บารมี
บารมี (บาลี: pāramī, पारमी; สันสกฤต: pāramitā, पारमिता) ปฏิปทาอันยวดยิ่ง มีความหมาย 2 ประการ ประการแรก คือ บรม แปลว่าดีเลิศ สูงสุด และประการต่อมาหมายถึง การไป คือ ไปให้ถึงอีกฝังหนึ่ง คุณธรรมที่ประพฤติปฏิบัติอย่างยิ่งยวด คือ ความดีที่บำเพ็ญอย่างพิเศษ เพื่อบรรลุซึ่งจุดหมายอันสูง เช่น พระพุทธเจ้า พระอสีติมหาสาวก เป็นต้น[1] เถรวาทในนิกายเถรวาทมี 10 อย่าง จึงเรียกว่า ทศบารมี หรือ บารมี ๑๐ คือ กำลังใจที่ต้องทำให้เต็ม ไม่พร่อง
สามารถแยกออกเป็นหมวด ได้ 3 หมวดและจัดออกเป็นคู่ ๆ ที่สนับสนุนกันในเวลาที่บำเพ็ญบารมี ได้แก่
ทานบารมี สมบูรณ์ได้ด้วย ศีลบารมี (ทานที่ให้โดยผู้มีศีลย่อมสมบูรณ์ยิ่ง) ศีลบารมี สมบูรณ์ได้ด้วย เนกขัมมะบารมี (ศีลสมบูรณ์ได้ด้วยการการสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 จากกามคุณ) เนกขัมมะบารมี สมบูรณ์ได้ด้วย ปัญญาบารมี (การสำรวมในกาม สมบูรณ์ด้วยการพิจารณาตามจริงด้วยปัญญาว่าสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่งาม) ปัญญาบารมี สมบูรณ์ได้ด้วย วิริยะบารมี (ปัญญาจะฉลาดลึกซึ้งกว้างขวางก็ด้วยการหมั่นพิจารณาหมั่นตั้งคำถามหมั่นศึกษาในธรรม) วิริยะบารมี สมบูรณ์ได้ด้วย ขันติบารมี (ความเพียรพยายามจะต่อเนื่องยาวนานได้เพราะอาศัยความอดทน) ขันติบารมี สมบูรณ์ได้ด้วย สัจจะบารมี (ความอดทนจะมั่นคงได้ด้วยความตั้งใจจริง) สัจจะบารมี สมบูรณ์ได้ด้วย อธิฏฐานบารมี (ความตั้งใจจริงมุ่งมั่นอยู่ได้ด้วยการมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน) อธิฏฐานบารมี สมบูรณ์ได้ด้วย เมตตาบารมี (ทุกๆเป้าหมายในชีวิตต้องประกอบด้วยเมตตาธรรม ไม่สร้างความเดือนร้อนแก่ผู้ใด ดุจดังพระโพธิสัตว์ทั้งหลายที่ปรารถนาจะช่วยให้สรรพสัตว์พ้นทุกข์จากสังสารวัฏ) เมตตาบารมี สมบูรณ์ได้ด้วย อุเบกขาบารมี (ความมีเมตตาต้องมีการให้อภัยละวางความอิจฉาปราศจากอคติยอมรับผลแห่งเหตุ) อุเบกขาบารมี สมบูรณ์ได้ด้วย ทานบารมี (ความมีอุเบกขามิใช่ความวางเฉยแบบไม่สนใจแต่ต้องรู้จักเสียสละ) ในแนวคิดบารมีของเถรวาท ผู้บารมีทั้ง 10 ประการ บารมีแต่ล่ะอย่างย่อมส่งเสริมเพิ่มอำนาจให้กันและกัน จนทวีคูณจนหาประมาณมิได้ สามารถทำปุถุชนคนธรรมดาให้กลายเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มหายานพระสูตรมหายาน เช่น ปรัชญาปารมิตาสูตร สัทธรรมปุณฑรีกสูตร เป็นต้น ถือว่าบารมีมี 6 ประการได้แก่ แต่ในคัมภีร์ทศภูมิกสูตร ได้เพิ่มอีก 4 ข้อ รวมเป็นบารมี 10 4 ข้อนั้นได้แก่ อ้างอิง
|