กรมฝนหลวงและการบินเกษตร
กรมฝนหลวงและการบินเกษตร (อังกฤษ: Department of Royal Rainmaking and Agricultural Aviation) เป็นหน่วยงานระดับกรม สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีภารกิจหลักในการปฏิบัติการสร้างฝนเทียม บริหารจัดการน้ำในชั้นบรรยากาศ และสนับสนุนด้านการบินในด้านการเกษตรแก่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีวิสัยทัศน์ว่า กรมฝนหลวงและการบินเกษตร เป็นองค์กรชั้นนำในระดับโลกด้านการดัดแปรสภาพอากาศตามศาสตร์ฝนหลวงพระราชทาน ภายในปี 2580 ประวัติพระราชทานแนวคิดในการทำฝนเทียมอันเนื่องมาจากการเสด็จพระราชดำเนินไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในปี พ.ศ. 2498 ที่ทรงเล็งเห็นถึงปัญหาที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความแห้งแล้ง ทั้งที่บนท้องฟ้ามีเมฆเป็นจำนวนมาก แต่กลับไม่ตกลงมาเป็นฝน หลังจากเสด็จกลับมายังกรุงเทพมหานคร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ ม.ร.ว. เทพฤทธิ์ เทวกุล เข้าเฝ้า และพระราชทานแนวความคิดดังกล่าวเพื่อให้ลองไปศึกษาถึงแนวความคิดดังกล่าว รวมถึงได้ลงมือศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองจากเอกสารด้านวิชาการต่าง ๆ ประมวลกับข้อมูลที่ทรงบันทึกจากการเสด็จพระราชดำเนินไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ที่ประสบปัญหา เพื่อนำมาทำการทดลอง และโปรดเกล้าให้นำเอกสารที่ทรงศึกษาทบทวนพระราชทานแด่ ม.ร.ว. เทพฤทธิ์ เทวกุล ได้ศึกษาจากเอกสารเหล่านั้นด้วย[3] จากนั้น ในปี พ.ศ. 2512 ม.ร.ว. เทพฤทธิ์ ได้กราบบังคมทูลแนวคิดและความเป็นไปได้ที่จะทำการศึกษาทดลองจริง ๆ บนท้องฟ้า โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับสนองพระราชประสงค์ในการปฏิบัติการทดลองจริงในท้องฟ้าครั้งแรก ระหว่างวันที่ 19 - 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2512 จากสนามบินหนองตะกู วนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อำเภอปากช่องเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา และได้เริ่มต้นทดลองศึกษาค้นคว้าในการทำฝนเทียมช่วยเหลือประชาชนตั้งแต่นั้น และได้มีมติคณะรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2517 ให้เรียกโครงการฝนเทียมอย่างเป็นทางราชการว่า โครงการฝนหลวง สำนักงานปฏิบัติการฝนหลวงจากความต้องการของประชาชนที่ได้ถวายฎีกาขอรับการสนับสนุนฝนหลวงมากขึ้น ทำให้รัฐบาลตราพระราชกฤษฎีกาเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2518 ตั้งสำนักปฏิบัติการฝนหลวงขึ้น (Royal Rainmaking Research and Development Institute, RRRDI) สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีภารกิจหลักในการบรรเทาภัยแล้งด้วยการทำให้เกิดฝนตามธรรมชาติสำหรับการอุปโภคบริโภค เติมน้ำในแหล่งน้ำต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการวิจัยควบคู่กันไป เริ่มต้นมีหน่วยปฏิบัติการ 2 หน่วย ไม่มีที่ทำการ และใช้เจ้าหน้าที่จากกองเกษตรวิศวกรรมในการปฏิบัติงาน โดยในปี พ.ศ. 2520 มีหน่วยปฏิบัติการ 4 ทีม ในหนึ่งทีมมีเครื่องบินเล็ก 3 - 4 ลำ มีนักบินและช่างประจำเครื่องลำละ 3 คน และมีนักวิทยาศาสตร์ 6 คน ในการปฏิบัติการทุกครั้งจะมีนักวิทยาศาสตร์ติดตามไปครั้งละ 1 คน สำนักฝนหลวงและการบินเกษตรหลังจากปฏิบัติการทำฝนหลวงมาอย่างยาวนาน รวมถึงภารกิจและความรับผิดชอบของหน่วยที่สูงขึ้น จึงได้มีการรวม 2 หน่วยงานที่ปฏิบัติงานร่วมกันเข้าด้วยกัน คือ กองการบินเกษตร และ สำนักงานปฏิบัติการฝนหลวง โดยในวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2535 ได้ยกฐานะขึ้นเป็น สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร (Bureau of the Royal Rainmaking and Agricultural Aviation, BRRAA) สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปลี่ยนจาก กองการบินเกษตร เป็น ส่วนการบิน และเปลี่ยน สำนักงานปฏิบัติการฝนหลวง เป็น ส่วนฝนหลวง มีภารกิจครอบคลุมการสนับสนุนการปฏิบัติงานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการบินด้านการเกษตรรวมถึงหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง จึงมีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวง ประจำลุ่มน้ำ 8 ศูนย์ มีพื้นที่ครอบคลุมทั้ง 25 ลุ่มน้ำหลักในประเทศไทย กรมฝนหลวงและการบินเกษตรจากภารกิจที่ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองต่อภารกิจที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดการขยายขอบเขตของภารกิจ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการนำ และแผนการจัดการน้ำแบบบูรณาการของประเทศในขณะนั้น สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร จึงได้ยกฐานะขึ้นเป็น กรมฝนหลวงและการบินเกษตร เมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2556 ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2556[4] และแบ่งส่วนราชการตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2556 กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2556 และ กฎกระทรวงว่าด้วยกลุ่มภารกิจ (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2556 หน่วยงานในสังกัดกรมฝนหลวงและการบินเกษตร แบ่งโครงสร้างหน่วยงานภายในตาม กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2556 ดังนี้[5]
ศูนย์ปฏิบัติการส่วนภูมิภาคศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือตอนบน ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือตอนล่าง ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคกลาง สนามบินฝนหลวงจังหวัดนครสวรรค์ ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคตะวันออก ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคใต้ สนามบินฝนหลวงคลองหลวง ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงมีที่ตั้งกระจายอยู่ครอบคลุมทุกภูมิภาค แบ่งเป็น 7 ศูนย์ ครอบคลุมพื้นที่ปฏิบัติการทั้ง 77 จังหวัด ประกอบไปด้วย[7]
ศูนย์ฝนหลวงหัวหินเป็นสถานที่เริ่มต้นทดลองการปฏิบัติการทำฝนหลวงในยุคเริ่มต้นของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในบริเวณสนามบินบ่อฝ้าย อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 ระหว่างที่ทรงแปรพระราชฐานมาประทับที่วังไกลกังวล โดยกรมการบินพาณิชย์ได้จัดอาคารท่าอากาศยานขณะนั้นให้เป็นสถานที่ทรงงานจนเป็นที่เรียกกันว่า ศาลาที่ประทับ และใช้เป็นสถานที่ในการสาธิตการทำฝนหลวงแก่นักเรียนโรงเรียนไกลกังวลและถ่ายทอดผ่านมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ในปี พ.ศ. 2544 จึงถือว่าเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของโครงการฝนหลวง[8] ปัจจุบันได้มีจัดพื้นที่เพื่อจัดตั้งเป็นหอเฉลิมพระเกียรติพระบิดาแห่งฝนหลวง เพื่อจัดแสดงความเป็นมาของฝนหลวง ขั้นตอนการทำฝนหลวง และห้องที่ประทับทรงงานของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร พระบิดาแห่งฝนหลวง[9] สนามบินฝนหลวงปัจจุบันกรมฝนหลวงและการบินเกษตร มีสนามบินหลักในการปฏิบัติการจำนวน 2 แห่งด้วยกัน คือ[10]
สถานีเรดาร์กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ปัจจุบันมีระบบเรดาร์ตรวจจับกลุ่มฝนกระจายอยู่ทั่วประเทศ จำนวน 11 สถานี รัศมีการตรวจจับจากสถานี 240 กิโลเมตร สำหรับใช้ประกอบการวางแผนปฏิบัติการฝนหลวง ทั้งการตรวจวัดกลุ่มฝน กลุ่มเมฆ การเข้ายับยั้งการเกิดลูกเห็บ รวมไปถึงการเตือนภัยให้อากาศยานในการออกปฏิบัติการ แบ่งเป็น 2 ระบบ คือ[11] สถานีเรดาร์แบบประจำที่ชนิด S Band ความถี่ 2.8 GHz เหมาะสำหรับติดตั้งประจำที่เนื่องจากมีขนาดใหญ่ มีจำนวน 6 สถานี ประกอบด้วย
สถานีเรดาร์แบบเคลื่อนที่ชนิด C Band ความถี่ 5.6 GHz จำนวน 5 สถานี สามารถเคลื่อนย้ายได้ตามความเหมาะสม เนื่องจากมีขนาดเล็กกว่าชนิด S Band ปัจจุบันประจำการสนับสนุนตามภูมิภาค ดังนี้
อากาศยานอากาศยานปีกตรึง
อากาศยานปีกหมุน
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร
13°51′00″N 100°34′40″E / 13.85004462952969°N 100.5776890577147°E |