โตโยต้า ไฮลักซ์
โตโยต้า ไฮลักซ์ (อังกฤษ: Toyota Hilux) หรือที่คนไทยเรียกติดปากว่า ไฮลักซ์ วีโก้ (Hilux Vigo) (ในรุ่นที่ 7) / ไฮลักซ์ รีโว่ (Hilux Revo) (ในรุ่นที่ 8) เป็นรถกระบะที่ได้รับการผลิตและพัฒนาโดยโตโยต้า เพื่อมาแทนรถกระบะรุ่นเก่าคือโตโยต้า สเตาท์ (Toyota Stout) เริ่มผลิตครั้งแรกใน พ.ศ. 2511 จนถึงปัจจุบันมีวิวัฒนาการตามช่วงเวลา 8 รุ่น (โฉม) รุ่นที่ 1 (N10; พ.ศ. 2511)
โฉมแรกนี้เริ่มผลิตครั้งแรกในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2511 โดยใช้ชื่อรุ่นว่า Hilux ซึ่งมาจากคำว่า "Highly-Luxurious" แปลว่า หรูหราเหนือระดับ ซึ่งในที่นี้หมายความว่าหรูหรามากกว่าโตโยต้า สเตาท์ ในสมัยนั้น โฉมแรกนี้มีรหัสตัวถัง RN10 มีขายในสหรัฐด้วย แต่จะมีรถแบบเดียวคือแบบรุ่นมาตรฐาน 2 ประตู เกียร์ธรรมดา 4 สปีด ขับเคลื่อนล้อหลัง (สมัยนั้นยังไม่มีการนำเกียร์อัตโนมัติและเกียร์ธรรมดา 5 สปีด มาใช้ในไฮลักซ์) ส่วนเครื่องยนต์จะใช้ขนาด 1,490 ซีซี 2R I4 ในช่วงแรก แต่ต่อมาใน พ.ศ. 2514 ไฮลักซ์ก็ได้เปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์ 1,587 ซีซี 12R I4 ยกเว้นในสหรัฐอเมริกา ที่จะใช้เครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่า คือ เริ่มจาก 1,897 ซีซี 3R I4 85 แรงม้า, แล้วเปลี่ยนเป็น 1,858 ซีซี 8R SOHC I4 97 แรงม้าใน พ.ศ. 2513 และเป็น 1,968 ซีซี 18R SOHC I4 108 แรงม้า ใน พ.ศ. 2515 รุ่นที่ 2 (N20; พ.ศ. 2515)
โฉมที่สองนี้ รหัสตัวถัง RN20 มีการปรับปรุงให้มีความสะดวกสบายในห้องโดยสารมากขึ้น ใช้เครื่องยนต์ 1,587 ซีซี 12R I4 ยกเว้นในสหรัฐที่ใช้เครื่องยนต์ 1,968 ซีซี 18R SOHC I4 108 แรงม้า ซึ่งต่อมาเครื่องยนต์นี้ถูกนำไปขายควบคู่เป็นทางเลือกกับเครื่อง 1,587 ซีซี นอกสหรัฐใน พ.ศ. 2520 พ.ศ. 2518 ไฮลักซ์มีการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ ให้มีขนาดใหญ่และสะดวกสบายขึ้นอีก มีการนำระบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด มาใช้ในไฮลักซ์เป็นครั้งแรก ใช้เครื่องยนต์ 2,189 ซีซี 20R SOHC I4 96 แรงม้า ทำให้ผู้ซื้อในอเมริกัน ตั้งชื่อเล่นให้มันว่า Pickup เป็นต้นกำเนิดของคำว่าปิกอัพ ซึ่งต่อมาคำนี้ก็กลายเป็นคำศัพท์ที่แปลว่ารถกระบะ รุ่นที่ 3 (N30, N40; พ.ศ. 2522)
พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) เป็นการเปลี่ยนรูปโฉมของตัวรถ เริ่มมีทรวดทรงที่เป็นไปตามหลักอากาศพลศาสตร์ ด้วยลักษณะของความโค้งมนทางด้านหน้ารถ และใช้ไฟหน้าในรูปแบบไฟกลม เรียกว่ารุ่น Hilux Super Star รหัส RN30 ซึ่งจะมีแบบช่วงยาว ให้เลือกหาในรุ่น RN40 เครื่องยนต์ยังเป็น 12R เหมือนเดิม ตัวแรกใช้ไฟหน้ากลม พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) เป็นการเปิดศักราชการใช้ เครื่องยนต์ดีเซล ในรถกระบะ Toyota ครั้งแรก โดยติดตั้งบนบอดี้ Hilux Super Star เครื่องยนต์รหัส L 2,200 ซีซี วงการสมัยเรียกว่า “รุ่นกรุง ศรีวิไล” และเปลี่ยนโคมไฟหน้าแบบสี่เหลี่ยมมน นอกจากนั้นยังมีรุ่น 4WD ซึ่งถือได้ว่าเป็นรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อที่ถูกส่งเข้ามาอย่างเป็นทางการรุ่นแรก โดยเป็นการสั่งเข้ามาใช้ของหน่วยงานราชการได้แก่ กรมป่าไม้, กรมแผนที่ทหาร โฉมนี้ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "ม้ากระโดด" เป็นโฉมแรกที่ไฮลักซ์มีการผลิตรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ และเป็นโฉมที่มีการใช้เกียร์อัตโนมัติกับไฮลักซ์ โดยโฉมบุกเบิกนี้จะเป็นเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีด ขายควบคู่กับเกียร์ธรรมดา 4 และ 5 สปีด ทำให้ไฮลักซ์ได้เข้าสู่วงการรถเอสยูวี (SUV) และรถโตโยต้า โฟร์รันเนอร์ (4Runner) ก็เป็นรุ่นที่แตกหน่อออกมาจากไฮลักซ์โฉมนี้ รุ่นที่ 4 (N50, N60, N70; พ.ศ. 2527)
โฉมนี้เป็นโฉมแรกที่ไฮลักซ์มีการผลิตกระบะรุ่นที่นั่ง 2 แถว 2 ประตู (เอ็กซ์ตร้าแค็บ) ขายคู่กับที่นั่ง 1 แถว 2 ประตูแบบดั้งเดิม (ซิงเกิลแค็บ) พรีเซ็นเตอร์โดย เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ พ.ศ. 2529 สหรัฐหยุดการนำเข้าโตโยต้า ไฮลักซ์ อย่างไม่ทราบเหตุผล ในช่วงเวลาของปี พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) ได้มีการขยับขยายจัดตั้งโรงงานประกอบและผลิตเครื่องยนต์โดยการร่วมทุนกับบริษัท สยามซีเมนต์ จำกัด และผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ ในประเทศไทย ด้วยการก่อตั้ง บริษัท สยามโตโยต้าแมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ขึ้น พร้อมกันนั้นก็ได้ทำการเปิดตัวรุ่น Hilux Hero ซึ่งจะยังคงใช้โครงสร้างหัวเก๋งทรงเดิม แต่เปลี่ยนส่วนประกอบอื่นๆ เช่นหน้ากระจัง ให้เป็นทรงใหม่พร้อมกับเปลี่ยนเครื่องยนต์ดีเซล มาเป็นรุ่นที่พัฒนาขึ้นมาใหม่เป็น 2L II ที่มีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นมาอีก 2kw แต่แรงบิดสูงสุด จะใช้รอบเครื่องสูงขึ้นไปอีกนิด เป็นที่ 2,400 รอบ แล้วเปลี่ยนเครื่องเบนซิน ให้เป็นรหัส 2Y ที่มีความจุมากขึ้นเป็นระดับ 1,800 ซีซี. นอกจากนั้นก็ยังจะเริ่มมีรุ่นดับเบิ้ลแค็บออกมา ให้สั่งทำผ่านทางผู้แทนจำหน่ายในฐานะ รถกระบะดัดแปลง โดยในช่วงท้ายๆ ของรุ่นยังได้นำรูปแบบ X-tra Cab ออกมาต่อสู้กับคู่แข่งเป็นครั้งแรก แต่ด้วยเหตุที่รูปแบบมาตรฐาน ที่มีใช้อยู่กับรุ่นที่ขายในอเมริกา จะมีส่วนของแค็บที่ยืนออกไปทางด้านหลังแค่กระติ๊ดเดียว จึงมีการออกแบบดัดแปลงเฉพาะแค่รุ่นในประเทศไทย ให้ใหญ่และยาวขึ้นแถมยังมีส่วนของ หลังคา เป็นแบบ Hi-roof น้อยๆ อีกด้วย โฉมนี้เป็นที่รู้จักในประเทศไทยว่า โตโยต้า ไฮลักซ์ เฮอร์คิวลิส (Toyota Hilux Hercules) ในช่วงต้น และต่อมาเปลี่ยนไปใช้ชื่อว่า โตโยต้า ไฮลักซ์ ฮีโร่ (Toyota Hilux Hero) โดยยังคงใช้ตัวถังเดิมที่มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย รุ่นที่ 5 (N80, N90, N100, N110; พ.ศ. 2532)
โฉมนี้เป็นโฉมแรกที่ไฮลักซ์มีบอดี้แบบ 2 แถว 4 ประตู (ดับเบิ้ลแค็บ) เกียร์อัตโนมัติเพิ่มจาก 3 สปีด เป็น 4 สปีด และไฮลักซ์ได้รับรางวัล Truck of the Year (รถบรรทุกแห่งปี) ประจำปี พ.ศ. 2532 โฉมนี้ประสบความสำเร็จดีมากและผลิตอยู่นานถึง 9 ปี บริษัทฟ็อลคส์วาเกิน (Volkswagen) ได้เซ็นสัญญาดูแลและนำไฮลักซ์เฉพาะโฉมนี้เข้าสู่ตลาดรถยนต์ในเยอรมนี ในชื่อ ฟ็อลคส์วาเกิน ทาโร (Volkswagen Taro) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 ถึงปี พ.ศ. 2540 ใน พ.ศ. 2538 โตโยต้าได้ผลิตรถกระบะรุ่นโตโยต้า ทาโคมา (Toyota Tacoma) เพื่อส่งรถกระบะโตโยต้าเข้าตลาดสหรัฐอีกครั้งแทนรุ่นไฮลักซ์ที่จู่ ๆ สหรัฐก็หยุดนำเข้าไปตั้งแต่ พ.ศ. 2529 ส่วนในประเทศไทย โฉมนี้เป็นที่รู้จักในนาม โตโยต้า ไฮลักซ์ ไมตี้เอ็กซ์ (Toyota Hilux Mighty-X) ซึ่งจำหน่ายในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533–2541 ซึ่งในประเทศไทยมีการจำหน่ายทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ แบบช่วงยาวตอนเดียว แบบตอนครึ่ง และแบบ 4 ประตู และมีการแบ่งรุ่นของโฉมนี้ออกเป็น 4 รุ่น ดังนี้
รุ่นที่ 6 (N140, N150, N160, N170; พ.ศ. 2541)
โฉมแรก Hilux tiger กระจังหน้า 2 เส้นแนวนอนในช่วงปลายปี พ.ศ. 2541 หรือ ค.ศ. 1998 Toyota Hilux ก็ได้มีการเปลี่ยนโครงสร้างของตัวรถด้วย โฉมที่เรียกชื่อเพิ่มต่อจากเดิมว่า Tiger โดยการแนะนำตัวในครั้งแรกจะมีมากันแบบครบเครื่องทั้งแบบ 4x2 และ 4x4 พร้อมด้วยแหล่งพลังในรูปแบบดีเซลล้วนๆ สองเครื่องนั่นคือ 2L II ตัวดั้งเดิม และ 5L ตัวใหม่ในระดับ 3,000 ซีซี แต่ปรากฏว่าพลังที่ได้จากเครื่องใหม่ที่มีขนาดความจุเพิ่มขึ้นมาอีกมิใช่น้อยนั้นกลับไม่ค่อยเป็นที่น่าประทับใจนักทั้งในเรื่องของความแรงและความประหยัด โฉมปี 2000 Hilux tiger กระจังหน้าจะมีเส้นสีดำอยู่ตรงกลางในอีกสองปีต่อมาคือ พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) ที่มีการบังคับใช้ข้อกำหนดในเรื่องของ ค่าไอเสีย มิให้พ่นมลภาวะออกมาในระดับที่เทียบได้กับ ยูโร II เพื่อเป็นการรองรับมาตรการคุมเข้มดังกล่าวจึงได้มีการปรับปรุงเพิ่มเติมด้วย การนำชุดควบคุมอิเล็คทรอนิคส์มาติดตั้งเข้าไประบบปั๊มหัวฉีดจนกลายมาเป็น 5L-E ที่ให้พลกำลังเพิ่มขึ้นมาอีกนิด พร้อมกันนั้นก็นำความแรงในพิกัด 3,000 ซีซี-เทอร์โบที่ได้มาจาก 1KZ-TE เพิ่มเข้ามาในแถวและจัดให้เป็นรุ่นสุดยอด ซึ่งปรากฏว่าสถานการณ์โดยรวมก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจนัก โฉมสุดท้าย Hilux Tigerในปี พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) นี้ จึงต้องนำเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในระดับ Direct Injection-DOHC-16 Valve-Turbo-Commonrail ได้เข้ามาเสริมขบวนดังที่เป็นเครื่องยนต์ล่าสุดอยู่ในปัจจุบัน ในรหัส 2KD-FTV เครื่องยนต์ของ D-4D (Diesel 4 Stroke Direct Injection) ปี 2003 และปี 2004 นั้น มีด้วยกัน 3 แบบ
นอกจากนั้นในเรื่องรูปทรงของตัวรถก็ยังได้นำรูปแบบ ดับเบิ้ลแค็บ ให้เข้าไปอยู่ในกลุ่มที่ออกมาจากสายพานการผลิต ซึ่งถือได้ว่าเป็นผลิตผลจากโรงงานโดยตรงไม่ใช่ รถกระบะดัดแปลง กันอีกแล้ว. รุ่นที่ 7 (AN10, AN20, AN30; พ.ศ. 2547)
โฉมนี้เป็นที่รู้จักในประเทศไทยอย่างล้นหลามในชื่อโตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้ (Toyota Hilux Vigo) สำหรับในประเทศไทยได้มีการเปิดตัวเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2547 การออกแบบเบื้องต้นของวีโก้ได้รับการคัดลอกนำไปใช้ในการออกแบบรถโตโยต้า อินโนวา (Toyota Innova) และโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ (Toyota Fortuner) ในประเทศไทยจะมีเครื่องยนต์ 5 ชนิด คือ เครื่องยนต์ ดีเซล 4 ชนิด และ เบนซิน 1 ชนิด ได้แก่
ไฮลักซ์ วีโก้ มีอยู่ 3 รุ่นหลักคือ
ประวัติการเปลื่ยนแปลง ก่อนปรับโฉม ปี พ.ศ. 2549 ปรับอุปกรณ์ เพิ่มเครื่องยนต์ 2.5 I/C เพิ่ม 2 สีใหม่ สีนํ้าเงิน และสีเทา พร้อมรุ่นพิเศษ Prerunner & 4X4 Exclusive และ 4X2 Limited ปรับโฉมครั้งที่ 1เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2551 ได้ทำการปรับโฉมใหม่ และเพิ่มทางเลือกรุ่น Smart Cab กระบะแค็บเปิดได้ ปี พ.ศ. 2552 มีการเพิ่มรุ่น Smart Cab 2.5 J ปี พ.ศ. 2553 ปรับอุปกรณ์ เพิ่มเครื่องยนต์ 2.5 VN TURBO เพิ่มสีขาวในรุ่นยกสูง พร้อมกระตุ้นตลาดด้วยรุ่นพิเศษ Exclusive และ Limited อีกครั้ง ปรับโฉมครั้งที่ 2 (Hilux Vigo Champ)เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ได้ปรับโฉมใหม่ทั้ง 2 รุ่น ด้วย Hilux Vigo Champ และ Toyota Fortuner ที่มาพร้อมกับดีไซน์โดดเด่น ด้วยการปรับโฉมใหม่รอบคัน และทั้งสองรุ่นนี้ ก็ได้พัฒนาเครื่องยนต์ เป็นเครื่องยนต์อัจฉริยะไดมอนด์เทค ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2555 ปรับอุปกรณ์เช่น ระบบช่วงล่าง DTS ระบบ Eco Navi พนักพิงด้านหลัง 3 จุดและเข็มขัดนิรภัยแบบ ELR ทุกที่นั่ง เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด เพิ่มรุ่นย่อย 6 รุ่นเช่น - รุ่นมาตรฐาน 2.5 J (VNT) - รุ่นสมาร์ทแค็บ 2.5 G (VNT) - รุ่นสมาร์ทแค็บ พรีรันเนอร์ 2.5 E ABS (Navi) - รุ่นดับเบิ้ลแค็บ พรีรันเนอร์ 2.5 E ABS (Navi) - รุ่นดับเบิ้ลแค็บ พรีรันเนอร์ 2.5 E ABS 5AT - รุ่นดับเบิ้ลแค็บ พรีรันเนอร์ 2.5 E ABS 5AT (Navi) และตัดรุ่น Extra Cab 2.5 J และมีรุ่น TRD Sportivo ด้วยชุดแต่งรอบคัน และช่วงล่าง DTS Plus ในช่วงต่อมา เดือน กันยายน พ.ศ. 2556 ปรับอุปกรณ์ ด้วยสีภายในโทนใหม่สีดำ และมาพร้อมกับถุงลมนิรภัยคู่หน้าทุกรุ่น เดือน เมษายน พ.ศ. 2557 ปรับโฉมรุ่น TRD Sportivo ด้วยการปรับชุดแต่งใหม่ และสปอร์ตบาร์ในรุ่นดับเบิ้ลแค็บ[ต้องการอ้างอิง] รุ่นที่ 8 (AN120, AN130; พ.ศ. 2558 – ปัจจุบัน)
โตโยต้า ไฮลักซ์ โฉมที่ 8 ได้เผยโฉมครั้งแรกในโลกที่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 ที่ศูนย์การแสดงนิทรรศการ ไบเทค บางนา[15] และได้เริ่มจำหน่ายวันแรก เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 และในวันเปิดตัวก็มีการถ่ายทอดสดผ่านทางฟรีทีวีให้ผู้ชมได้รับชมด้วย อีกทั้งได้จัดงานเปิดตัวใน 4 จังหวัด 4 ภาคคือ ที่ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดชลบุรี และ จังหวัดสงขลา[15] โฉมนี้ได้ใช้ชื่อท้ายรุ่นว่า รีโว่ (Revo) 22 มีนาคม พ.ศ. 2559 ได้เพิ่มรุ่น TRD Sportivo มาพร้อมกับชุดแต่งรอบคัน ทั้งภายนอกและภายใน มาพร้อมกับช่วงล่าง DCS พัฒนาใหม่ ออกแบบและพัฒนาโดย TRD ต่อมาในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2559 ได้ทำการปรับอุปกรณ์ในรุ่น E เช่น แผงตกแต่งคอนโชลภายใน จากสีดำเป็นสีโครเมื่ยม เพิ่มรุ่นย่อย E Plus และ ลดอุปกรณ์เลือกเพิ่มในรุ่น J,J Plus และ E เช่น ระบบไฟส่องสว่างหลังดับเครื่องยนต์ / ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ / ระบบปรับไฟสูง-ตํ่าอัตโนมัติ / ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน DRL (Daytime Running Light) ส่วนรุ่น Double Cab 2.4 E Plus,G ยกสูง และรุ่น Smart Cab E Plus,G ยกสูง ได้ปรับเปลี่ยนไฟหน้าใหม่ จากเดิม ไฟหน้าฮาโลเจนมัลติรีเฟลกเตอร์ มาเป็น ไฟหน้าโปรเจกเตอร์ LED พร้อม ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน DRL (Daytime Running Light) แบบ LED แทน ต่อมาในกลางเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2560 ได้เพิ่มรุ่นมาตรฐาน 2.4 J แค็บและแชสซีส์ ในราคา 516,000 บาท ต่อมาในกลางเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2560 ได้ปรับเล็กน้อยเช่น กระจกไฟเลื้ยวรมดำ เพิ่มไฟส่องห้องโดยสารเปิดอัตโนมัติ และไฟส่องตำแหน่งกุญแจในรุ่น J Plus ยกเลิกรุ่น 2.7 Double Cab 4X2 รุ่นปรับโฉม (2017)หลังจากยอดขาย Isuzu D-Max แซงเป็นอันดับ 1 แทน Toyota Hliux Revo จึงต้องรีบปรับโฉมอย่างกะทันหัน เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 เช่น กระจังหน้า,กันชนหน้า,ไฟตัดหมอก เป็นดีไชน์ใหม่หมด ส่วนรุ่น MY2017 ชึ่งมาในโฉมเดิมแต่เพิ่มอุปกรณ์เลือกเพิ่มให้มากขึ้น รวมถึงการเพิ่มรุ่น Rocco เครื่องยนต์ 2.8 ลิตร ทั้งแบบ Double Cab และ Smart Cab วันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2561 Toyota Hilux Revo ได้เปลื่ยนเกียร์ธรรมดาจาก 5 เป็น 6 สปีด ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ เพิ่มเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ในรุ่นมาตรฐาน ขับเคลื่อน 2 ล้อ, Smart Cab ขับเคลื่อน 2 ล้อ, Double Cab ขับเคลื่อน 2 ล้อ ยกเลิกรุ่น MY2017 และ รุ่นเครื่องยนต์ 2.7 ลิตร ส่วนรุ่น 2.8 G Double Cab มีการเพิ่มระบบ T-Connect Telematics รวมถึงการเพิ่มรุ่น Rocco 2.4 ลิตร วันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2562 เปิดตัวรุ่น Z Edition ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ทั้ง Smart Cab และ Double Cab ปรับกันชนหน้าและกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ วันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2562 โตโยต้าได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และมุ่งมั่นที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดมลพิษทางอากาศมาโดยตลอด จึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถรองรับการใช้น้ำมันไบโอดีเซล B20 วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เปิดตัวรุ่นแต่งพิเศษ ECU ULTRA BOOST โดยกล่องเพิ่มสมรรถนะเครื่องยนต์ จะทำงานร่วมกับ ECU หลักของเครื่องยนต์ ช่วยเพิ่มพละกำลังสูงสุด 204 แรงม้า 518 นิวตันเมตร รุ่นปรับโฉมครั้งที่ 2 (2020)เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2563 เป็นการปรับโฉม Minorchange รอบที่ 2 คราวนี้ทำการเปลี่ยนงานออกแบบด้านหน้าตัวรถอีกครั้ง พร้อมกับการจูนเครื่องยนต์ใหม่ ให้มีพละกำลังแรงขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ด้านท้ายรถยังมีการเปลี่ยนดีไซน์ไฟท้ายใหม่อีกด้วย งานดีไซน์ของ Toyota Hilux REVO Minorchange มีความเปลี่ยนแปลงดังนี้ เช่น ไฟหน้า Bi-Beam LED, กระจังหน้า, กันชนหน้า, ล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว และ ไฟท้าย ดีไซน์ใหม่ ส่วนภายในห้องโดยสาร แดชบอร์ดจะใช้ดีไซน์เดิม แต่มีการเปลี่ยนชิ้นส่วนต่างๆ เล็กน้อย เช่น ชุดมาตรวัด, หน้าจอเครื่องเสียงระบบสัมผัส Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว, วัสดุตกแต่งภายในห้องโดยสาร ดีไซน์ใหม่ และ ระบบเครื่องเสียง รองรับ Apple CarPlay™ และ Android Auto™ นอกเหนือจากงานดีไซน์ที่ปรับเปลี่ยนไปแล้ว ส่วนสำคัญที่มีการปรับเปลี่ยนเป็นครั้งแรก นับจากที่ Toyota Hilux REVO เปิดตัวคือ ” เครื่องยนต์ ” จะมีการจูนเพิ่มพละกำลังในเครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร VN เทอร์โบ รหัส 1GD-FTV Super Power เพิ่มพละกำลัง เป็น 204 แรงม้า 500 นิวตันเมตร (เพิ่มจากเดิม 27 แรงม้า 50 นิวตันเมตร) และยังติดตั้งระบบ Toyota SAFETY SENSE มาให้ใน Toyota Hilux REVO รุ่น ROCCO
ระบบความปลอดภัยก่อนการชน และเบรกอัตโนมัติ Pre-Collision System ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมหน่วงพวงมาลัยอัตโนมัติ Lane Keeping Assist ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Dynamic Radar Cruise Control Hilux Revo Gazoo Racing Sportล่าสุด Toyota ประเทศไทย เตรียมเปิดตัว Hilux Revo เพิ่มรุ่นพิเศษ GR Sport เปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทย 25 สิงหาคม 2564
-ไฮลักซ์ รีโว่ GR Sport ยกสูงขับเคลื่อน 4 ล้อ (Hi-Floor (4x4)) ราคา 1,299,000 บาท -ไฮลักซ์ รีโว่ GR Sport ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง (Lo-Floor (RWD)) ราคา 889,000 บาท ต่อมาในเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2564 Toyota Hilux Revo ได้ทำการปรับเพิ่มอุปกรณ์ในรุ่นยกสูงทั้ง Rocco , Prerunner , 4x4 ขับเคลื่อน 4 ล้อ (ในรูปแบบ MY2022) เช่น กระจังหน้าสีโครเมี่ยมและดำเงา (เพิ่มในรุ่นเกรด Entry ขึ้นไป) , ไฟหน้าโปรเจกต์เตอร์ Bi-Beam LED (เพิ่มในรุ่นเกรด Entry ขึ้นไป) , เบาะนั่งแบบหนังสังเคราะห์แท้สีดำพร้อมปรับระดับไฟฟ้า 8 ทิศทางฝั่งผู้ขับขี่ (เพิ่มในรุ่นเกรด Mid ขึ้นไป) , เครื่องปรับอากาศแบบ Dual Zone (2 โซน) แยกอิสระ ซ้าย-ขวา (ในรุ่น Rocco และ รุ่นเกรด High) , กล้องมองรอบทิศทาง Panoramic View Momitor 360 องศา (ในรุ่น Rocco และ รุ่นเกรด High) , ระบบแจ้งเตือนในมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง Blind Spot Monitor (ในรุ่น Rocco และ รุ่นเกรด High) , ระบบแจ้งเตือนในขณะถอยรถหรือมีรถในจุดอับสายตา Rear Cross Traffic Alert (ในรุ่น Rocco และ รุ่นเกรด High) , เซ็นเซอร์เตือนกะระยะ 6 จุดรอบคัน Park Sensor (เพิ่มในรุ่นเกรด Mid ขึ้นไป) ปรับโฉมใหม่ Toyota Hilux REVO D (MY2022) และเพิ่มรุ่นพิเศษ ฉลอง 60 ปี Toyotaล่าสุด Toyota ประเทศไทย เตรียมเปิดตัว Hilux REVO D รุ่นปรับอุปกรณ์ MY2022 ในวันที่ 2 สิงหาคม นี้! โดยความเปลี่ยนแปลงเบื้องต้น มีดังนี้
ปีนี้ เป็นวาระฉลองครบรอบ 60 ปี โตโยต้า ประเทศไทย…ร่วมขับเคลื่อนอนาคต ในฐานะมีส่วนร่วมในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย มีโรงงานประกอบรถยนต์หลักทั้งสิ้น 3 แห่ง มีกำลังการผลิตมากถึง 770,000 คันต่อปี ผลิต และ จำหน่ายรถยนต์ในประเทศสะสมกว่า 7,000,000 คัน ยกระดับสู่การเป็นฐานการผลิตรถยนต์หลักในระดับภูมิภาคเพื่อส่งออกสู่ตลาดโลกกว่า 5,000,000 คัน รวมเป็นยอดผลิตสะสมทั้งสิ้นกว่า 11,000,000 คัน Toyota Hilux REVO เตรียมเปิดตัวรุ่นพิเศษ 60th Anniversary ฉลองครบรอบ 60 ปี โตโยต้า ประเทศไทย ทั้งรุ่น Smart Cab / Double Cab ราคาตั้งแต่ 720,000 – 1,301,000 บาท (มีจำนวนจำกัด 1,480 คัน ในจำนวนทั้งหมด 19 รุ่น) มีรายละเอียดดังนี้
พิเศษสามารถเลือก Option เสริม “ Hunt Your Uniqueness ” จากทาง Toyota ประเทศไทย จัดผ่านทางเว็บไซต์ www.toyota.co.th/greyhunt ให้ลูกค้า ได้ร่วมสนุกกับการตามหา เพื่อเป็นเจ้าของรถรุ่นนี้ที่มีการ Wrap Sticker หุ้มตัวรถเปลี่ยนสีด้วยสติกเกอร์คุณภาพสูง เป็น สีเทา Laminated Grey ได้ในราคา 57,000 บาท เพียงโชว์รูมละ 1 คันเท่านั้น โดยจะพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้าในช่วงเดือน มิถุนายน – พฤศจิกายน นี้ TOYOTA HILUX REVO D MODELLISTAปรากฏการณ์ครั้งแรกในประเทศไทย ที่ Brand อุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ระดับโลกของ TOYOTA ภายใต้ Brand MODELLISTA และ Fashion designer ชั้นนำของประเทศไทยอย่าง ASAVA ได้จับมือกันรังสรรค์ Collection เสื้อผ้าสุดพิเศษขึ้นโดยเฉพาะ ภายใต้แนวคิดแห่งความทันสมัย หรูหรา และใช้ได้ในชีวิตจริง สะท้อนภาพลักษณ์อันคล้ายคลึงกันของ MODELLISTA ที่ช่วยชูภาพลักษณ์แห่งความหรูหราให้กับรถยนต์ และผู้ครอบครองเป็นเจ้าของรถยนต์ TOYOTA ชุดแต่งพิเศษ + เพิ่ม 59,500 บาท
รุ่นปรับโฉมครั้งที่ 3 พร้อมรุ่น GR Sport 4x4 Widebody (2024)Toyota Hilux Revo Z Edition 2024 ใหม่ ปรับดีไซน์เน้นความโฉบเฉี่ยว เพิ่มระบบ VSC และ HAC เป็นอุปกรณ์มาตรฐานทุกรุ่นย่อย มีให้เลือกทั้งตัวถัง Smart Cab และ Double Cab เคาะราคาจำหน่าย 669,000 - 862,000 บาท อัพเกรด เครื่องยนต์รองรับมาตรฐาน EURO4 เป็น EURO5 เพิ่ม ระบบ DPF : Diesel Particulate Filter Regeneration ทำความสะอาดคราบเขม่า เปลี่ยน กระจังหน้า, กันชนหน้า ดีไซน์ใหม่ เปลี่ยน มือเปิดประตูภายนอก, กระจกมองข้าง เป็น สีดำเงา Gloss Black เปลี่ยน สเกิร์ตกันชนท้าย ดีไซน์ใหม่ (Double Cab MID) เปลี่ยน ไฟหน้า, ไฟตัดหมอกหน้า เป็น สีรมดำ Smoke Chrome (รุ่น MID) เพิ่ม ระบบควบคุมการทรงตัว VSC, ระบบป้องกันการลื่นไถล TRC และ ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC (ทุกรุ่นย่อย) เปลี่ยน หน้าจอเครื่องเสียง Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว แบบ Capacitive ราคาเพิ่มจาก Z-Edition รุ่นเดิม +30,000 บาท อัพเกรด พละกำลัง เครื่องยนต์ดีเซล 2.8 VN Turbo จาก 204 เป็น 224 แรงม้า, แรงบิด เครื่องยนต์ดีเซล 2.8 VN Turbo จาก 500 เป็น 550 นิวตันเมตร และ เครื่องยนต์รองรับมาตรฐาน EURO4 เป็น EURO5 เพิ่ม ระบบ DPF : Diesel Particulate Filter Regeneration ทำความสะอาดคราบเขม่า เปลี่ยน กล่อง Engine ECU ควบคุมระบบเครื่องยนต์ ใหม่ จูน Software โปรแกรมเครื่องยนต์ และ เกียร์ ใหม่ เพิ่ม แรงดัน Commonrail จาก 265 เป็น 275 Mpa. เพิ่ม ขนาดตัวรถ กว้างขึ้น 120 มิลลิเมตร / สูงขึ้น 15 มิลลิเมตร เพิ่ม ระยะต่ำสุดถึงพื้น Ground Clerance สูงขึ้น 37 มิลลิเมตร เพิ่ม ระยะฐานล้อหน้า กว้างขึ้น 140 มิลลิเมตร เพิ่ม ระยะฐานล้อหลัง กว้างขึ้น 155 มิลลิเมตร เพิ่ม องศาด้านหน้ารถ เชิดขึ้น 1 องศา สูงขึ้น 20 มิลลิเมตร เปลี่ยน ช็อคอัพหน้า/หลัง เป็นแบบ Monotube จัดวางตำแหน่งใหม่ ปรับจูน คอยล์สปริง ด้านหน้าใหม่ เพิ่ม อาร์มรับแรงสั่นสะเทือน เปลี่ยน เหล็กกันโคลงหน้า ขยายเส้นผ่านศูนย์กลางให้ใหญ่ขึ้น เปลี่ยน คอม้า และ ปีกนกล่าง ให้หนาขึ้น แข็งแรงมากขึ้น เพิ่ม ความแข็งแรงแนวเชื่อมที่ Frame Chassis เพิ่ม น้ำหนักตัวรถ 71 kg. จากเดิม 2,137 เป็น 2,208 kg. เปลี่ยน ล้ออัลลอย ขนาด 17 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ สีดำเงา Gloss Black เปลี่ยน ยางจาก HT เป็น AT All-Terrain BF Goodrich ขนาด 265/65 R17 เปลี่ยน ดิสก์เบรก ด้านหน้า จาก 16 เป็น 17 นิ้ว เพิ่ม ระบบดิสก์เบรก ด้านหลัง เปลี่ยน กันชนหน้า ดีไซน์ใหม่ เปลี่ยน กระจังหน้า ดีไซน์ใหม่ เปลี่ยน โป่งล้อ Fender ดีไซน์ใหม่ เปลี่ยน กันชนหลัง ดีไซน์ใหม่ พร้อมแผงกันกระแทกด้านหลัง RUPD เปลี่ยน หน้าจอเครื่องเสียง ดีไซน์ใหม่ ขนาด 10.25 นิ้ว เพิ่ม รองรับ Apple CarPlay / Android Auto แบบไร้สาย Wireless เพิ่ม กระจกมองหลัง แบบปรับลดแสงอัตโนมัติ เพิ่ม ที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย Wireless Charger เพิ่ม ช่องชาร์จ USB Type C 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ราคาเพิ่มจาก GR Sport รุ่นเดิม +160,000 บาท Gallery
โตโยต้า ไฮลักซ์ แชมป์ (AN120; พ.ศ. 2566 – ปัจจุบัน)
Toyota ประกาศเปิดตัว All-New Hilux Champ รถกระบะมหาชนขวัญใจคนไทยรุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมการสร้างประสบการณ์ในการซื้อแบบใหม่ ด้วยการนำเสนอโซลูชั่นในการดัดแปลงตัวรถได้หลากหลายรูปแบบ ตอบโจทย์ทุกการใช้งานทั้งในเชิงธุรกิจ และการใช้งานส่วนบุคคล เพื่อให้ทุกโอกาสเป็นไปได้ มร. อากิโอะ โตโยดะ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ได้กล่าวเมื่อเริ่มต้นโครงการ IMV 0 ว่า โปรเจ็กต์ใหม่นี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนรุ่นใหม่ของ IMV เท่านั้น แต่มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้อนาคตของเราดีขึ้น และสดใสยิ่งขึ้นไปพร้อมกับคนไทย” ด้วยคำพูดนี้ทำให้การพัฒนา IMV 0 กลับสู่แนวคิดเดิมของ IMV อีกครั้ง และตั้งชื่อรถรุ่นนี้ว่า “HILUX CHAMP” เพื่อแสดงถึงเจตจำนงค์อันคืนสู่ความยอดเยี่ยมจากจุดกำเนิดของ “HILUX VIGO CHAMP” นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า จุดเด่นของ All-New Hilux Champ นอกเหนือจากกระบะพื้นเรียบ แบบเปิดได้ 3 ทางแล้ว โครงสร้างรถที่ได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิด “Monozukuri” หรือ “Easy for Conversion” จึงทำให้ Hilux Champ เป็นโซลูชั่นในอุดมคติสำหรับภาคธุรกิจ หรือ Start up นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปตกแต่งหรือต่อเติมให้เข้ากับกิจกรรมสันทนาการได้หลากหลายไลฟ์สไตล์ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สนองความต้องการของลูกค้าชาวไทยให้ได้มากที่สุด โดยบริษัทมีผู้ประกอบการดัดแปลง Hilux Champ 8 แห่ง ที่อยู่ในโครงการนำร่องได้แก่ CARRYBOY รถบ้านเคลื่อนที่ (MOTORHOME) และรถติดตั้งตู้ขนส่งสินค้า (DRY BOX), MPC COOL รถติดตั้งตู้ขนส่งสินค้าแบบเก็บอุณหภูมิพร้อมเครื่องทำความเย็น (COOL BOX), CUBERYDER รถขายของเคลื่อนที่แบบน็อกดาวน์ (KNOCKDOWN MOBILE BUSINESS TRUCK), MKC รถขายของเคลื่อนที่แบบ 2 ด้าน (2 SIDES MOBILE BUSINESS TRUCK), TADANO รถเครนชนิดเคลื่อนที่ (MOBILE CRANE), TJM รถแคมป์ปิ้ง (CAMPING CAR), ECU SHOP และ PSP SHOP รถแต่งเพื่อความสวยงาม (STREET PACKAGE) คุณลักษณะเด่นของ HILUX CHAMP 1. Affordable Price ราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่าย ถูกกว่ารถกระบะตอนเดียวทั่วไป เหมาะสำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระดับพื้นฐานเพื่อเริ่มต้นธุรกิจ 2. Business – Focused ครอบคลุมธุรกิจทุกรูปแบบ ด้วยทางเลือกรุ่นย่อยที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นฐานล้อที่มีทั้งช่วงสั้น “Short Wheel Base” และช่วงยาว “Long Wheel Base” 2 รูปแบบการบรรทุกทั้งกระบะท้ายเรียบ และไม่มีกระบะท้าย รวมไปถึงเครื่องยนต์ที่มีถึง 3 ขนาด และมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา และเกียร์อัตโนมัติ ที่สำคัญกระบะท้ายยังเป็นพื้นเรียบเปิดได้ 3 ทาง และมีขนาดความจุมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาด 3. Compact Pick Up ขนาดกะทัดรัดคล่องตัว ด้วยรัศมีวงเลี้ยวที่แคบเทียบเท่ารถยนต์นั่งขนาดเล็ก สามารถเข้า-ออก ตามซอกซอยได้อย่างคล่องตัว 4. Durability ทนทาน เนื่องจากใช้พื้นฐานโครงสร้าง และเครื่องยนต์เดียวกับ Hilux REVO จึงไม่มีข้อกังขาเรื่องความทนทานอย่างแน่นอน 5. Easy for Conversion ง่ายต่อการดัดแปลง จุดขายหลักที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถลดต้นทุน และเวลาการดัดแปลงรถ เนื่องจากโครงสร้างแบบ “Monozukuri” ออกแบบมาเพื่อให้ง่ายต่อผู้ประกอบการดัดแปลงรถ อาทิเช่น การเตรียมพื้นที่สำหรับเจาะไว้ตามจุดต่างๆ กันชนที่สามารถถอดแยกชิ้นเปลี่ยนได้ ทำให้ลดค่าใช้จ่ายเรื่องการซ่อมบำรุง Toyota Hilux Champ มาพร้อมเครื่องยนต์ 3 ขุมพลัง
เหนือกว่ากับระบบเกียร์ที่เลือกได้ทั้ง เกียร์ธรรมดา 5 สปีด ตอบสนองฉับไว เร่งจังหวะได้ดั่งใจ เพิ่มความมั่นใจในทุกการขับ และเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อม Sequential Shift
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ โตโยต้า ไฮลักซ์
|