โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์
โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ (อังกฤษ: Toyota Fortuner) เป็นรถยนต์อเนกประสงค์สมรรถนะสูงขนาดกลาง (Mid-size SUV) ที่ผลิตและพัฒนาโดยโตโยต้า โดยเริ่มผลิตครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2547 ในประเทศไทย ซึ่งใช้โครงสร้างเดียวกันกับโตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้ หรือ โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ และโตโยต้า อินโนวา ในปัจจุบัน ฟอร์จูนเนอร์เป็นรถรุ่นที่ใกล้เคียงกับ อีซูซุ มิว-เซเว่น, มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต และฟอร์ด เอเวอเรสต์ ซึ่งเป็นรถ SUV ที่ใช้โครงสร้างเดียวกันกับรถกระบะ (อีซูซุ ดีแมคซ์, มิตซูบิชิ ไทรทัน และฟอร์ด เรนเจอร์ ตามลำดับ) หรือ PPV เช่นเดียวกัน นอกจากนี้รถรุ่นนี้ยังเป็นคู่แข่งขันทางการค้ากับรถ SUV รุ่นอื่นที่ไม่เข้าข่าย PPV แต่มีระดับราคาใกล้เคียงกัน เช่น ฮอนด้า ซีอาร์วี, เชฟโรเลต แคปติวา, นิสสัน เอ็กซ์เทรล เป็นต้น ในบางประเทศขายในชื่อ Toyota SW4 ซึ่งไม่มีขายในญี่ปุ่น สหรัฐ และยุโรป แต่เน้นขายในอาเซียนเป็นหลัก รุ่นที่ 1 รหัส AN50/AN60 (พ.ศ. 2547 - พ.ศ. 2558)ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2547 โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ได้เปิดตัวพร้อมกับ โตโยต้า อินโนวา ภายใต้โครงการ “IMV: Innovative International Multi-Purpose Vehicle” โดยในขณะนั้น โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ มีรูปทรงที่สวยกว่าคู่แข่ง ประกอบกับเครื่องยนต์ที่แรงที่สุดในเวลานั้น ทำให้ตั้งแต่เปิดตัว โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ นั้นกลายเป็นรถที่ขายดีที่สุดของรถประเภทเดียวกันในเวลานั้น ต่อจากนั้นในปี 2549 ได้เพิ่มรุ่นพิเศษ มาพร้อมกับสีขาวมุก หลังจากนั้นได้ปรับอุปกรณ์ใหม่ เช่น หัวเกียร์หุ้มหนัง / แผงบังแดดกำมะหยื่ / ระบบฟอกอากาศในช่องแอร์ / ที่วางแก้วด้านผู้โดยสารตอนหลัง ต่อมาในกลางเดือน มี.ค. 2550 เพิ่มรุ่นพิเศษ Smart มาพร้อมกับชุดแต่งสไตล์สปอร์ต (แบบเดียวกับชุดตกแต่ง TRD) และปลายเดือน ก.ย. ได้ปรับรุ่นย่อยของรุ่น 2.7 V จากรุ่น 4WD เป็น 2WD เครื่องยนต์ในฟอร์จูนเนอร์ รุ่นที่ 1
ปรับโฉมครั้งที่ 1ในวันที่ 5 สิงหาคม 2551 ได้มีการปรับโฉมบางส่วน (ไมเนอร์เชนจ์) ครั้งแรกปรับปรุงภายนอกใหม่ โดยภายนอกได้เปลี่ยนกระจังหน้าใหม่ พร้อมกับไฟหน้าใหม่เป็นโปรเจกเตอร์ การออกแบบไฟท้ายใหม่ ล้อแม็กลายใหม่ขนาด 17 นิ้ว มีระบบ VSC และ TRC เปลี่ยนจานเบรกให้ใหญ่ขึ้น เพิ่มระบบเสริมแรงเบรก BA, มีเครื่องเล่นดีวีดีพร้อมเนวิเกเตอร์ให้เลือก และเพิ่มรุ่นดีเซลขับเคลื่อน 2 ล้อ ต่อมาในเดือน เม.ย. 2552 เพิ่มรุ่นพิเศษ TRD Sportivo และ Aperto และปลายเดือน ต.ค. 2552 ได้ปรับโฉมใหม่ในรุ่น TRD Sportivo และ Aperto เช่นสเกิร์ตตกแต่งสปอร์ต และ ล้อรมดำ รวมถึงการปรับรุ่นย่อยเป็น 2.5 G 2WD จากเดิมรุ่น 3.0 G 4WD พร้อมยังเพิ่มสีตัวถัง สีขาว Super White ll ในรุ่น 3.0 V ปลายเดือน พ.ย. 2553 ปรับโฉมใหม่ในรุ่น TRD Sportivo อีกครั้ง พร้อมเพิ่มอุปกรณ์เพิ่มเติม ปรับโฉมครั้งที่ 2ในวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ปรับโฉมครั้งใหญ่ (บิ๊ก ไมเนอร์เชนจ์) พร้อมกับการเปิดตัวโตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้ แชมป์ โดยภายนอกมีการเปลี่ยนไฟหน้าเป็นซีนอน-โปรเจกเตอร์ พร้อมที่ฉีดไฟหน้า มีการออกแบบกระจังหน้า และไฟท้ายใหม่ซึ่งคล้ายโดนัท กันชนหน้าใหม่ มีไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง กันชนท้ายใหม่ โดยมีคิ้วสแตนเลสเขียนว่า FORTUNER เหนือกรอบทะเบียน ทับทิมที่กันชนทรงใหม่ ย้ายตัวอักษรบอกรุ่นเครื่องยนต์ไว้ด้านท้าย พรัอมกันนี้ยังได้เพิ่ม 2 สีตัวถังภายนอกใหม่ได้แก่ สีขาวมุก White Pearl CS และ สีเทานํ้าเงิน Dark Steel Mica ต่อมาเดือน มี.ค. 2555 ได้เพิ่มรุ่นตกแต่งพิเศษ TRD Sportivo และกลางเดือน ส.ค. 2555 ได้เปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติลูกใหม่ในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลจาก 4 จังหวะ เป็น 5 จังหวะ เพิ่มรุ่นย่อย 2.5 G เกียร์อัตโนมัติ และปรับกำลังรุ่น 3.0 ลิตร เป็น 171 แรงม้า หน้าตาภายนอกเหมือนเดิม ส่วนภายในเพิ่มระบบนำทาง Eco Navi พร้อมประมวลผลพฤติกรรมการขับขี่แบบ Real Time พร้อมเครื่องเล่น DVD และจอแสดงผลแบบสัมผัส ขนาด 6.1 นิ้ว ปลายเดือน พ.ย. 2556 ได้ปรับโฉมภายในสีดำใหม่ และ เปลื่ยนรุ่นย่อยจาก 2.5 G AT 2WD เป็น 2.5 V AT 2WD กลางเดือน เม.ย. 2557 ได้ปรับลุคใหม่ในรุ่น TRD Sportivo ด้วยกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ หน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว และจอแอลซีดีบนเพดาน 10.1 นิ้ว และปลายเดือน ส.ค. 2557 ได้เพิ่มรุ่นพิเศษ Midnightshine Edition โดยได้เพิ่มอุปกรณ์ ไฟหน้า-หลังรมดำ ล้ออัลลอยรมดำ และ กรอบไฟตัดหมอกโครเมียม รุ่นที่ 2 รหัส AN150/AN160 (พ.ศ. 2558 - ปัจจุบัน)
วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้จัดงานเปิดตัว “All New Fortuner” ภายใต้สโลแกน “New legend of the pride” ครั้งแรกในโลกที่ประเทศไทย และได้เริ่มจำหน่ายครั้งแรกวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 การออกแบบตัวรถมีความหรูหราทั้งภายในและภายนอก โดยการออกแบบภายนอกมีกระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์ใหม่, ไฟหน้า LED โปรเจกเตอร์แบบ Bi-Beam, เสารับสัญญาณวิทยุแบบ Shark Fin, กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว, ไฟตัดหมอกหน้าและหลัง, สปอยเลอร์หลัง พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED ,ล้ออัลลอย 18 นิ้ว, กันชนท้ายดีไซน์ใหม่, ไฟท้าย LED แบบ Light Guiding, เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง, ระบบนำทาง (Navigator) พร้อมเครื่องเล่น DVD หน้าจอแบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับ T-Connect และการเชื่อมต่อ Bluetooth, ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ สามารถควบคุมแรงลมอัตโนมัติ, ช่องเสียบอุปกรณ์ USB, iPOD และ AUX, เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift, ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift), กล้องมองหลังที่จะแสดงภาพบริเวณมุมมองด้านท้ายของรถ,ระบบควบคุมไฟหน้า เปิด-ปิด อัตโนมัติ, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control), ช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้ากระแสไฟฟ้า DC 12 โวลต์ และกระแสไฟฟ้า AC 220 โวลต์, ช่องเก็บของแบบ Cool Box ส่วนระบบความปลอดภัย มีระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC (Hill-start Assist Control), ระบบควบคุมการส่ายของส่วนพ่วงท้าย TSC (Trailer Sway Control), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC (Traction Control), ระบบควบคุมการทรงตัว VSC (Vehicle Stability Control), ระบบเบรก ABS (Anti-lock Braking System), ระบบเสริมแรงเบรก BA (Brake Assist), ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake-force Distribution), กล้องมองหลัง (ยกเว้นรุ่น 2.4 G MT), เซ็นเซอร์กะระยะการถอยหลัง (เฉพาะรุ่น 2.4 G MT), ใช้โครงสร้างนิรภัย GOA ช่วยดูดซับแรงกระแทกเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริเวณห้องโดยสาร, ระบบถุงลมเสริมความปลอดภัย 7 จุด, พวงมาลัยแบบยุบตัวได้, ระบบสัญญาณเตือนการโจรกรรม TDS (Theft Deterrent System) ปรับโฉมวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2563 บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้ปรับโฉมใหม่เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี และครั้งนี้ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่ มาพร้อมกันถึง 2 รุ่น 2 ดีไซน์ โดยมีรุ่นมาตรฐานและรุ่นพิเศษ ที่ใช้ชื่อรุ่นว่า “Legender” ในรุ่นปกติ รูปลักษณ์ภายนอก ที่ปรับดีไซน์กระจังหน้าใหม่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมแถบกันชนล่างสีเงิน เพิ่มความรู้สึกแข็งแกร่งให้กับตัวรถ ดูหรูหรา บึกบึนมากยิ่งขึ้น มาพร้อมกับไฟหน้า Daytime Running Light แบบ Light Guiding ดีไซน์ใหม่ และปรับชุดไฟท้ายดีไซน์ใหม่เป็นแบบ LED พร้อมกับ Light Guiding เพิ่มความโดดเด่นในยามค่ำคืน นอกจากนี้ยังปรับล้ออัลลอย 18 นิ้วดีไซน์ใหม่ ให้รับกับตัวรถ ในรุ่น Legender ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันให้แตกต่างจากรุ่นมาตรฐานอย่างชัดเจน คำนึงถึงความสวยงามของเส้นสายที่ดูเฉียบคมมากยิ่งขึ้น ตามหลักอากาศพลศาสตร์ เพิ่มความโฉบเฉี่ยว ด้วยสัดส่วนกระจังหน้าที่แตกต่าง เพิ่มความทันสมัยด้วย ไฟหน้า Daytime Running Light แบบ Light Guiding ดีไซน์ใหม่ ที่มาพร้อมกับไฟเลี้ยว LED แบบ Sequential ไฟสูงและไฟต่ำแบบ LED พร้อมปรับดีไซน์กันชนหลังใหม่ ให้สอดรับกับดีไซน์ด้านหน้าอย่างลงตัว นอกจากนี้ยังปรับเปลี่ยนลายล้ออัลลอย 20 นิ้ว เป็นดีไซน์ใหม่ ที่มาพร้อมกับหลังคาทูโทน ให้ความโดดเด่น ยกระดับการเป็น Flagship Model สะท้อนภาพลักษณ์สปอร์ตระดับผู้นำ พร้อมทั้งนี้ ยังปรับปรุงเครื่องยนต์ในรุ่น 2.8 ลิตร มาใหม่ ให้กำลังสูงสุดได้ถึง 204 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร ในช่วงความเร็วรอบเครื่องยนต์ที่กว้างตั้งแต่ 1,600-2,800 รอบต่อนาที พร้อมเพิ่มเพลาปรับสมดุล (Balance Shaft) ช่วยลดเสียงและแรงสั่นสะเทือนที่ส่งเข้าสู่ห้องโดยสาร เพิ่มความเงียบและความนุ่มนวลในการขับขี่มากยิ่งขึ้น และปรับลดความเร็วรอบเดินเบา จาก 850 รอบต่อนาที เป็น 680 รอบต่อนาที และยังมาติดตั้งระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense อาทิ ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System) ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ (Dynamic Cruise Control) และ ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน (Lane Departure Alert)[8] Fortuner Gazoo Racing Sportวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2564 ได้เพิ่มรุ่น GR Sport ซึ่งเป็นรุ่นสูงสุดของรถในตระกูล PPV ของโตโยต้า และยังปรับปรุงอุปกรณ์ทางเลือก เพิ่มในรุ่น Legender ด้วยการเพิ่มระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ (Rear Cross Traffic Alert) และระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Monitor) และเพิ่มอุปกรณ์เชื่อมต่อ USB แบบ Type C 2 ตำแหน่ง ส่วนในรุ่นปกติ เพิ่มกล้องมองรอบคัน (Panoramic View Monitor) ในรุ่น 2.4 V ทั้ง 2WD และ 4WD และเครื่องปรับอากาศแถวที่ 1 แบบอัตโนมัติปรับอิสระแยกซ้าย-ขวา ทุกรุ่น รุ่นปกติยังมาพร้อมชุดแต่ง Modellista ชุดแต่งสุดพิเศษที่ได้รับการออกแบบจากประเทศญี่ปุ่น โดยภายใต้ความร่วมมือกับบริษัท TCD Asia จำกัด[9] FORTUNER COMMANDERวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 ได้เพิ่มรุ่นพิเศษ COMMANDER ในรูปแบบผลิตจำนวนจำกัดที่ 1,000 คันเท่านั้น โดยนำเอา Fortuner รุ่น 2.4 V มาเพิ่มออพชั่น และการตกแต่งใหม่ โดยภายนอกชุดตกแต่งกันชนหน้า บันไดข้าง กระจกมองข้าง และกระจังหน้าสีดำเงา ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ส่วนภายใน ดีไซน์แบบสปอร์ตโทนสีดำสลับแดง พร้อมเบาะนั่งและวัสดุเดินด้ายตกแต่งสีแดง และปรับระบบช่วงล่างใหม่ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดยในรุ่นพิเศษ จะมีเพียงสีแบบ 2-Tone ให้เลือกเท่านั้น[10] ปรับโฉมครั้งที่ 2 และเพิ่มรุ่นฉลองครบรอบ 60 ปีวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2565 ได้ทำการเปิดตัว FORTUNER “Leader” ใหม่ โดยมาแทนที่ในรุ่นปกติ โดยได้ปรับกระจังหน้า กันชนหน้า และหลังดีไซน์ใหม่ พร้อมด้วยล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ขนาด 18 นิ้ว , คิ้วตกแต่งประตูหลัง + บันไดข้างสีดำ , แผ่นกรองระบบปรับอากาศ PM 2.5 (ทุกรุ่น) และเพิ่มระบบความปลอดภัย ส่วนในรุ่น LEGENDER ได้เพิ่มระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense ในรุ่น 2.4 LEGENDER และ 2.4 LEGENDER 4WD และเปิดตัวรุ่นพิเศษ FORTUNER Legender รุ่นฉลองครบรอบ 60 ปี โดยมีสัญลักษณ์ 2.8 Sigma 4 และ Legender สีดำ , สัญลักษณ์รุ่น 60 ปีบริเวณด้านข้าง , สัญลักษณ์ FORTUNER สีดำบริเวณฝากระโปรงหน้า , หลังคาดำดีไซน์พรีเมียม และ ล้ออัลลอยสีเทาขนาด 20 นิ้ว[11] และได้เปลี่ยนสีตัวถังจากสีขาวมุก White Pearl Crystal เป็น Platinum White Pearl ในรุ่น Fortuner Legender และ Fortuner GR Sport[12][13][14] เปิดตัวชุดอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ Toyota FORTUNER MODELLISTAในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2565 ได้เปิดตัวชุดอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ MODELLISTA x ASAVA โดยมีแนวคิดในการพัฒนาชุดอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ จะเน้นที่ความพรีเมี่ยม มีสไตล์ ทันสมัย หรูหรา โดย MODELLISTA เลือกที่จะทำงานร่วมกับ ASAVA ในกิจกรรมความร่วมมือพิเศษในครั้งนี้ โดยในรุ่นนี้ จะมาพร้อมกับชุดแต่ง HOOD EMBLEM - สัญลักษณ์ MODELLISTA สี PIANO BLACK – สปอยเลอร์กันชนหลัง สปอยเลอร์กันชนหน้า - ล้ออัลลอย 20 นิ้ว ลายใหม่ พร้อมยางขนาด 265/50 R20 เฉพาะรุ่น Leader - ชุดตกแต่งกระจังหน้า และสัญลักษณ์ MODELLISTA โดยสามารถติดตั้งได้ในรุ่น Legender และรุ่น Leader[15] เปิดตัว รุ่นปี 2023 ปรับเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐาน และอัพเกรดเครื่องยนต์ในวันที่ 2 สิงหาคม 2566 โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ได้มีการปรับ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่ อีกครั้ง โดยมีการเพิ่มระบบเตือนแรงดันลมยาง TPMS ที่ให้ในทุกรุ่นย่อย , ที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย Wireless Charger ในรุ่น Leader และเปลี่ยนหน้าจอเครื่องเสียงขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay & Android Auto แบบไร้สายในรุ่น Legender และ GR Sport สำหรับในรุ่น GR Sport ได้มีการปรับปรุงเครื่องยนต์ใหม่ ให้มีพละกำลังเพิ่มขึ้น 20 แรงม้า เป็น 224 แรงม้า และมีแรงบิดเพิ่มขึ้น 50 นิวตันเมตร เป็น 550 นิวตันเมตร[16] เปิดตัว รุ่น Leader Sในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ได้มีการเปิดตัวรุ่น Leader S ราคาถูกที่สุด อีกหนึ่งทางเลือก เครื่องยนต์ในฟอร์จูนเนอร์ รุ่นที่ 2
รุ่นย่อยก่อนรุ่นปรับโฉม
หมายเหตุ : รุ่น TRD Sportivo เป็นชุดแต่งรถ และมีสี 2-Tone ให้เลือก รุ่นย่อยในรุ่นปรับโฉม
หมายเหตุ : ในรุ่น 2.8 Legender 60th ANNIVERSARY สามารถเลือกหุ้มตัวรถ ด้วยสติกเกอร์คุณภาพสูง เป็น สีเทา Laminated Grey ได้ โดยมี 1 คัน ต่อศูนย์บริการ
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น |