยเมืองแพน)[1] หรือเจ้าเมืองแผน[2] บ้างออกนามว่าท้าวเพี้ยเมืองแพนหรือเจ้าเพี้ยเมืองแพนหรือพระยาเมืองแพน ต่อมาเลื่อนเป็นพระนครศรีบริรักษ์ (พระนคร)[3] นามเดิมท้าวพัน หรือท้าวสัก (ศักดิ์)[4] กรมการเมืองสุวรรณภูมิ ต้นสกุลเสนอพระ[5][6] สุนทรพิทักษ์ นครศรีบริรักษ์ แพนพา เศรษฐภูมิรินทร์ (สกุลที่เกี่ยวข้อง) ฯลฯ[7] เจ้าเมืองหรือผู้ว่าราชการเมืองขอนแก่นองค์แรก เป็นผู้ตั้งเมืองขอนแก่น[8] อดีตกรมการเมืองธุรคมหงษ์สถิตย์ในอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์[9][10] อดีตกวานบ้าน (นายบ้าน) หรือนายกองนอกบ้านชีโหล่นเมืองสุวรรณภูมิ[11][12] และอดีตเจ้าเมืองเพี้ย (บ้านดอนพยอมเมืองเพี้ย) เป็นบิดาเจ้านางคำแว่นหรือเจ้าจอมแว่น (คุณเสือ)[13] พระสนมเอกหรือเจ้านางองค์แรกในรัชกาลที่ 1 ของรัตนโกสินทร์[14][15][16][17] ทัศนะทางประวัติศาสตร์ข้อมูลประวัติของเพี้ยเมืองที่ถูกระบุในหลักฐานเเละเอกสารทางประวัติศาสตร์ มีการถูกระบุเเละถูกกล่าวถึงในทัศนะหรือมุมมองทางประวัติศาสตร์ที่เเตกต่างกันตามเเต่ละเเหล่งข้อมูล ซึ่งสามารถเเยกเป็นทัศนะทั้งหมด ได้ 4 ทัศนะ ดังต่อไปนี้ ทัศนะที่ 1เพี้ยเมืองเเพนเป็นพี่น้องของเจ้าเเก้วบูฮมหรือเจ้าจารย์เเก้ว เจ้าผู้ครองเมืองท่งศรีภูมิพระองค์เเรก ผู้ที่ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2184 ปกครองเมืองท่งเมื่อปี พ.ศ. 2256 เเละพิราลัย เมื่อปี พ.ศ. 2268 เเละทั้งคู่เป็นพระราชโอรสของเจ้าเเสนปัจจุทุมหรือท้าวเเสนเเก้วบูฮม (ในพงสาวดารนครน่าน เรียกเจ้าเเก้วมงคลว่า ลาวเเสนเเก้ว จากหลักฐานชั้นต้น เจ้าเเสนปัจจุทุมหรือท้าวเเสนเเก้วบูฮม ควรจะเป็นเจ้าเเก้วมงคลหรือจารย์เเก้ว)[18][19] กรมการเมืองธุรดมหงส์สถิต[20][21] พระราชโอรสในพระเจ้าสิริบุญสาร (ครองราชย์เมื่อปี พ.ศ. 2294 - พ.ศ. 2322) กษัตริย์เเห่งอาณาจักร์ล้านช้างเวียงจันทน์พระองค์ที่ 4 ส่วนเพี้ยเมืองเเพนได้เป็นเจ้าเมืองขอนเเก่นท่านเเรกเมื่อ ปี พ.ศ. 2340 (ได้ปกครองเมืองห่างจากผู้เป็นพี่ชาย นานกว่า 84 ปี) อพยพจากเวียงจันทน์พ.ศ. 2322 พระเจ้าสิริบุญสารแห่งเวียงจันทน์ (ครองราชย์ราว พ.ศ. 2294-2322) พิพาทกับกลุ่มเจ้าพระวอเจ้าพระตาเมืองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน แล้วยกทัพตีค่ายบ้านดอนมดแดงแตกจับเจ้าพระวอประหาร กษัตริย์ธนบุรีจึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ทองด้วง) และเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) สองพี่น้องยกทัพตีนครเวียงจันทน์ เจ้าแก้วบุฮม (แก้วบรม) และเพียเมืองแพน (พระยาเมืองแพน) สองพี่น้องซึ่งเป็นโอรสเจ้าแสนปัจจุทุม (ท้าวแสนแก้วบุฮม)[22] ในราชวงศ์ล้านช้างจึงยกไพร่พลจากบ้านเพี้ยปู่แขวงเมืองธุรคมหงษ์สถิตย์ซึ่งตั้งอยู่ทิศเหนือเวียงจันทน์ไปทางน้ำงึมราว 70 กิโลเมตร ข้ามน้ำโขงมาตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่บ้านโพธิ์ตาก (ตำบลบ้านกง อำเภอเมืองขอนแก่น) บ้านยางเดี่ยว บ้านโพธิ์ศรี (ตำบลบ้านโนน อำเภอกระนวน)[23] บ้านโพธิ์ชัย (อำเภอมัญจาคีรี) บ้านสร้าง บ้านชีโหล่น (เขตเมืองสุวรรณภูมิ อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด)[24] และไพร่พลบางส่วนตั้งอยู่เขตอำเภอเมืองขอนแก่น อำเภอน้ำพอง อำเภออาจสามารถในจังหวัดร้อยเอ็ด และอำเภอคำเขื่อนแก้วในจังหวัดยโสธร[25] เฉพาะเจ้าแก้วบุฮมอพยพไพร่พลตั้งที่บ้านโพธิ์ชัยฝ่ายเพียเมืองแพนอพยพไพร่พลตั้งที่บ้านชีโหล่น[26] (ชีโล่น)[27][28][29] คุมไพร่พลคนละ 500 ขึ้นเมืองท่งหรือเมืองสุวรรณภูมิ ราว 9 ปีต่อมาใน พ.ศ. 2331 เพียเมืองแพนอพยพไพร่พลราว 330 คนขอแยกจากเมืองสุวรรณภูมิไปตั้งบ้านเรือนที่บึงบอนบ้านดอนพยอมเมืองเพี้ย (ดอนกระยอม)[30][31] ยกขึ้นเป็นเมือง ปัจจุบันคือบ้านเมืองเพี้ย ตำบลเมืองเพี้ย อำเภอบ้านไผ่[32] เริ่มตั้งเมืองหลังทัพสยามบุกตีเวียงจันทน์ได้กวาดต้อนเจ้านาย ขุนนาง และไพร่พลลาวเข้ามาในอาณาเขตสยามตั้งรกรากส่วนมากที่สระบุรีรวมทั้งหัวเมืองลาวชั้นในและกรุงเทพฯ[33] เจ้านางคำแว่นราชวงศ์ล้านช้างธิดาคนโตของเพียเมืองแพนอดีตนางข้าหลวงของเจ้านางเขียวค้อมพระราชธิดาพระเจ้าสิริบุญสาร[34][35] ถูกควบคุมตัวในฐานะเชลยไว้ที่พระบรมมหาราชวัง พ.ศ. 2325 เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกปราบดาภิเษกตนเองเป็นกษัตริย์สยามรัชกาลที่ 1 แล้วย้ายราชธานีจากธนบุรีมาตั้งที่บางกอก จึงมีนโยบายกดดันเจ้านายหัวเมืองลาวสองฝั่งโขงให้อยู่ในความควบคุมผ่านการตั้งเมืองขึ้นโดยส่งบรรณาการปีละ 2 ครั้ง พ.ศ. 2331 เพียเมืองแพนทราบข่าวธิดาถูกสถาปนาเป็นพระสนมเอกและกวนเมืองแสนหรือเพียเมืองแสน (ท้าวคำพาว ต้นสกุลประจันตเสน) ญาติสนิทได้เป็นพระจันทรประเทศเจ้าเมืองชลบถ ปัจจุบันคืออำเภอชนบทในจังหวัดขอนแก่น[36] จึงอพยพไพร่พลมาอยู่บ้านโนนทองข้างบึงบอน (หนองขอนแก่นหรือบึงพระลับโนนทอง) ตั้งเป็นบ้านบึงบอนปัจจุบันคือพื้นที่บึงแก่นนคร[37] ก่อนตั้งเมืองได้สำรวจสถานที่ลงหลักปักฐานจากบ้านภูเวียงใกล้เขาภูเวียงมาถึงบ้านโพธิ์ตากใกล้บึงชัยวานและน้ำพองหนีบ ซึ่งมีน้ำพองไหลผ่านทิศเหนือและน้ำเซินไหลผ่านทิศใต้ แต่เห็นว่าบริเวณดังกล่าวคงห่างไกลกรุงเทพฯ และปีใดฝนดีน้ำก็ท่วม จึงสำรวจสถานที่ตั้งเมืองใหม่ ณ บ้านทุ่มแต่น้ำท่าไม่สะดวกและเจ้าเมืองชลบถอ้างว่าเป็นเขตแดนเมืองชลบถเสมอซึ่งอ้างมาจนสมัยรัชกาลที่ 5 เพียเมืองแพนจึงเลือกบริเวณบ้านโนนทอง บ้านโนนทัน และบ้านพระลับ[38] ซึ่งนอกจากตั้งใกล้บึงบอนยังใกล้น้ำชี เมื่อตั้งเมืองด้วยไพร่พล 330 คนแล้วจึงสมัครขึ้นเมืองนครราชสีมา[39] โดยมีใบบอกถึงพระยานครราชสีมาและปักบือเมืองหรือเสาหลักเมือง ณ ทิศตะวันตกวัดกลาง บ้านเมืองเก่า ถนนกลางเมือง สร้างหอโฮงเจ้าเมือง 3 หลังซึ่งใหญ่กว่าที่ว่าราชการเมืองหรือจวนเจ้าเมืองและสร้างศาลมเหสัก (เมืองเก่า) ประจำเมือง ทัศนะที่ 2เพี้ยเมืองแพน หรือ พระนครศรีบริรักษ์ (ศักดิ์) เป็นบุตรของพระรัตนวงศามหาขัติยราช (ภู) เจ้าเมืองสุวรรณภูมิ พระรัตนวงศาฯ เป็นอนุชาพระยาขัติยวงศ์พิสุทธิบดี (สีลัง ต้นสกุล ธนสีลังกูร) ทั้ง 2 ท่าน เป็นบุตรพระขัติยวงศา (ทนต์ หรือ สุทนต์) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดองค์แรก และมีศักดิ์เป็นพระราชนัดดาเจ้าแก้วมงคล ทัศนะนี้เพี้ยเมืองแพนจึงเป็นพระราชนัดดาของเจ้าแก้วมงคล ทัศนะที่ 3เพี้ยเมืองเเพน หรือ พระนครศรีบริรักษ์ (ศักดิ์) เป็นโหลนของเจ้าเเก้วมงคล โดย เจ้ามืดดำโดน โอรสของเจ้าเเก้วมงคล มีโอรส 3 องค์ คือ เจ้าเชียง เจ้าสูน เจ้าอุ่น (ปลัดเมืองขุขันธ์ซึ่งต่อมาได้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองศีร์ษะเกษท่านแรก นามว่า พระยารัตนวงศา อีกทั้งยังเป็นลูกเขยของพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวนหรือตากะจะเจ้าเมืองขุขันธ์ท่านแรกและเป็นบิดาของพระประจันตประเทศหรือเจ้าเมืองชลบถวิบูลย์ท่านแรก) ส่วนเจ้าเซียงบุตรท้าวมืด มีบุตร 3 คน คือ ท้าวเพ (เจ้าเมืองหนองหานท่านแรก), ท้าวโอ๊ะ (เจ้าเมืองสุวรรณภูมิ), ท้าวพร และธิดาไม่ทราบนามอีก 2 คน ในพื้นเมืองท่ง ระบุว่าท้าวพรซึ่งเป็นบุตรของท้าวเซียงมีบุตรชาย 2 คน คือ เพี้ยเมืองแพน (พระนครศรีบริรักษ์ เจ้าเมืองขอนแก่นท่านแรก) เพี้ยศรีปาก (พระเสนาสงคราม เจ้าเมืองพุทไธสงท่านแรก และเป็นบิดาของพระยานครภักดี เจ้าเมืองแปะหรือบุรีรัมย์ท่านแรก) ทัศนะที่ 4ท้าวสักหรือเพี้ยเมืองเเพน เป็นนัดดาของเจ้าเเก้วมงคล เจ้าเมืองท่งศรีภูมิท่านเเรก พระราชโอรสของเจ้าศรีวิชัย กษัตริย์เเห่งอาณาจักรล้านช้างพระองค์ที่ 30 โดย เจ้ามืดคำดล เจ้าเมืองท่งศรีภูมิท่านที่ 2 โอรสของเจ้าเเก้วมงคล มีโอรส 3 องค์ คือ ท้าวเซียง เป็น เมืองแสน คุมกองทหารทั้งหมด, ท้าวสูน เป็น เมืองจัน ปกครองฝ่ายพลเรือน, ท้าวสัก เป็น "เพี้ยเมืองแพน" คุมทหารรักษาเขตแดนอยู่ชายฝั่ง "ชีโหล่น" หรือ "ซีล้น" อพยพออกจากเมืองสุวรรณภูมิพร้อมพระลับ ไปตั้งเมืองขึ้นใหม่พ.ศ. 2332 "ท้าวสัก" ได้รับคำสั่งให้ไปตั้งแห่งใหม่ชายแดนด้านเหนือเขตเมืองสุวรรณภูมิกับเขตเมืองร้อยเอ็ด ท้าวสักซึ่งมีตำแหน่งเป็นเ "เพี้ยเมืองแพน" ก็อพยพประชาชนพลเมืองประมาณ 330 ครอบครัว พร้อมทั้งนำพระพุทธรูป (พระลับ) ไปไว้สักการะเป็นมิ่งขวัญแก่บ้านเมืองด้วย ครั้นเดินทางมาถึงบริเวณบึงมีต้นบอนเกิดขึ้นมากมาย เป็นทำเลดี อยู่ใกล้แม่น้ำชี สองฝั่งบึงนั้นสูงน้ำท่วมไม่ถึง จึงตั้งบ้านเรือนเรียกว่า "บ้านบึงบอน" และได้ก่อสร้างหลักเมืองฝั่งตะวันตกของบึง (ปัจจุบันอยู่ที่คุ้มกลางเมืองเก่า)[40] ข้อสังเกตจากทั้งหมด 4 ทัศนะ มีทัศนะที่ 2, 3 เเละ 4 กล่าวตรงกันว่าเพี้ยเมืองเเพนเป็นลูกหลานของเจ้าเเก้วมงคล เเต่มีเพียงเเค่ทัศนะที่ 1 ที่กล่าวต่างจากพวก ที่กล่าวว่าเพี้ยเมืองเเพนเป็นพี่น้องกับเจ้าเเก้วมงคล ซึ่งมีอายุห่างกัน โดยประมาณ 100 ปีขึ้นไปเป็นอย่างต่ำ การพระพุทธศาสนาสร้างวัดประจำเมืองราว พ.ศ. 2332-2333 เพียเมืองแพนสร้างวัดประจำเมืองใกล้ฝั่งบึงบอนขึ้น 4 วัดคือ 1. วัดเหนือ (วัดหนองแวงพระอารามหลวง) สำหรับเจ้าเมืองบำเพ็ญกุศลและประกอบพิธีกรรม[41] ที่เรียกวัดเหนือเนื่องจากตั้งอยู่เหนือทางน้ำไหล 2. วัดกลาง (วัดกลางเมืองเก่า) ติดโฮงเจ้าเมือง[42] สำหรับกรมการผู้ใหญ่บำเพ็ญกุศลและประกอบพิธีกรรม 3. วัดใต้ (วัดธาตุพระอารามหลวง) หรือวัดพระธาตุโนนทอง หรือวัดธาตุเมืองเก่า สำหรับประชาชนบำเพ็ญกุศลและประกอบพิธีกรรม ที่เรียกว่าวัดใต้เนื่องจากตั้งอยู่ทิศใต้สายน้ำแต่อยู่ทิศเหนือของเมือง ที่เรียกวัดธาตุเนื่องจากมีธาตุเก่าตั้งอยู่ทิศตะวันออกของวัด ในอดีตน้ำจากบึงแก่นนครไหลลงบึงทุ่งสร้างดังนั้นคุ้มเหนือจึงตั้งอยู่ทิศใต้ของเมือง 4. วัดแขก (วัดโพธิ์โนนทัน) หรือวัดท่าแขก ฟากตะวันออกบึงบอน สำหรับสงฆ์และแขกเมืองหรือคนต่างถิ่นพักอาศัยบำเพ็ญกุศลและประกอบพิธีกรรม นอกจากนี้ยังบูรณะสิม (พระอุโบสถ) ขึ้นใหม่[43] อัญเชิญพระลับพระลับเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองสันนิษฐานว่าเพียเมืองแพนอัญเชิญมาประดิษฐานที่เมืองขอนแก่น ซึ่งบรรจุซ่อนไว้ในอุโมงค์พระธาตุเก่าของวัดธาตุ (พระอารามหลวง) เมืองเก่าหลังสร้างวัดเสร็จ[44] การถูกซ่อนไว้เป็นความลับมีแต่เจ้าอาวาสเท่านั้นที่ทราบเรื่องชาวบ้านจึงเรียกนามพระพุทธรูปว่าพระลับหรือหลวงพ่อพระลับสืบมา หลังการตั้งเมืองพระพุทธรูปถูกปกปิดในพระธาตุโดยไม่มีใครพบเห็นเมื่อขยายเมืองมาตั้งบ้านขึ้นใหม่ทางทิศเหนือเมืองเก่าจึงตั้งชื่อว่าบ้านพระลับและยกเป็นตำบลพระลับตามนามพระพุทธรูป[45] ปัจจุบันตำบลพระลับตั้งทางทิศตะวันออกเมืองขอนแก่น วัดเหนือเปลี่ยนนามเป็นวัดธาตุ (พระอารามหลวง) วัดกลางคงชื่อเดิม ส่วนวัดใต้ตั้งอยู่ริมหนองน้ำมีต้นแวงขึ้นมากจึงเรียกวัดหนองแวง (พระอารามหลวง) พระลับมีพุทธลักษณะปางมารวิชัยหล่อด้วยสัมฤทธิ์ทั้งองค์และฐาน หน้าตักกว้าง 11 นิ้ว สูง 29 นิ้ว ประทับนั่งขัดสมาธิราบ พระพักตร์รูปไข่ พระนลาฎกว้าง พระขนงโก่ง พระเนตรเรียวเหลือบต่ำ พระนาสิกสันปลายแหลม พระโอษฐ์แย้ม พระเกษาเล็กแหลม พระเกตุมาลาใหญ่ รัศมีเปลว ตั้งบนฐานกลีบบัวลาว ครองจีวรห่มเฉียงเปิดพระอังสาขวา ชายจีวรยาวจรดพระนาภี นิ้วพระหัตถ์ยาวเสมอกัน ฐานปัทม์ยกทรงสูงสี่เหลี่ยมบัวคว่ำบัวหงาย (โบกคว่ำโบกหงาย) แนวดูกงู (ลูกแก้วอกไก่) งอนขึ้นด้านบน เป็นศิลปะลาวหรือศิลปะล้านช้างสกุลช่างเวียงจันทน์พุทธลักษณะคล้ายกลุ่มพระพุทธรูปปางมารวิชัยระเบียงหอพระแก้วเวียงจันทน์ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 22-24 สันนิษฐานว่าการหล่อพระลับเริ่มราว พ.ศ. 2068 ในรัชกาลพระเจ้าโพธิสาลราชแห่งหลวงพระบางโดยศึกษาจากพระพุทธลักษณะ อีกทัศนะสันนิษฐานว่าหล่อราว พ.ศ. 2232 เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็กอพยพผู้คนมาบูรณะปฏิสังขรณ์พระธาตุพนมโดยนำช่างเวียงจันทน์ลงมาด้วย พ.ศ. 2233 การบูรณะสำเร็จตั้งแต่ส่วนที่ 2 ขึ้นไปจนยอดสุด โลหะบูรณะสร้างจากเหล็กเปียกหรือเหล็กไหลเนื้อคล้ายตะกั่ว (ซะกั่ว) หรือเงินโดยหล่อโบกครอบปูนยอดพระธาตุพนม แหล่งเหล็กเปียกตั้งบนภูเหล็กซึ่งเป็นภูเขาศิลาแลงเตี้ยเป็นเนินสูงจากทุ่งนาใกล้บ้านดอนข้าวหลาม ตำบลน้ำก่ำ อำเภอธาตุพนม ทิศใต้พระธาตุพนมราว 8 กิโลเมตร ปัจจุบันยังคงปรากฏหลุมและรอยขุด[46] พ.ศ. 2236 หลังบูรณะพระธาตุพนมเจ้าราชครูโพนสะเม็กหล่อพระพุทธรูปใหญ่ปางมารวิชัยหน้าตักกว้าง 1.80 เมตร ตั้งเป็นประธานในพระวิหารหอแก้วของวัด วัสดุที่เหลือ เช่น ทองแดง เศษปูน เป็นต้น ถูกใช้หล่อพระพุทธรูปหลายองค์เพื่อมอบให้ศิษย์นำไปสักการะ ส่วนที่เหลือบรรจุไว้ในพระธาตุพนม พ.ศ. 2497 พระเทพรัตนโมลี (แก้ว กนฺโตภาโส, อุทุมมาลา) เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมซ่อมแซมวิหารหอพระแก้วก่อนปูกระเบื้องลายซีเมนต์ได้สั่งช่างขุดพื้นวิหารหน้าพระประธานและพบกรุพระจำนวนมาก เช่น พระทองคำบุ 250 องค์ พระเงิน พระขนาดเล็ก เป็นต้น โดยนำขึ้นมาเฉพาะพระทองคำ 1 องค์หนักราว 4 กิโลกรัมครึ่ง พระนาค 1 องค์ พระทองคำบุ 3 องค์ พระหินดำ 1 องค์ และพระทองสัมฤทธิ์ 1 องค์ สันนิษฐานว่าพระลับคงสร้างโดยเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็กแล้วมอบแด่ราชวงศ์องค์สำคัญหนึ่งในนั้นคือเจ้าแก้วบูฮมบรรพบุรุษของเพียเมืองแพนและเพียเมืองแพนคงรักษาพระพุทธรูปองค์นี้สืบมา 17 ตุลาคม พ.ศ. 2537 พระเทพวิมลโมลี (เหล่า สุมโน) ซึ่งต่อมาเลื่อนเป็นพระธรรมวิสุทธาจารย์เจ้าอาวาสวัดธาตุ (พระอารามหลวง) รองเจ้าคณะภาค 9 (มหานิกาย) และรองอธิการบดีมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ วิทยาเขตขอนแก่น ในขณะนั้น เกรงว่าต่อไปชาวเมืองจะไม่รู้จักพระลับจึงเชิญนายกวี สุภธีระ ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นพร้อมข้าราชการผู้ใหญ่ผู้ทรงคุณวุฒิฝ่ายสงฆ์และฆราวาสร่วมกันเปิดเผยและประกาศเป็นทางการเมื่อวันอังคาร ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 10 ปีจอ หรือวันออกพรรษาที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2537[47] ว่าพระพุทธรูปที่เพียเมืองแพนอัญเชิญมาพร้อมการสร้างเมืองคือพระลับซึ่งประดิษฐาน ณ วัดธาตุ (พระอารามหลวง) และประกาศให้เป็นพระพุทธรูปคู่เมืองขอนแก่น[48] สถาปนาเมืองขอนแก่นการตั้งเมืองปลาย พ.ศ. 2339 รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ เจ้านางคำแว่นธิดาเพียเมืองแพนเป็นท้าวเสือ เมืองขอนแก่นส่งส่วยเมืองนครราชสีมาครบ 9 ปี เจ้านางคำแว่นจึงกราบบังคมทูลให้บิดายกไพร่พลแยกจากเมืองสุวรรณภูมิตั้งเป็นเมือง พระยานครราชสีมามีใบบอกถึงกรุงเทพฯ พ.ศ. 2340[49][50] รัชกาลที่ 1 จึงโปรดเกล้าฯ ยกบ้านบึงบอนเป็นเมืองขอนแก่น ให้เพียเมืองแพนเป็นพระนครศรีบริรักษ์เจ้าเมืองขึ้นต่อกรุงเทพฯ[51] ดังระบุในใบบอกเมืองขอนแก่น เขียนที่ว่าราชการเมืองขอนแก่นฝ่ายเมืองเดิม วันที่ 28 เมษายน รัตนโกสินทร์ศก 109 ว่า ข้าพเจ้าอุปฮาต ราชวงษ์ ราชบุตร หลวงพรหมภักดีผู้ช่วย เมืองแสน เมืองจัน ท้าวเพี้ยกรมการเมืองขอนแก่น บอกปรนนิบัติคำนับมายังท่านออกพันนายเวร ขอให้นำขึ้นกราบเรียน พณหัวเจ้าท่านลูกขุน ณ ศาลาทรงทราบ ด้วยเดิมจะตั้งเป็นเมืองขอนแก่น เจ้านางคำแว่นกราบบังคมทูลให้เมืองแพน พาสมัครพรรคพวกแยกออกจากเมืองสุวรรณภูมิ จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมตั้งเมืองแพนเป็นที่เจ้าเมืองขอนแก่น หาทันมีอุปฮาต ราชวงษ์ ราชบุตรไม่ เมืองแพนเจ้าเมืองถึงแก่กรรมไป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ท้าวคำบ้งบุตรเขยเมืองแพนเจ้าเมือง ขึ้นเป็นที่พระนครเจ้าเมือง โปรดให้ท้าวคำยวงเป็นที่ราชบุตร แต่ที่อุปฮาตราชวงษ์นั้นหาทันตั้งไม่ พระนครคำบ้งถึงแก่กรรมไปจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ตั้งราชบุตรคำยวงเป็นที่พระนครเจ้าเมือง ตั้งท้าวสุวันบุตรพระนครคำบ้งเป็นที่อุปฮาต ตั้งพระราชวงษาบุตรหลานเจ้าเมืองแผนเป็นที่ราชวงษ์ ตั้งท้าวคำพางบุตรพระนครคำยวงเป็นที่ราชบุตร ขึ้นไปครอบครองบ้านเมืองก็โดยยุติธรรม คุมส่วยผลเร่วลงมาทูลเกล้าฯ เสมอทุกปีมิได้ทศค้าง ครั้นอยู่หลายปีราชวงษ์ถึงแก่กรรมไป จึงโปรดเกล้าให้ท้าวอินบุตรพระนครคำยวงเป็นที่ราชวงษ์ ครั้นพระนครเจ้าเมือง อุปฮาต และราชบุตรถึงแก่กรรมไป จึงโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวหนูเข้ามาเป็นเจ้าเมืองขอนแก่น โปรดเกล้าฯ ให้ราชวงษ์อินบุตรพระนครคำยวงเป็นที่อุปฮาต ท้าวมุ่งบุตรพระนครคำยวงที่เป็นพี่ชายอุปฮาตอินเป็นที่ราชวงษ์ ท้าวจันชมภูบุตรอุปฮาตสุวันคนเก่าเป็นที่ราชบุตร อยู่มาได้สามปีจึงโปรดเกล้าฯ ให้พระนครหนู หนีจากเมืองขอนแก่นไปเป็นเจ้าเมืองมุกดาหาร แล้วจึงทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งอุปฮาตอินเป็นที่พระนครศรีบริรักษ์เจ้าเมือง ราชวงษ์มุ่งเป็นที่อุปฮาต ท้าวขติยะบุตรเขยพระนครคำยวงเป็นที่ราชวงษ์ แต่ราชบุตรยังคงที่ พระนครศรีบริรักษ์พาท้าวเพียประพฤติราชการบ้านเมืองก็เป็นสัจจเป็นธรรม คุมเงินส่วยผลเร่วเมืองขอนแก่น จำนวนปีละยี่สิบแปดช่างแปดตำลึง ลงมาทูลเกล้าฯ เสมอทุกปี ฯลฯ[52] ส่วนหลักฐานการตั้งเมืองขอนแก่นในพงศาวดารอีสานฉบับพระยาขัติยวงศา (เหลา ณร้อยเอ็จ) ระบุว่า ...ครั้นถึงจุลศักราช 1150 ได้ทราบข่าวว่าเมืองแพนบ้านชีโล่นแขวงเมืองสุวรรณภูมิพาราษฎรไพร่พลประมาณ 330 คน แยกจากเมืองสุวรรณภูมิไปขอตั้งฝั่งบึงบอนเป็นเมือง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เมืองแพนเป็นพระนครศรีบริรักษ์ผู้ว่าราชการเมืองขอนแก่น...[53][54] เหตุการณ์เดียวกันยังถูกระบุในพงศาวดารหัวเมืองมณฑลอีสานของหม่อมอมรวงศ์วิจิตร (ม.ร.ว. ปฐม คเนจร) ด้วยว่า ...ลุจุลศักราช 1159[55] ปีมเสงนพศก ฝ่ายเพี้ยเมืองแพนบ้านชีโล่นเมืองสุวรรณภูมิเห็นว่าเมืองแสนได้เปนเจ้าเมืองชนบทก็อยากจะได้เปนบ้าง จึ่งเกลี้ยกล่อมผู้คนได้อยู่ในบังคับสามร้อยเศษ จึ่งสมัคขึ้นอยู่ในเจ้าพระยานครราชสิมาแล้วขอตั้งบ้านบึงบอนเปนเมือง เจ้าพระยานครราชสิมาได้มีบอกมายังกรุงเทพฯ จึ่งโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เมืองแพนเปนที่พระนครบริรักษ์เจ้าเมือง ยกบ้านบึงบอนขึ้นเปนเมืองขอนแก่น (มณฑลอุดร) ขึ้นเมืองนครราชสิมา...[56] เหตุแห่งการตั้งเมืองในมุขปาฐะทองสุข เศรษฐภูมิรินทร์ ระบุเหตุแห่งการตั้งเมืองขอนแก่นในมุขปาฐะซึ่งพิมพ์ในหนังสือประวัติต้นตระกูลพระยานครศรีบริรักษ์ อดีตผู้ว่าราชการเมืองขอนแก่น (เจ้าเมืองขอนแก่น) อนุสรณ์งานฌาปนกิจศพคุณแม่ประทุม นครศรีฯ ในฐานะเอกสารชั้นรองโดยละเอียดว่า[57] จ.ศ. 1151 พ.ศ. 2332 ได้เกิดเรื่องราวที่เกี่ยวกับนางคำแว่นซึ่งเป็นเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาว่า ในเวลาบ่ายวันหนึ่งขณะที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรรทมอยู่พระองค์ทรงละเมอขึ้นด้วยพระสุรเสียงอันดังเป็นเวลานานก็ยังไม่รู้สึกพระองค์ พวกนางสนมกำนัลในต่างพากันตกใจทั้งไม่ทราบว่าจะทำประการใด ครั้นจะปลุกพระองค์ก็เกรงพระราชอาญาทุกคนต่างตกตะลึงตัวสั่นเทา นางคำแว่นซึ่งอยู่ ณ ที่นั้นได้เห็นเหตุการณ์โดยตลอดนางคลานเข้าไปใกล้แท่นพระบรรทมกราบถวายบังคมเสร็จแล้วนางใช้ปากกัดที่นิ้วพระบาทโดยมิได้ล่วงล้ำแตะต้องพระองค์ท่านด้วยประการใดเลย ทันใดนั้นเองสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรู้สึกพระองค์ท่ามกลางนางสนมกำนัลทั้งหลายที่มาประชุมหมอบกราบอยู่ทรงตรัสถามไปว่าผู้ใดเป็นผู้ปลุกพระองค์ นางเขียวค่อมกราบทูลว่านางคำแว่นเป็นผู้ปลุกโดยวิธีเอาปากกัดที่นิ้วพระบาท พระองค์ทรงตรัสถามต่อไปว่านางคำแว่นเป็นคนของใคร ลูกเต้าเหล่าใคร นางเขียวค่อมกราบทูลว่านางคำแว่นเป็นนางข้าหลวงของนางเองติดตามมาจากนครเวียงจันทน์เมื่อครั้งอพยพ เป็นบุตรท้าวเพี้ยเมืองแพนขณะนี้ท้าวเพี้ยเมืองแพนอพยพจากนครเวียงจันทน์มาอยู่ที่บ้านชีโล่นแขวงเมืองสุวรรณภูมิเป็นเวลาหลายปี ต่อมาได้อพยพครอบครัวจากบ้านชีโล่นมีครอบครัวประมาณ 330 ครอบครัวมาตั้งที่บ้านบึงบอนขอขึ้นต่อพระยานครราชสีมาและขอตั้งบ้านบึงบอนเป็นเมืองขอนแก่นอยู่ในเวลานี้ เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงฟังความกราบบังคมทูลของนางเขียวค่อมแล้วพระองค์ทรงดำริเห็นว่านางคำแว่นนี้เป็นผู้จงรักภักดีและกล้าหาญมาก ตามปกติแล้วไม่มีผู้ใดจะอาจเข้าไปแตะต้ององค์พระมหากษัตริย์ได้เพราะเกรงพระราชอาญา พฤติการณ์ที่นางคำแว่นกระทำลงไปนั้นเป็นการเสียสละด้วยความกล้าหาญเป็นอย่างสูงเป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระองค์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามแก่นางคำแว่นเป็นท้าวเสือเพื่อเป็นเกียรติสมกับความกล้าหาญของนาง และในปีเดียวกันนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกบ้านบึงบอนขึ้นเป็นเมืองขอนแก่นให้ท้าวเพี้ยเมืองแพนบิดาท้าวเสือ (นางคำแว่น) เป็นพระนครศรีบริรักษ์ผู้ว่าราชการเมืองขอนแก่น (เจ้าเมืองขอนแก่นคนแรก) และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เมืองขอนแก่นขึ้นตรงต่อกรุงเทพพระมหานครตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา[58][59] ปัญหาเรื่องตัวตนและที่มาของเพียเมืองแพนบิดาของเพียเมืองแพนคือเจ้าเเสนปัจจุทุม (ท้าวแสนแก้วบุฮม) บ้านเพี้ยปู่ เมืองธุรคมหงส์สถิต (ทุละคม) อาจเป็นองค์เดียวกับเจ้าวิชัยพระราชบิดาของเจ้าจารย์เเก้วเจ้าเมืองท่ง (ปัจจุบันคืออำเภอสุวรรณภูมิในจังหวัดร้อยเอ็ด) เเละเจ้าจารย์จันทสุริยวงศ์เจ้าเมืองหลวงโพนสิม เมืองพิน เมืองนอง (ปัจจุบันอยู่ในแขวงสะหวันนะเขด) เมืองธุรคมถูกสถาปนาในสมัยรัชกาลที่ 3 ตามสร้อยราชทินนามเจ้าเมืององค์เเรกคือพระวิชิตหงษ์พิไสยเชื้อสายของพระวอพระตา ไม่ได้สืบเชื้อสายจากนครหลวงเวียงจันทน์หรือเจ้าเเสนปัจจุทุมโดยตรง ดังนั้นเพียเมืองเเพนอาจไม่ได้กำเนิดจากเมืองธุรคมของอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ อย่างไรก็ตามปัจจุบันที่เมืองธุรคมในแขวงเวียงจันทน์มีหมู่บ้านเก่าแก่ปรากฏนามว่าบ้านขอนแก่นอยู่ด้วย เเต่ชื่อนี้พบได้ทั่วไปในพื้นที่ภาคอีสานตามประเพณีนิยมสมัยโบราณ เช่น พื้นที่จังหวัดเลย มุกดาหาร ร้อยเอ็ด เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบชุดข้อมูลที่ระบุถึงเพียเมืองแพนว่าเป็นบุตรเจ้าเมืองสุวรรณภูมิอีกด้วย คือเจ้าจารย์แก้วมีทายาทชื่อพระรัตนวงษา (ภู) เจ้าเมืองสุวรรณภูมิ พระรัตนวงษา (ภู) มีบุตรนามว่าท้าวศักดิ์และได้แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเพียเมืองแพน ไปตั้งรักษาการอยู่ริมแม่น้ำชีซึ่งสถานที่นั้นเรียกว่าชีโหล่นต่อมาจึงได้เป็นเจ้าเมืองขอนแก่น เอกสารบางแห่งระบุว่าเพียเมืองแพนบ้านชีโหล่นเป็นหลานเจ้าจารย์แก้ว หลังเป็นเจ้าเมืองขอนแก่นจึงเลื่อนเป็นพระยานครบริรักษ์เจ้าเมือง ข้อมูลบางชุดที่ว่าเพียเมืองเเพนเป็นพี่น้องกับเจ้าจารย์แก้วนั้นเป็นไปได้น้อยเนื่องจากมีอายุห่างกันเกือบร้อยปี เอกสารเกี่ยวกับประวัติเมืองท่งและเชื้อสายเจ้าเมืองชี้ว่าเพียเมืองเเพน มีพี่น้องร่วมกัน 1 คน คือ เพี้ยศรีปาก (นา) หรือต่อมาคือพระยาเสนาสงคราม เจ้าเมืองพุทไธสงคนเเรก เพี้ยเมืองเเพนกับเพี้ยศรีปากทั้งคู่เป็นบุตรชายของท้าวพรราชวงศ์เมืองสุวรรณภูมิเหลนของเจ้าจารย์แก้ว หากเทียบลำดับศักราชทางประวัติศาสตร์จะใกล้เคียง พ.ศ. เกิดของเพียเมืองแพน เพียเมืองเเพนจึงควรเป็นทายาทชั้นเหลนของเจ้าจารย์เเก้ว หลักฐานเกี่ยวกับเจ้าจารย์แก้วเจ้าเมืองท่งองค์แรกมีความชัดเจนอย่างมากเนื่องจากปรากฏในเอกสารประวัติศาสตร์หลายเเห่ง พงศาวดารอีสานเเละพงศาวดารนครจำปาศักดิ์ระบุตรงกันว่าเจ้าจารย์แก้วเป็นเจ้าเมืองท่งใน พ.ศ. 2256 ขึ้นกับอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์ซึ่งห่างจากช่วงอายุของเพียเมืองแพนมาก ลำดับการสืบตระกูลของเจ้าเมืองมุกดาหารชี้ว่าเจ้าจารย์จันทสุริยวงศ์บิดาของเจ้าจันทกินรีเจ้าเมืองมุกดาหาร (บังมุก) องค์เเรกนั้นเป็นพี่น้องกับเจ้าจารย์เเก้วไม่ใช่พี่น้องของเพียเมืองเเพน จากหลักฐานที่ว่าเพียเมืองเเพนเป็นญาติสนิทกับเพียเมืองเเสน (คำพาว) จึงเป็นไปได้ที่เพียเมืองเเพนจะเป็นทายาทชั้นหลานหรือชั้นเหลนของเจ้าจารย์เเก้ว เอกสารพื้นเมืองท่งเเละเอกสารเกี่ยวกับประวัติเมืองศรีสะเกษเเละเมืองสุรินทร์ระบุตรงกันว่าเพียเมืองเเสน (คำพาว) หรือพระจันตประเทศเจ้าเมืองชลบทวิบูลย์องค์เเรกเป็นบุตรของท้าวอุ่นเจ้าเมืองศรีสะเกษองค์เเรกเเละเป็นหลานเจ้ามืดคำดลเจ้าเมืองท่งองค์ที่ 2 เพียเมืองแพนจึงไม่น่าจะมีถิ่นกำเนิดจากนครหลวงเวียงจันทน์เเละอพยพมาทีหลัง เเต่กำเนิดที่เมืองท่งตั้งเเต่ต้น บิดาของเพียเมืองแพนคือท้าวพร (ราชวงศ์พร) ท้าวพรเป็นบุตรชายคนสุดท้องของเจ้าเซียงเจ้าเมืองท่งองค์ที่ 4 เจ้าเซียงเป็นบุตรเจ้ามืดคำดลปู่ของเพียเมืองเเสน (คำพาว) ซึ่งตรงกับข้อมูลที่ว่าเพียเมืองแสน (คำพาว) กับเพียเมืองแพนเป็นญาติสนิทกัน จึงพออนุมานความเป็นไปได้มากที่สุด คือ เพี้ยเมืองเเพนเป็นลูกหลานของเจ้าจารย์เเก้ว มีพี่น้องร่วมกัน 1 คน คือ เพี้ยศรีปาก (นา) มีถิ่นกำเนิดที่เมืองท่งศรีภูมิ พอโตเป็นหนุ่ม บิดา (ราชวงศ์พร) จึงส่งเพี้ยเมืองเเพนซึ่งเป็นกรมการเมืองสุวรรณภูมิอยู่ก่อนเเล้ว ออกจากเมืองท่งไปทำราชการเป็นขุนนางที่เมืองเวียงจันทน์เเทน นอกจากกรณีของเพี้ยเมืองเเพน กรณีที่เมืองท่งส่งลูกหลานออกไปทำราชการที่เมืองอื่นนอกอาณาเขตของเมืองตนเองนั้นเคยมีการส่งออกไปอยู่หลายครั้ง หลายหน เช่น กรณีที่มีการส่งท้าวอุ่น บุตรชายคนสุดท้องของเจ้ามืดคำดล ออกไปทำราชการที่เมืองขุขันธ์ ไปดำรงตำเเหน่งปลัดเมืองขุขันธ์ เนื่องจากท้าวอุ่นมีความดีความชอบจากการไปช่วยราชการสงครามรบกับเวียงจันทน์ ซึ่งต่อมา ท้าวอุ่นได้เป็นที่ พระยารัตนวงศา เจ้าเมืองศรีสะเกษคนเเรก ในเวลาต่อมา หรือกรณีท้าวบุญจันทน์ลูกหลานของเจ้าจารย์เเก้วสายหนึ่ง ที่ถูกส่งไปทำราชการที่เมืองรัตนบุรี ซึ่งต่อมาได้เป็นที่ พระศรีนครชัย เจ้าเมืองรัตนบุรีคนที่ 2 เเทนพระศรีนครเตาท้าวเธอ เจ้าเมืองรัตนบุรีคนเก่า เป็นต้น ภายหลังเพี้ยเมืองเเพนจึงได้ไปมีครอบครัวที่นครหลวงเวียงจันทน์ซึ่งเป็นที่ที่ตนได้ทำราชการอยู่ ต่อมาในช่วงที่นครเวียงจันทน์ถูกกองทัพจากกรุงธนบุรีรุกรานเเละกำลังจะถูกยึด เพี้ยเมืองเเพนจึงได้เเยกจากครอบครัวของตนอพยพลี้หนีภัยกลับมาพำนักที่ถิ่นฐานเดิมซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของตน อย่างเมืองท่งศรีภูมิหรือเมืองสุวรรณภูมิ เเล้วจึงกลับมาทำราชการเป็นกรมการเมืองสุวรรณภูมิตามเดิม ก่อนที่ต่อมาจะขอเเยกตัวออกจากเมืองสุวรรณภูมิไปตั้งเมืองขึ้นใหม่เป็นเมืองขอนเเก่น ในเวลาต่อมา อนิจกรรมเพียเมืองแพนปกครองเมืองขอนแก่นนาน 22 ปีจึงถึงแก่อนิจกรรม ท้าวจามผู้บุตรรับตำแหน่งพระนครศรีบริรักษ์เจ้าเมือง เนื่องจากบ้านบึงบอนตั้งใกล้ชิดเมืองชลบถจึงย้ายเมืองไป ณ ดอนพันชาติหรือดงพันชาติปัจจุบันคือบ้านโนนเมือง ตำบลแพง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ทายาทเพียเมืองแพนมีบุตรธิดา 3 (หรือ 5) ท่านคือ
อนุสาวรีย์ชาวขอนแก่นพร้อมกันสร้างอนุสาวรีย์พระนครศรีบริรักษ์ขึ้นใน พ.ศ. 2525 ณ ทิศเหนือริมบึงแก่นนคร[64] บริเวณสนาม เจ ซี (เดิม) ข้างสถานีโทรทัศน์ช่อง 11[65][66] อนุสาวรีย์อีกแห่งประดิษฐาน ณ วัดธาตุ (พระอารามหลวง) โดยจารึกนามยศว่าพระยาศรีนครบริรักษ์ อ้างอิง
|