ประธานศาลสูงสุดสหรัฐ
ประธานศาลสูงสุดสหรัฐ (อังกฤษ: Chief Justice of the United States) เป็นประมุขแห่งศาลสหรัฐทั้งปวง และเป็นประมุขของศาลสูงสุดสหรัฐ (Supreme Court of the United States) โดยเป็นหนึ่งในตุลาการศาลสูงสุดเก้าคน แปดคนที่เหลือเรียก ตุลาการสมทบในศาลสูงสุดสหรัฐ (Associate Justice of the Supreme Court of the United States) ประธานศาลสูงสุดเป็นข้าราชการตุลาการชั้นสูงที่สุดในประเทศ กับทั้งปฏิบัติหน้าที่เป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ธุรการ (chief administrative officer) ของฝ่ายตุลาการ และแต่งตั้งผู้อำนวยสำนักงานธุรการศาลสหรัฐ (director of the Administrative Office of the United States Courts) ประธานศาลสูงสุดยังเป็นโฆษกสำหรับองค์กรตุลาการของประเทศอีกด้วย ประธานศาลสูงสุดอำนวยกิจการทั้งปวงของศาลสูงสุด นั่งเป็นประธานในการพิจารณาคดีทั้งหมดของศาลสูงสุด โดยเฉพาะในการแถลงการณ์ด้วยวาจา และเมื่อศาลสูงสุดจะทำความเห็นในการวินิจฉัยคดี ถ้าประธานศาลสูงสุดอยู่เสียงข้างมาก ประธานศาลสูงสุดจะสามารถกำหนดให้ตุลาการคนใดทำคำพิพากษากลางขึ้นได้ ประธานศาลสูงสุดยังกำหนดระเบียบวาระสำคัญในการประชุมของศาลสูงสุดด้วย นอกจากนี้ เมื่อวุฒิสภาดำเนินคดีอาญาต่อประธานาธิบดี ซึ่งเคยมีมาแล้วสองคราวในหน้าประวัติศาสตร์ ประธานศาลสูงสุดจะเป็นประธานในการพิจารณาคดี ปัจจุบัน ประธานศาลสูงสุดยังมีหน้าที่ที่ตกผลึกมาทางประเพณีอีก คือ เป็นประธานในพิธีให้สัตย์ปฏิญาณเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดี จอห์น เจย์ (John Jay) เป็นประธานศาลสูงสุดคนแรก และ จอห์น จี. รอเบิตส์ จูเนียร์ (John G. Roberts, Jr.) เป็นประธานศาลสูงสุดคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นลำดับที่สิบเจ็ด ภูมิหลังรัฐธรรมนูญสหรัฐมิได้สถาปนาตำแหน่งประธานศาลสูงสุดไว้โดยชัดแจ้ง แต่กล่าวเป็นนัยถึงการมีอยู่ของตำแหน่งนี้ไว้ในบทบัญญัติเพียงมาตราเดียว คือ หมวด 1 มาตรา 3 ข้อ 6 ซึ่งว่า "ในการพิจารณาคดีเกี่ยวกับประธานาธิบดีสหรัฐนั้น ให้ประธานศาลสูงสุดนั่งเป็นประธาน" และไม่มีกล่าวถึงอีกเลย แม้แต่ความต่างระหว่างประธานศาลสูงสุดกับตุลาการสมทบในศาลสูงสุดก็ไม่มีการเอ่ยถึง แต่เดิมในภาษาอังกฤษ ชื่อตำแหน่งนี้ใช้ว่า "Chief Justice of the Supreme Court of the United States" (หัวหน้าตุลาการศาลสูงสุดสหรัฐ) ต่อมา มาตรา 1 ใน ลักษณะ 28 ของรัฐธรรมนูญสหรัฐ เปลี่ยนไปใช้ว่า "Chief Justice of the United States" (หัวหน้าตุลาการสหรัฐ) ตามข้อเสนอของ แซลเมิน พี. เชส (Salmon P. Chase) ประธานศาลสูงสุดคนที่หก ผู้ต้องการเน้นย้ำบทบาทฝ่ายตุลาการให้เสมอกับฝ่ายบริหารที่ตำแหน่งประธานาธิบดีใช้ว่า "President of the United States" อย่างไรก็ดี ตำแหน่งตุลาการสมทบในศาลสูงสุดในภาษาอังกฤษยังคงใช้ว่า "Associate Justices of the Supreme Court of the United States" (ตุลาการสมทบในศาลสูงสหรัฐ) มิใช่ "Associate Justices of the United States" (ตุลาการสมทบแห่งสหรัฐ) เช่นเดียวกับตุลาการทุกคนในศาลของสหรัฐ ประธานศาลสูงสุดได้มาโดยวิธีที่ประธานาธิบดีสหรัฐเสนอชื่อให้วุฒิสภาให้ความเห็นชอบ รัฐธรรมนูญสหรัฐว่า "ตุลาการศาลสูงสุดทุกคน ให้อยู่ในตำแหน่งตราบที่มีสภาวการณ์อันดี" หมายความว่า ตุลาการเหล่านั้นจะพ้นจากตำแหน่งเมื่อตาย ลาออก หรือถูกฝ่ายนิติบัญญัติไต่สวนและลงโทษ ส่วนเงินเดือนของประธานศาลสูงสุดนั้น รัฐสภาสหรัฐเป็นผู้กำหนด ซึ่งจะสูงกว่าของตุลาการสมทบในศาลสูงสุดเพียงเล็กน้อย นับแต่ ค.ศ. 2010 สืบมา ประธานศาลสูงสุดได้รับเงินปีละ 223,500 ดอลลาร์สหรัฐ[1] ในทางประเพณีแล้ว อำนาจแต่งตั้งประธานศาลสูงสุดเป็นของประธานาธิบดี แต่ก็รัฐธรรมนูญก็มิได้ห้ามใช้กระบวนการเลือกสรรอย่างอื่นนอกจากการที่ประธานาธิบดีเสนอชื่อให้ฝ่ายนิติบัญญัติรับรอง ดังนั้น จึงมีนักวิชาการบางคนเสนอว่า ควรให้ฝ่ายตุลาการเลือกประธานศาลสูงสุดกันเอง แล้วเสนอชื่อให้ประธานาธิบดีแต่งตั้ง ไม่ต้องให้ผู้ใดรับรองอีก[2] มีประธานศาลสูงสุดบางคน เช่น วิลเลียม เรห์นควิสต์ (William Rehnquist) เลื่อนมาจากตำแหน่งตุลาการสมทบในศาลสูงสุด ในกรณีเช่นนี้ จำต้องได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภา ถ้าวุฒิสภาไม่เห็นชอบ ก็จะกลับไปดำรงตำแหน่งตุลาการสมทบดังเดิม ประธานศาลสูงสุดส่วนใหญ่ ซึ่งรวมถึง จอห์น รอเบิตส์ (John Roberts) ได้รับแต่งตั้งมาโดยยังไม่เคยปฏิบัติหน้าที่ในศาลสูงสุดมาก่อน ขณะที่บางคน เช่น เอิร์ล วาร์เรน (Earl Warren) ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านตุลาการเลย ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มีบุคคลสิบแปดคนได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งนี้ และได้รับความเห็นชอบ แต่มีเพียงหนึ่งคนที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งจริง คือ วิลเลียม คัชชิง (William Cushing) ซึ่งได้รับเลือกในเดือนมกราคม ค.ศ. 1796 แต่ปฏิเสธไม่รับตำแหน่ง โอลิเวอร์ เอลส์เวิร์ธ (Oliver Ellsworth) จึงเข้าสู่ตำแหน่งแทน ทว่า วุฒิสภาไม่รับรองเขา และเห็นชอบให้ จอห์น เจย์ (John Jay) กลับมารับตำแหน่งประธานศาลสูงสุดอีกครั้ง และจอห์น เจย์ ก็บอกปัดตำแหน่งอีก โดยให้เหตุผลทางสุขภาพ และระบุว่าตนมองว่าตำแหน่งในศาลสูงสุดนั้นไร้เกียรติ ในที่สุดจอห์น มาร์แชล (John Marshall) จึงได้รับการเสนอชื่อและความเห็นชอบต่อมา เมื่อประธานศาลสูงสุดอสัญกรรมในตำแหน่ง หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือไม่สมัครใจปฏิบัติหน้าที่ ตุลาการสมทบในศาลสูงสุดคนที่มีอาวุโสมากที่สุดจะปฏิบัติหน้าที่แทนไปพลางก่อน จนกว่าจะได้ประธานศาลสูงสุดคนใหม่[2] อำนาจและหน้าที่นอกจากอำนาจและหน้าที่อย่างตุลาการสมทบในศาลสูงสุดแล้ว ประธานศาลสูงสุดยังมีอำนาจหน้าที่พิเศษบางประการอีก คือ การดำเนินคดีอาญาต่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรัฐธรรมนูญสหรัฐ หมวด 1 มาตรา 3 ว่า ในคดีอาญาต่อประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งดำเนินโดยวุฒิสภานั้น ให้ประธานศาลสูงสุดนั่งเป็นประธาน ในประวัติศาสตร์ มีการดำเนินคดีอาญาต่อประธานาธิบดีมาแล้วสองครั้ง ประธานศาลสูงสุดที่ได้นั่งเป็นประธาน คือ แซลมอน พี. เชส (Salmon P. Chase) และ วิลเลียม เรห์นควิสต์ (William Rehnquist) โดยเชสออกนั่งบังลังก์ใน ค.ศ. 1868 สำหรับคดีของประธานาธิบดี แอนดรูว์ จอห์นสัน (Andrew Johnson) และเรห์นควิสต์ออกนั่งบัลลังก์ใน ค.ศ. 1999 สำหรับคดีของประธานาธิบดี บิล คลินตัน (Bill Clinton) ความอาวุโสประธานศาลสูงสุดถือว่าเป็นตุลาการที่อาวุโสสูงสุดในประเทศ ไม่ว่าอันที่จริงแล้วจะเคยดำรงตำแหน่งทางตุลาการมามากน้อยเพียงไรก็ตาม เพราะฉะนั้น ในการประชุมปรึกษาคดีทั้งปวง ประธานศาลสูงสุดจึงนั่งเป็นประธาน และโดยที่ปรกติแล้วประธานศาลสูงสุดมีสิทธิแสดงความคิดเห็นก่อนผู้อื่น ประธานศาลสูงสุดจึงมีบทบาทในการกำหนดกรอบการประชุมปรึกษาคดี ประธานศาลสูงสุดยังกำหนดระเบียบวาระการประชุมของทุกสัปดาห์ ซึ่งมีการพิจารณาคำร้องขอให้มีคำสั่งเรียกสำนวนจากศาลล่างขึ้นมา เพื่อวินิจฉัยว่าจะรับหรือจะยกคดีใด ๆ แม้ว่ามีความอาวุโสและเกียรติยศที่เพิ่มเข้ามาแล้ว คะแนนเสียงของประธานศาลสูงสุดไม่มีค่ามากกว่าของตุลาการสมทบในศาลสูงสุดคนอื่น ๆ ประธานศาลสูงสุดไม่มีอำนาจกลับคำพิพากษาหรือการตีความของตุลาการสมทบในศาลสูงสุดคนอื่น ๆ กับทั้งไม่มีสิทธิยุ่งเกี่ยวกับตุลาการทั้งหลายเลย อย่างไรก็ดี ในฐานะที่มีอาวุโสสูงสุด ถ้าประธานศาลสูงสุดอยู่ฝ่ายเสียงข้างมาก ประธานศาลสูงสุดจะสามารถกำหนดให้ตุลาการคนใดรับผิดชอบเขียนคำพิพากษากลางของศาล และอาจกำหนดให้ตนรับหน้าที่นั้นเองก็ได้ ในหลาย ๆ กรณี ตุลาการสองคนอาจเขียนคำพิพากษาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงได้ แม้ว่าอยู่ฝ่ายเสียงข้างมากเหมือนกัน และคำพิพากษากลางนี้จะกลายเป็นบรรทัดฐานสำหรับศาลล่างในการวินิจฉัยคดีสืบไปในอนาคต คำสัตย์ปฏิญาณเข้ารับตำแหน่งประธานศาลสูงสุดเป็นประธานในพิธีให้สัตย์ปฏิญาณเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดี โดยประธานศาลสูงสุดจะเรียกให้ประธานาธิบดียืนยันสัตย์ปฏิญาณ หน้าที่นี้เป็นประเพณีมากกว่าเป็นข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติให้ประธานาธิบดีต้องกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณตนต่อหน้าผู้ใดโดยเฉพาะ เพียงระบุว่าให้ประธานาธิบดีสาบานตนเมื่อเข้ารับตำแหน่งเท่านั้น ถ้าประธานศาลสูงสุดไม่อาจเป็นประธานในพิธีดังกล่าวได้ ตุลาการศาลสูงสุดคนที่มีอาวุโสถัดลงมาจะปฏิบัติหน้าที่แทน ซึ่งเคยมีมาแล้วเจ็ดครั้ง คือ[3]
นอกจากนี้ ประธานศาลสูงสูดยังเป็นประธานในพิธีให้สัตย์ปฏิญาณเข้ารับตำแหน่งของตุลาการสมทบในศาลสูงสุดที่ได้รับแต่งตั้งใหม่ด้วย ส่วนประธานศาลสูงสุดเอง โดยปรกติ จะให้สัตย์ปฏิญาณต่อหน้าตุลาการสมทบในศาลสูงสุดที่มีอาวุโสมากที่สุด อำนาจและหน้าที่อย่างอื่นประธานศาลสูงสุดยัง
ประธานศาลสูงสุด และตุลาการทั้งหลายในองค์กรตุลาการของสหรัฐอเมริกา ไม่ต้องห้ามดำรงตำแหน่งอื่น ๆ ซึ่งต่างจากสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่รัฐธรรมนูญห้ามดำรงตำแหน่งใด ๆ เพื่อแสวงหาผลกำไรระหว่างดำรงสมาชิกภาพในสภานั้น ๆ ประธานศาลสูงสุดจอห์น เจย์ เคยเป็นทูตในการเจรจาสนธิสัญญาเจย์ (Jay Treaty) หรือ "สนธิสัญญาแห่งลอนดอน ค.ศ. 1794" (Treaty of London, 1794) และเอิร์ล วาร์เรน เคยเป็นประธานกรรมการสอบสวนการลอบฆ่าประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนมาตรา 3 ใน ลักษณะ 28 ของรัฐธรรมนูญสหรัฐ ว่า ถ้าประธานศาลสูงสุดไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือเมื่อตำแหน่งประธานศาลสูงสุดหากว่างลง ให้ตุลาการสมทบในศาลสูงสุด ผู้ที่มีอาวุโสสูงสุด และสามารถปฏิบัติการได้ ทำหน้าที่ของประธานศาลสูงสุดไปพลางก่อน ทำเนียบประธานศาลสูงสุด
ดูเพิ่มเชิงอรรถ
อ่านเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ ประธานศาลสูงสุดสหรัฐ |