ราชวงศ์ห่งบ่าง
สมัยห่งบ่าง (เวียดนาม: thời kỳ Hồng Bàng)[4] หรือ ราชวงศ์ห่งบ่าง[5] เป็นราชวงศ์แรกในประวัติศาสตร์เวียดนาม ที่ปกครองในช่วง 2,879–258 ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นช่วงเวลาในประวัติศาสตร์เวียดนามซึ่งประกอบไปด้วยสหภาพทางการเมืองในช่วง 2,879 ก่อนคริสต์ศักราชของชนเผ่าหลายแห่งในภาคเหนือของบริเวณหุบเขาแม่น้ำแดง และได้ถูกปกครองโดยอาน เซือง เวือง ในปี 258 ก่อนคริสต์ศักราช[6] พงศาวดารเวียดนามตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 กล่าวคือ ดั่ยเหวียตสือกี๊ตว่านทือ (大越史記全書, Đại Việt sử ký toàn thư) อ้างว่าช่วงเวลาของยุคราชวงศ์ห่งบ่างเริ่มต้นด้วยกิญ เซือง เวือง ในฐานะ กษัตริย์หุ่ง (𤤰雄, Hùng Vương) องค์แรก ชื่อตำแหน่งได้ถูกใช้ในการอภิปรายสมัยใหม่หลายครั้งเกี่ยวกับผู้ปกครองชาวเวียดนามโบราณในยุคนี้[7] กษัตริย์หุ่งเป็นตำแหน่งผู้ปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของประเทศ (ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อซิกกวี๋และวันลางในเวลาต่อมา) และอย่างน้อยก็ในทางทฤษฎี ในยุคสมัยนี้ได้มีการควบคุมการใช้ที่ดินและทรัพยากรอย่างเป็นระบบขึ้นอย่างสมบูรณ์ แต่อย่างไรก็ตามบันทึกประวัติศาสตร์ของกษัตริย์ดังกล่าวใน 3 พันปีก่อนคริสต์ศักราชก็ยังถือว่าขาดแคลนอยู่มาก ประวัติของยุคห่งบ่างเกิดขึ้นในช่วงของราชวงศ์ที่แบ่งเป็น 18 ราชวงศ์ของกษัตริย์หุ่ง ในยุคกษัตริย์หุ่งได้รับความเจริญรุ่งเรืองพร้อมกับอารยธรรมการปลูกนาข้าวในบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดงในช่วงยุคสำริด ในช่วงปลายของยุคห่งบ่างได้เกิดสงครามจำนวนมาก[8] ที่มาของชื่อชื่อ ห่งบ่าง เป็นรูปออกเสียงแบบภาษาจีน-เวียดนามของอักษร "鴻龐" ที่มอบให้กับราชวงศ์นี้ในประวัติศาสตร์เวียดนามยุคแรกที่เขียนเป็นภาษาจีน คาดว่ามีความหมายเป็นนก (鴻) ยักษ์ (龐) ในตำนาน[9] อย่างไรก็ตาม การกล่าวถึงวันลางในประวัติศาสตร์ครั้งแรกสุดนั้นเพิ่งได้รับการบันทึกไว้ในเอกสารภาษาจีนเท่านั้น ซึ่งมีอายุถึงราชวงศ์ถัง (คริสต์ศตวรรษที่ 7 - 9) เกี่ยวกับพื้นที่ฟ็องเจิว (Phú Thọ)[10][11][12][13] แต่กระนั้น บันทึกของจีนยังระบุด้วยว่ากลุ่มชนอื่นที่อาศัยอยู่ในบริเวณอื่นก็ถูกเรียกเป็นวันลางเช่นกัน[14][15] ประวัติช่วงก่อนราชวงศ์เวียดนามเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ตามแนวชายฝั่งตะวันออกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีประวัติอันยาวนานและมีความวุ่นวาย[16] ชาวเวียดนามเป็นตัวแทนของการผสมผสานระหว่างเชื้อชาติ ภาษา และวัฒนธรรม ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ยังคงถูกคัดแยกโดยนักชาติพันธุ์ นักภาษาศาสตร์ และนักโบราณคดี[17] มีการสันนิษฐานว่า ภาษาเวียดนามได้ให้เบาะแสบางอย่างที่ทำให้เห็นส่วนผสมทางวัฒนธรรมที่เป็นตัวอย่างหนึ่งของชาวเวียดนาม[17] บริเวณที่เป็นประเทศเวียดนามในปัจจุบัน ได้มีการเข้ามาอยู่อาศัยตั้งรกรากของผู้คนตั้งแต่ยุคหินเก่า โดยมีหลักฐานจากการขุดค้นแหล่งโบราณคดีบางแห่งในจังหวัดทัญฮว้า บริเวณชายฝั่งตอนกลางเหนือ ทำให้นักประวัติศาสตร์คาดการณ์ช่วงเวลาย้อนหลังไปประมาณครึ่งล้านปีมาแล้ว[17] ผู้คนในยุคก่อนประวัติศาสตร์เวียดนามได้อาศัยอยู่อย่างต่อเนื่องในถ้ำท้องถิ่นตั้งแต่ประมาณ 6,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช จนกระทั่งวัฒนธรรมและวัสดุที่ก้าวหน้าขึ้นได้รับการพัฒนา[18] ถ้ำบางแห่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าในฐานะเป็นบ้านของผู้คนหลายชั่วอายุคน[19] เมื่อเวียดนามเหนือเป็นที่ที่มีภูเขาป่าไม้และแม่น้ำ มีจำนวนเผ่าได้เติบโตขึ้นระหว่าง 5,000 ถึง 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช[20] ก่อนที่จะเริ่มต้นของช่วงยุคห่งบ่าง ที่ดินได้ถูกตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยโดยหมู่บ้านอิสระ สังคมบุคก่อนราชวงศ์เวียดนามมีลักษณะเป็นอนาธิปไตยและไม่ได้มีกลไกการจัดการใด ๆ ทีการอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นหมู่ชนเผ่า นักโบราณคดีได้ค้นพบภาพมากมายบนผนังถ้ำซึ่งแสดงให้เห็นถึงชีวิตประจำวันของคนโบราณ กษัตริย์หุ่งองค์แรก (2,879 ปีก่อนคริสต์ศักราช)ในช่วงไม่กี่พันปีปลายยุคหิน ประชากรที่อาศัยอยู่ได้ขยายตัวและแพร่กระจายไปยังทุกส่วนของเวียดนาม คนโบราณส่วนใหญ่อาศัยอยู่ใกล้กับแม่น้ำแดง แม่น้ำก๋า และแม่น้ำหมา ชนเผ่าเวียดนามร่วมรวมตัวกันอย่างมั่นคงในช่วงเวลานี้[20] ดินแดนของพวกเขารวมเขตแดนของประเทศจีนในปัจจุบันถึงฝั่งแม่น้ำโห่งในดินแดนภาคเหนือของเวียดนาม ศตวรรษของการพัฒนาอารยธรรมและเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับการเพาะปลูกข้าวในเขตชลประทาน เป็นปัจจัยที่ได้สนับสนุนให้นำไปสู่การพัฒนาชนเผ่าและการตั้งถิ่นฐานของชุมชน เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญขึ้นเมื่อ หลก ตุก ขึ้นสู่อำนาจ เขารวบรวมชนเผ่าอื่น ๆ และประสบความสำเร็จในการจัดกลุ่มรัฐทั้งหมดที่เข้าเป็นส่วนหนึ่งภายใต้อำนาจของเขา ภายในอาณาเขตของเขาเป็นประเทศเอกภาพในประมาณ 2,879 ปีก่อนคริสต์ศักราช หลก ตุก ได้สถาปนาตั้งตนเป็นกษัตริย์นามว่า กิญ เซือง เวือง (เวียดนาม: Kinh Dương Vương) และตั้งชื่ออาณาจักรใหม่ว่า ซิกกวี๋ หลก ตุ๊กได้ใช้ระบบการปกครองแบบราชาธิปไตยที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์เวียดนาม เขาถือว่าเป็นบรรพบุรุษของ กษัตริย์หุ่ง ในฐานะบิดาผู้ก่อตั้งชาติเวียดนาม และได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในวีรบุรุษของชาติ ด้วยการสอนผู้คนในอาณาจักรของเขาให้รู้จักเพาะปลูกข้าว ราชวงศ์ห่งบ่างตอนต้น (ตั้งแต่ 2,879–1,913 ปีก่อนคริสต์ศักราช)หลก ตุก ได้ส่งผ่านอำนาจการปกครองไปให้กับบุตรชายขึ้นเป็นกษัตริย์หุ่ง หลังกิญ เซือง เวือง สิ้นพระชนม์ ได้มีผู้สืบทอดคือ หลัก ล็อง เกวิน (Lạc Long Quân) ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ของกษัตริย์หุ่งที่สองขึ้นใน 2,793 ปีก่อนคริสต์ศักราช ราชวงศ์ของกษัตริย์หุ่งสมัยที่สามได้เริ่มต้นขึ้นใน 2,524 ปีก่อนคริสต์ศักราช อาณาจักรเปลี่ยนชื่อเป็น วันลาง และเมืองหลวงได้รับการจัดตั้งขึ้นที่เมืองฟ็องเจิว (ปัจจุบันคือฟู้เถาะ) ที่บริเวณจุดเชื่อมต่อของแม่น้ำสามสายที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดง โดยเริ่มจากเชิงภูเขา หลักฐานที่ชาวเวียดนามรู้วิธีการคำนวณปฏิทินจันทรคติ โดยการแกะสลักลงบนหิน ย้อนกลับไปประมาณ 2,200-2,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยได้มีการค้นพบเส้นคู่ขนานถูกแกะสลักบนเครื่องมือหินเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการนับที่เกี่ยวข้องกับปฏิทินจันทรคติ[18] กระบวนการทอไหมได้เป็นที่รู้จักโดยชาวเวียดนามตั้งแต่ 2,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช[21] ราชวงศ์ห่งบ่างตอนกลาง (ตั้งแต่ 1,912–1,055 ปีก่อนคริสต์ศักราช)ในช่วง 1500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ประชากรที่ตั้งถื่นฐานอาศัยบริเวณชายฝั่งทะเลได้พัฒนาสังคมเข้าสู่ระบบเกษตรกรรมที่มีความซับซ้อน[22] ราชวงศ์ห่งบ่างตอนปลาย (ตั้งแต่ 1,054–258 ปีก่อนคริสต์ศักราช)การชลประทานของนาข้าวผ่านระบบที่ซับซ้อนของคลองและเขื่อนโดยเริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช กษัตริย์หุ่งผู้ปกครองดินแดนในขณะนั้นได้แตกออกเป็นราชวงศ์ทั้ง 18 ราชวงศ์ ได้เกิดสงครามกลางเมืองแย่งชิงอำนาจกันระยะหนึ่ง จนกระทั่งกษัตริย์หุ่งทั้งหมดได้ร่วมมือกัน นำกองทัพเข้ายึดครองบริเวณเหงะอานและห่าติ๋ญในปัจจุบัน[23] ชาวจามดั้งเดิมซึ่งเป็นชนชาติที่เป็นคู่แข่งของชาวเวียดนามได้ตั้งถิ่นฐานและครอบครองบริเวณจังหวัดกว๋างบิ่ญในปัจจุบัน ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นอาณาจักรจามปาที่นับถือศาสนาฮินดู กษัตริย์หุ่งของชาวเวียดนามเห็นว่าเป็นภัยต่ออาณาจักรของตน นำไปสู่การต่อต้านและปะทะกันระหว่างทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้[23] การรบส่วนใหญ่กองทัพของกษัตริย์หุ่งได้เป็นฝ่ายมีชัยต่อฝ่ายชาวจามดั้งเดิม ทำให้ชาวเวียดนามได้ดินแดนเพิ่มมากขึ้น ยุคห่งบ่างได้สิ้นสุดลงในช่วงกลางของศตวรรษที่สามก่อนคริสต์ศักราช โดยหลังการถือกำเนิดของผู้นำทางทหารคนใหม่คือ ถุก ฟ้าน (Thục Phán) ซึ่งได้นำกองทัพยึดครองวันลาง กษัตริย์หุ่งองค์สุดท้ายถูกขับออกจากราชบัลลังก์ ช่วงสุดท้าย (258 ปีก่อนคริสต์ศักราช)ถุก ฟ้าน (อาน เซือง เวือง) ผู้ปกครองของอาณาจักรที่อยู่ใกล้กัน เผ่าเอิวเหวียตได้โค่นล้มกษัตริย์หุ่งองค์สุดท้ายลงใน 258 ก่อนคริสต์ศักราช หลังจากยึดครองวันลาง ถุก ฟ้านได้รวมเผ่าหลักเหวียตเข้ากับเผ่าเอิวเหวียต และก่อตั้งอาณาจักรใหม่ที่ชื่อว่าเอิวหลัก ถุก ฟ้านสร้างเมืองหลวงและป้อมปราการของเขาขึ้น หรือเป็นที่รู้จักกันในป้อมปราการโก๋ลวา ที่บริเวณเขตดงอาน เมืองฮานอย[24] รัฐบาลการปกครองกษัตริย์หุ่งองค์แรกได้สถาปนารัฐเวียดนามเป็นครั้งแรกขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของความร่วมมือในการสร้างระบบจัดการน้ำ เนื่องจากแม่น้ำแดงจะเกิดปัญหาน้ำท่วมเสมอ จึงต้องมีผู้นำที่มีอำนาจเด็ดขาดในลักษณะที่มีอำนาจเป็นรวมศูนย์เพื่อวางแผนจัดการระบบน้ำ และเพื่อจุดประสงค์ในการต่อสู้กับศัตรูต่างชนเผ่า การสร้างรัฐเวียดนามครั้งแรกนี้เป็นรูปแบบแรกเริ่มของรัฐเอกราช มีการแบ่งลำดับชนชั้นทางสังคมโดยกษัตริย์หุ่งอยู่บนสุดและอันดับรองลงมาเป็นราชสำนักประกอบด้วยที่ปรึกษาหรือขุนนาง หลักเหิ่ว (lạc hầu)[25] อาณาจักรประกอบไปด้วยเขตปกครอง 15 เขต หรือที่เรียกว่า โบะ (bộ) (ที่แปลว่าเขตหรือแคว้น) แต่ละ โบะ จะถูกปกครองโดยตำแหน่งที่เรียกว่า หลักเตื๊อง (lạc tướng)[25] ตำแหน่งหลักเตื๊องส่วนมากเป็นของสมาชิกราชวงศ์ของกษัตริย์หุ่ง ประกอบด้วยชุมชนเกษตรและหมู่บ้านอยู่บนพื้นฐานของระบบการปกครองฉันแม่กับลูกหรือ "มาตาธิปไตย" (Matriarchy system) ด้วยความสัมพันธ์ของตระกูลและปกครองโดย โบะจิ๊ญ (bộ chính) ที่มักจะเป็นหัวหน้าเผ่าผู้ชายที่อาวุโส เทคโนโลยีเครื่องมือสำริดประมาณ 1,200 ปีก่อนคริสต์ศักราช การพัฒนาการปลูกข้าวและหล่อโลหะผสมทองแดง ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำหมาและแม่น้ำแดง นำไปสู่การพัฒนาวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์หรือวัฒนธรรมดงเซินขึ้น หลักฐานที่เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมที่รู้จักกันคือ อาวุธ เครื่องมือ และกลองที่ทำจากสำริดของดงเซิน แสดงถึงอิทธิพลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่บ่งบอกถึงแหล่งกำเนิดของเทคโนโลยีการหล่อด้วยทองแดง มีการค้นพบเหมืองแร่ทองแดงโบราณจำนวนมากในภาคเหนือของเวียดนาม ช่วงเวลาประวัติความเป็นมาของช่วงยุคห่งบ่างแบ่งตามการพิจารณาตามราชวงศ์ที่ปกครองของกษัตริย์หุ่งแต่ละองค์[26] การแบ่งช่วงเวลาของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ยังคงอยู่ในการวิจัยค้นคว้าที่ยังไม่เป็นสรุป[27] วันที่ทางประวัติศาสตร์ดั้งเดิมในยุคนี้ตามตำนานคำบอกเล่าไม่ได้รับการสนับสนุนจากวันที่แน่นอนใด ๆ ที่น่าเชื่อถือสำหรับช่วงประมาณสองพันปี[27] อ้างอิง
ข้อมูล
Kiernan, Ben (2019). Việt Nam: a history from earliest time to the present. Oxford University Press. ISBN 9780190053796. แหล่งข้อมูลอื่น
|