กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด
กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (อังกฤษ: Chanthaburi and Trat Border Defense Command: CTBDC) ย่อว่า กปช.จต. หรือ กองกำลังด้านจันทบุรี–ตราด ย่อว่า กจต. (อังกฤษ: Chanthaburi–Trat Force: CTF)[1] คือหน่วยเฉพาะกิจของกองทัพเรือไทยในการป้องกันประเทศทางทิศตะวันออกของประเทศไทยติดกับประเทศกัมพูชาบริเวณจังหวัดจันทบุรีและจังหวัดตราดทั้งทางบกความยาว 250 กิโลเมตร[2]ต่อเนื่องถึงทางทะเล มีอำนาจการบัญชาการเต็มในพื้นที่แยกจากกองทัพบกไทย[3] ประวัติกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่กรณีพิพาทอินโดจีนในช่วงปี พ.ศ. 2483-2484 ในรูปแบบของ "กองพลจันทบุรี" ที่เกิดขึ้นจากการสนธิกำลังของกรมนาวิกโยธิน ซึ่งมี นาวาโท ทหาร ขำหิรัญ ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลในการรบกับทหารฝรั่งเศสจนสามารถยึดอำเภอไพลินกลับมาเป็นของประเทศไทยได้[2] ต่อมาเกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาเกี่ยวกับเขาพระวิหารในปี พ.ศ. 2504 ทำให้เกิดการปิดพรมแดนกันระหว่างทั้งสองประเทศ กองทัพเรือได้สั่งการให้กรมนาวิกโยธินจัดกำลังในรูปแบบหน่วยเฉพาะกิจมาประจำการในพื้นที่ชายแดนด้านอำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี และสั่งการให้กองเรือยุทธการจัดหมวดเรือชายแดนมาลาดตระเวนทางทะเล จนกระทั่งศาลโลกตัดสินในปี พ.ศ. 2505 ให้ประเทศไทยแพ้คดี ไทยกับกัมพูชาจึงได้ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกัน[2] จากเหตุการณ์นั้นเอง ส่งผลให้สถานการณ์ตามแนวชายแดนตึงเครียดมากยิ่งขึ้น กัมพูชาได้ส่งกำลังมารุกล้ำอธิปไตยฝ่ายไทยจนเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ของฝ่ายไทยบ่อยครั้ง ทำให้กองทัพบกได้ประสานงานกับกองทัพเรือและจัดตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการพิเศษที่ 61 โดยมอบหมายให้กรมนาวิกโยธินรับผิดชอบในการปกป้องอธิปไตยของประเทศในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชาด้านจังหวัดจันทบุรีและจังหวัดตราด[2] ต่อมาในปี พ.ศ. 2513 กองทัพเรือได้จัดตั้ง กองกำลังด้านจันทบุรี–ตราด (กจต.) ขึ้นมา เพื่อป้องกันประเทศในด้านจันทบุรีและตราด โดยรวมเอากำลังของนาวิกโยธินและกำลังทางเรือเข้าด้วยกัน และมอบหมายให้ผู้บัญชาการกรมนาวิกโยธิน (ผบ.นย.) เป็นผู้บัญชาการกองกำลังด้านจันทบุรี–ตราดในช่วงแรก มีที่ตั้งอยู่ที่ค่ายกรมหลวงชุมพร อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี[2] ขณะเดียวกัน ในปี พ.ศ. 2518 กลุ่มเขมรแดงภายใต้การบัญชาการของ พล พต ได้เข้ายึดครองประเทศกัมพูชา ทำให้ประชาชนชาวกัมพูชาได้อพยพลี้ภัยมายังประเทศไทยในด้านจังหวัดจันทบุรีและจังหวัดตราดเป็นจำนวนมาก กองกำลังด้านจันทบุรี–ตราด (กจต.) จึงได้ย้ายที่ตั้งมาที่ค่ายตากสิน อำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรีในวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2518 จนกระทั่งปัจจุบัน[2] ในวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2521 สำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกคำสั่งให้กองทัพเรือเป็นผู้รับผิดชอบในการป้องกันชายแดนในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและจังหวัดตราดอย่างสมบูรณ์[4] ทั้งทางบกและทางทะเล กองทัพเรือจึงได้แต่งตั้งผู้บัญชาการกองกำลังด้านจันทบุรี–ตราด ให้เป็นผู้บังคับบัญชาในการป้องกันชายแดน ซึ่งต่อมา กองบัญชาการทหารสูงสุดได้ออกคำสั่งให้กองทัพเรือก่อตั้ง กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด เรียกย่อว่า กปช.จต. เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2522[3] และมอบหมายให้ ตำรวจตระเวนชายแดน และตำรวจน้ำในพื้นที่มาอยู่ในความควบคุมทางยุทธการด้วย รวมถึงให้กองทัพอากาศสนับสนุนการปฏิบัติการ พร้อมทั้งกำหนดเส้นแบ่งเขตระหว่างกองทัพบกและกองทัพเรือโดยใช้เส้นแบ่งเขตจังหวัดจันทบุรีและจังหวัดปราจีนบุรีเป็นแนวแบ่งเขต[2] ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 กองทัพเรือได้มอบหมายให้ กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ทำหน้าที่เป็นกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 ส่วนแยก 3 ตามการพิจารณาของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 และตามคำสั่งศูนย์ปฏิบัติการชายแดนไทย-กัมพูชา กองทัพเรือ ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 เรื่อง การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการชายแดนไทย-กัมพูชา ให้กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด เป็นศูนย์ควบคุมชายแดนไทย-กัมพูชา กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (ศค.ชทก.กปช.จต.) สำหรับช่วยเหลือการปฏิบัติงานของ ศูนย์ปฏิบัติการชายแดนไทย-กัมพูชา กองทัพเรือ และควบคุมการทำงานของศูนย์ปฏิบัติการชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราด และยังมอบหมายให้กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด เป็นหน่วยหลักในการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาด้านจังหวัดจันทบุรีและตราดเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2542[2] หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรีและตราดเนื่องจากพื้นที่รับผิดชอบที่มีความยาวกว่า 250 กิโลเมตร ตลอดระยะจังหวัดจันทบุรี จังหวัดตราดและประเทศกัมพูชา เพื่อให้มีช่วงการบังคับบัญชาที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ จึงได้มีการกำหนดผู้บังคับบัญชาในระดับกรมเพื่อรับผิดชอบแต่ละพื้นที่ ทั้งในจังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราด รวมไปถึงการประสานงานกับฝ่ายปกครองในพื้นที่ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว เหมะสม กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราดจึงได้จัดตั้ง หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี (ฉก.นย.จันทบุรี) และหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด (ฉก.นย.ตราด) เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2528 มีภารกิจในการปฏิบัติการแต่ละพื้นที่ในจังหวัดของตนในการป้องกันชายแดนทางบก รวมถึงการป้องกันการยกพลขึ้นบก การปฏิบัติการตีโต้ตอบ รวมถึงสนับสนุนเจ้าหน้าที่พลเรือนในการป้องกันปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายในพื้นที่ของตน[2] หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานนาวิกโยธินกองทัพบกได้ก่อตั้งโครงการทหารพรานขึ้นเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2521 ซึ่งมีกองทหารพรานที่บังคับบัญชาโดยนาวิกโยธินผ่านการฝึกจากกองทัพบกจำนวน 2 กองร้อย เพื่อมาปฏิบัติงานต่อต้านคอมมิวนิสต์ในพื้นที่อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี และอำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด ขึ้นทางยุทธการกับกองกำลังด้านจันทบุรี–ตราด กองทัพเรือซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบพื้นที่จนถึงปลายปี พ.ศ. 2523 จากนั้นได้มีการโอนหน่วยทหารพรานในความรับผิดชอบของกองกำลังด้านจันทบุรี–ตราดในเวลานั้น จำนวน 6 กองร้อยมาอยู่ในความรับผิดชอบของกองทัพเรือภายในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2523 กองทัพเรือจึงมอบหมายให้กรมนาวิกโยธินรับมอบหน่วยทหารพรานนั้นจากกองทัพบก และมอบการควบคุมทางยุทธการให้กับกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานาวิกโยธินจึงถือเอาวันที่ 30 กันยายนเป็นวันสถาปนาหน่วย โดยเป็นหน่วยขึ้นตรงกับหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองทัพเรือ มีกองบังคับการตั้งอยู่ที่ ค่ายเทวาพิทักษ์ บ้านคลองตาคง อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี[2] โครงสร้างส่วนบัญชาการหน่วยขึ้นตรงกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด
กองกำลังด้านจันทบุรี–ตราด
หน่วยขึ้นควบคุมทางยุทธการกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ประกอบด้วยหน่วยขึ้นควบคุมทางยุทธการ ดังนี้
ภารกิจกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด มีอำนาจหน้าที่ในการเฝ้าตรวจป้องกันชายแดนประเทศไทยและกัมพูชา โดยจัดระเบียบพื้นที่ตามแนวชายแดน สร้างความมั่นคงในพื้นที่ด้วยการพัฒนาและการปกป้องอธิปไตย รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน[8] ผลการปฏิบัติงานของกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด สามารถป้องกันและระงับการก่ออาชญากรรมและการกระทำผิดกฎหมายต่าง ๆ เช่น การลักลอบหลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายทั้งจากทางบก[9]และทางทะเล[10] การรุกล้ำน่านน้ำเพื่อทำประมงผิดกฎหมาย[11] การลักลอบขนน้ำมันเถื่อน[12] รวมถึงดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนที่อยู่อาศัยตามแนวชายแดน เพื่อแบ่งเบาภาระของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุขที่อาจดูแลไม่ทั่วถึง[13] และการบรรเทาสาธารณะภัยต่าง ๆ ทั้งเหตุการณ์เรือล่มในน่านน้ำที่รับผิดชอบ การดับไฟป่าโดยอากาศยานในสังกัด[14] และการแก้ปัญหาภัยแล้ง[15] นอกจากนี้ยังได้มีกรอบความรวมมือภายใต้ขอตกลงร่วมระหว่างกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราดของไทย และภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชา ในการร่วมมือรักษาความมั่นคงระหว่างชายแดน[16][17] โดยเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2567 ในการยกระดับจุดผ่อนปรนการค้า การฝึกร่วมกันทั้งด้านของการบรรเทาสาธารณภัย การดับไฟป่า และการส่งกลับทางสายแพทย์[16] พื้นที่อ้างสิทธิ์ปัจจุบัน กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ได้ดูแลพื้นที่อ้างสิทธิ์จากการถือเอกสารคนละฉบับระหว่างประเทศไทยซึ่งยึดตามอาณาเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย พ.ศ. 2516 ขณะที่กัมพูชาถือตามหลักเขตที่ 73 คือพื้นที่เกาะกูด อำเภอเกาะกูด จังหวัดตราด โดยกองทัพเรือไทยได้วางกำลัง หน่วยปฏิบัติการเกาะกูด ซึ่งเป็นหน่วยเฉพาะกิจของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) ที่ขึ้นทางยุทธการกับกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด โดยมีการฝึกซ้อมยิงอาวุธประจำหน่วยในทุก ๆ ปีเพื่อเตรียมความพร้อมในการรบ ทั้งการยิงปืนไปยังเป้าพื้นน้ำ และการยิงปืนไปยังเป้าอากาศยานสมมุติ[6] ดูเพิ่ม
อ้างอิง
|