อุดม สิทธิวิรัชธรรม
อุดม สิทธิวิรัชธรรม (เกิด 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2497)[1] เป็นตุลาการชาวไทย เคยดำรงตำแหน่งหลากหลายในวงการตุลาการ ซึ่งรวมถึงการเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญภายหลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557[1] ชีวิตส่วนตัวอุดมเกิดเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2497[3] อุดมสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ใน พ.ศ. 2517[2] เป็นเนติบัณฑิตไทย สมัยที่ 28 จากสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาใน พ.ศ. 2518[2] และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใน พ.ศ. 2525[2] อุดมสมรสกับสมจิตต์ สิทธิวิรัชธรรม[4] การทำงานอุดมเริ่มทำงานในวงการตุลาการด้วยการเป็นนายทหารพระธรรมนูญ กองทัพเรือ ในช่วง พ.ศ. 2519–2524[3] จากนั้นอุดมย้ายไปอยู่ศาลยุติธรรม โดยเริ่มจากตำแหน่งในศาลชั้นต้นดังต่อไปนี้ คือ ช่วง พ.ศ. 2524–2534 เป็นผู้ช่วยผู้พิพากษา ผู้พิพากษาประจำกระทรวง ช่วยทำงานในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลจังหวัดทุ่งสง และผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ผู้พิพากษาศาลจังหวัดแม่สอด ศาลจังหวัดพิษณุโลก และศาลจังหวัดนครสวรรค์ ตามลำดับ[3] พ.ศ. 2534–2540 เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำกระทรวง ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำกระทรวง ช่วยทำงานในตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครสวรรค์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดหลังสวน ศาลจังหวัดอุทัยธานี และศาลจังหวัดกำแพงเพชร ตามลำดับ[3] และ พ.ศ. 2540–2542 เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญา[3] ต่อมาได้เลื่อนขึ้นสู่ศาลชั้นอุทธรณ์ โดยดำรงตำแหน่งดังต่อไปนี้ตามลำดับ คือ พ.ศ. 2542–2549 เป็นผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 6[3] พ.ศ. 2549–2550 เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ ภาค 3[3] พ.ศ. 2550–2552 เป็นประธานแผนกคดีผู้บริโภคในศาลอุทธรณ์ ภาค 5 และประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลอุทธรณ์ ภาค 3[3] พ.ศ. 2552–2554 เป็นรองประธานศาลอุทธรณ์[3] จากนั้นได้ดำรงตำแหน่งในศาลหลายชั้นสลับกันดังนี้ คือ ในช่วง พ.ศ. 2554–2556 เป็นอธิบดีผู้พิพากษา ภาค 1 และอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ ตามลำดับ[3] พ.ศ. 2556–2557 เป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา[3] พ.ศ. 2557–2559 เป็นประธานศาลอุทธรณ์ ภาค 5[3] พ.ศ. 2559–2561 เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา[3] และ พ.ศ. 2561–2563 เป็นประธานแผนกคดีคำสั่งคำร้องและขออนุญาตฎีกาในศาลฎีกา[3] ภายหลัง วุฒิสภาไทย ชุดที่ 12 ซึ่งมีที่มาจากรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557[5] ได้เห็นชอบให้อุดมเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2563[1] ความเห็นในการวินิจฉัยคดีการยุบพรรคก้าวไกลในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ให้ยุบพรรคก้าวไกล และห้ามกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี[6] ต่อมาในวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2567 อุดม ในฐานะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวในที่สาธารณะเกี่ยวกับการที่พรรคดังกล่าวได้รับเงินบริจาคหลังถูกยุบพรรคว่า[7]
คำกล่าวข้างต้นถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการพูดเยาะเย้ยถากถาง และแสดงถึงวุฒิภาวะตลอดจนความไม่เป็นกลาง[8][9][10] นักกฎหมายและนักวิชาการหลายคน เช่น ธงทอง จันทรางศุ, ประจักษ์ ก้องกีรติ, ปริญญา เทวานฤมิตรกุล, พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย, และมุนินทร์ พงศาปาน ตั้งคำถามถึงพฤติกรรมของอุดมว่าขัดต่อจริยธรรมของฝ่ายตุลาการหรือไม่ ซึ่งเป็นจริยธรรมเดียวกับที่อุดมใช้ตรวจสอบผู้อื่น[11] นอกจากนี้ บางภาคส่วนในสังคมออกแถลงการณ์เรียกร้องให้อุดมลาออก[12] และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีกำหนดจะยื่นญัตติต่อสภาฯ ให้ตรวจสอบอุดม เนื่องจากเห็นว่า "มีอคติ ไม่คู่ควรเป็นตุลาการ"[13] ความเป็นรัฐมนตรีของเศรษฐา ทวีสินใน พ.ศ. 2567 มีการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเพราะฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ อุดมเป็นตุลาการเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 เสียงที่ให้รับคดีนี้ไว้พิจารณา และเป็นตุลาการเสียงข้างน้อย 4 ต่อ 5 เสียงที่ให้เศรษฐาหยุดปฏิบัติหน้าที่ระหว่างการพิจารณา และเป็นตุลาการเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 เสียงที่ให้ความเป็นรัฐมนตรีเศรษฐาสิ้นสุดลง[2] ทรัพย์สินจากการเปิดเผยทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเมื่อเข้ารับตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใน พ.ศ. 2563 ปรากฏว่า อุดมมีทรัพย์สินรวม 8,656,369 บาท มีรายได้ต่อปีรวม 4,370,000 บาท และมีหนี้สินรวม 308,413 บาท ส่วนคู่สมรสของอุดมมีทรัพย์สินรวม 15,758,681 บาท มีรายได้ต่อปีรวม 210,000 บาท และมีหนี้สินรวม 6.7 แสนบาท[4] เครื่องราชอิสริยาภรณ์
อ้างอิง
|