เจริญ สิริวัฒนภักดี
เจริญ สิริวัฒนภักดี (เคียกเม้ง แซ่โซว, เจริญ ศรีสมบูรณานนท์; เกิด 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2487) เป็นนักธุรกิจชาวไทยเชื้อสายจีน เป็นผู้ก่อตั้งและประธานกลุ่มทีซีซี ประธานกรรมการหลายบริษัทในกลุ่ม เช่น บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตเครื่องดื่มตราช้าง[1] ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน), ประธานกรรมการ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ รวมถึงเป็นสมาชิกสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน[2] ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ในคณะกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด[3] และอดีตอุปนายกอาวุโส สมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทย จากการจัดอันดับโดยนิตยสารฟอบส์ (ข้อมูล ณ วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2567) เจริญ สิริวัฒนภักดี มีทรัพย์สินรวมทั้งหมด 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 3.666 แสนล้านบาท โดยเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 3 ของประเทศไทย (อันดับที่ 1 คือนายเฉลิม อยู่วิทยา เจ้าของธุรกิจกระทิงแดง และอันดับที่ 2 คือสุภกิตและศุภชัย เจียรวนนท์ เจ้าของธุรกิจเครือเจริญโภคภัณฑ์)[4] นายกองเอก เจริญ สิริวัฒนภักดี สมรสกับ คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี มีบุตร 5 คน (ชาย 2 คน หญิง 3 คน) ได้แก่
ประวัตินายกองเอก เจริญ สิริวัฒนภักดี มีชื่อภาษาจีนว่า “โซว เคียกเม้ง” (苏 旭明, เคียกเม้ง แซ่โซว) ชื่อนามสกุลเดิมคือ "ศรีสมบูรณานนท์" เกิดเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2487 บิดามีอาชีพขายหอยทอด เขาใช้เวลาเรียนถึง 8 ปีเพื่อให้จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนเผยอิง เนื่องจากระหว่างเรียนต้องทำงาน หาเลี้ยงชีพด้วยการขายของเล็กๆ น้อยๆ เมื่อเขาอายุ 11 ปี ได้รับจ้างเข็นรถส่งสินค้าย่านสำเพ็ง ทรงวาด จากนั้นจึงขยับเป็นพ่อค้าหาบของขาย ปี พ.ศ. 2504 ได้เป็นลูกจ้างของชาวจีนที่อพยพมาอยู่เมืองไทยคนหนึ่ง ในบริษัทย่งฮะเส็ง และห้างหุ้นส่วนจำกัด แพนอินเตอร์ ที่จัดส่งสินค้าให้โรงงานสุราบางยี่ขัน และเพียงปีเดียวเขาได้เป็นซัพพลายเออร์ให้โรงงานสุราบางยี่ขันเอง นำมาสู่การรู้จักกับนายจุล กาญจนลักษณ์ ผู้เชี่ยวชาญการปรุงรสสุรา โดยเฉพาะสูตร "แม่โขง" และคุ้นเคยกับเจ้าสัว "เถลิง เหล่าจินดา" ผู้มีอำนาจในการจัดซื้ออุปกรณ์ทุกอย่างของโรงงาน เขากลายเป็นขุนพลคู่ใจของเจ้าสัวเถลิงในเวลาไม่นาน เพราะความอ่อนน้อมถ่อมตนและมีสัมมาคารวะ กลยุทธ์และเคล็ดลับในการทำธุรกิจสุราจึงเป็นของเขาในที่สุด เมื่ออยู่ในวงการของเจ้าสัวแล้ว จึงได้มีโอกาสพบกับ "วรรณา แซ่จิว" หรือปัจจุบันคือ "คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี" บุตรสาวของ "เจ้าสัวกึ้งจู แซ่จิว" ปี พ.ศ. 2518 บริษัทธารน้ำทิพย์ ผู้ผลิต "ธาราวิสกี้" ของพงส์ สารสิน และประสิทธิ์ ณรงค์เดช ประสบภาวะขาดทุนและประกาศขาย กลุ่มเจ้าสัวเถลิงและเจริญจึงเข้าซื้อกิจการ ซึ่งก็คือบริษัทแสงโสมในปัจจุบัน ปี พ.ศ. 2529 เจริญได้เข้าสู่ธุรกิจธนาคารและการเงิน ด้วยความช่วยเหลือของพ่อตา เข้าไปซื้อหุ้นในธนาคารมหานคร บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์มหาธนกิจ ซื้อหุ้นในบริษัทอาคเนย์ประกันภัย และอีกหลายกิจการ ปี พ.ศ. 2530 ได้รับพระราชทานนามสกุล "สิริวัฒนภักดี" ปี พ.ศ. 2537 ซื้อกิจการกลุ่มโรงแรมอิมพีเรียล ที่มีโรงแรมในเครือจำนวนมากจากนายอากร ฮุนตระกูล และจากนั้น ”เจ้าสัวเจริญ” ก็ขยายธุรกิจอย่างไม่เคยหยุดยั้ง จนกระทั่งถึงปัจจุบัน โดยมีทายาท 5 คน พร้อมสานต่อ คือ อาทินันท์ วัลลภา ฐาปน ฐาปนี และปณต ปี พ.ศ. 2544 คุณหญิง วรรณา สิริวัฒนภักดี ดำรงตำแหน่ง รองประธานกรรมการ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) ปี พ.ศ. 2546 คุณหญิง วรรณา สิริวัฒนภักดี ดำรงตำแหน่ง รองประธานกรรมการ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ปี พ.ศ. 2547 คุณหญิง วรรณา สิริวัฒนภักดี ดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัทแสงโสม ปี พ.ศ. 2555 วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555 ได้รับพระราชทานยศกองอาสารักษาดินแดน เป็นนายกองเอก ปรัชญาการดำเนินธุรกิจที่เป็นเลื่องลือของเจ้าสัว "เจริญ" คือ การซุ่มซ่อนยาวนาน สะสมทุน รอคอยโอกาส ที่สำคัญ "คุณธรรมน้ำมิตร" ที่ว่า "บุญคุณต้องทดแทน" ทำให้เส้นทางของ "เจ้าสัวเจริญ" ยังมีโอกาสอีกยาวไกล เจริญ สิริวัฒนาภักดี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และปริญญาโทจากคณะเดียวกัน นอกจากนี้แล้วนายเจริญ ยังได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จาก 12 มหาวิทยาลัยในประเทศไทย[5] ด้านภรรยา คุณหญิง วรรณา สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัทแสงโสม ได้รับพระราชทาน ปริญญาบัตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการจัดการ วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ บริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ เทคโนโลยีชีวภาพ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ บริหารธุรกิจการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ คณะบริหารธุรกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก [6]ต่อมาในวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2561 มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ คุณหญิง วรรณา สิริวัฒนภักดี ดำรงตำแหน่ง กรรมการในคณะกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช [7] ช่วงเริ่มเข้าสู่ธุรกิจสุราปี พ.ศ. 2504 ได้เป็นลูกจ้างของชาวจีนที่อพยพมาอยู่เมืองไทยคนหนึ่ง ในบริษัท "ย่งฮะเส็ง" และห้างหุ้นส่วนจำกัด "แพนอินเตอร์" ที่จัดส่งสินค้าให้ "โรงงานสุราบางยี่ขัน" นำมาสู่การรู้จักกับนาย "จุล กาญจนลักษณ์" ผู้เชี่ยวชาญการปรุงรสสุรา "แม่โขง" เจ้าสัวเข้าสู่วงการธุรกิจสุราด้วยการชวนของเถลิง เหล่าจินดา แห่งกลุ่มสุราทิพย์ ผู้ซึ่งต่อมาเป็นปรปักษ์กับตระกูลเตชะไพบูลย์ ซึ่งถือเป็นเจ้าพ่อในวงการนี้มายาวนาน ในปี พ.ศ. 2525 เมื่อเถลิงผ่านการต่อสู้อย่างโชกโชน ก็เหนื่อยล้าลาจากวงการไป เจริญก็เข้าสวมแทนและสามารถเอาชนะกลุ่มเตชะไพบูลย์ โดยเข้ายึดครองกลุ่มสุรามหาราษฎร อย่างสิ้นเชิงในปี พ.ศ. 2530 ในขณะเดียวกันนั้น พ่อตาของคุณเจริญ(นายกึ้งจู แซ่จิว) ก็เข้ายึดกิจการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์มหาธนกิจจากตระกูลเตชะไพบูลย์อีกสายหนึ่ง ต่อมาเมื่อเตชะไพบูลย์สายนั้น (โคโร่-คำรณ เตชะไพบูลย์) มีปัญหาในการบริหารธนาคารมหานคร เจริญและพ่อตา ซึ่งมีสองขาทางธุรกิจที่หนุนเนื่องกัน (ธุรกิจสุราและการเงิน) และกำลังเริ่มยิ่งใหญ่ในปี พ.ศ. 2530 ก็เข้ายึดครองกิจการ การเงิน ทั้งธนาคารและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ไว้ ทั้งๆ ที่ธุรกิจการธนาคารสำหรับสังคมไทยถูกปิดตายสำหรับคนนอกมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง จากจุดนี้จึงถือว่า เจริญ สิริวัฒนภักดี สร้างอาณาจักรที่มั่นคงและโหมโรงการขยายตัวอย่างเชี่ยวกรากในเวลาจากนั้นมา ขยายสู่ธุรกิจเบียร์ก่อนที่จะมาเป็นคนรวยที่สุดของประเทศไทย มีความยากจนมากแต่ท่านชอบอาชีพนักขายเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ต่อสู้มาจนถึงปัจจุบัน ธุรกิจสุราดั้งเดิม แม้ว่าระบบสัมปทานแบบเดิมกำลังจะปิดฉากลง แต่เขาก็สามารถใช้เครือข่ายการค้าแบบเดิม ซึ่งฝังรากในตลาดล่างกับเครือข่ายการค้า ในชุมชนซึ่งถือว่าเป็นเครือข่ายการค้าที่เข้มแข็งที่สุดเครือข่ายหนึ่งในสังคมไทย ภายใต้ระบบเอเย่นต์ และระบบขายพ่วง (สุราพ่วงเบียร์ สุราพ่วงโซดา) ที่เข้มแข็งนั้นเดินหน้าธุรกิจต่อไปจากนั้นก็ต่อเนื่องเข้าสู่ธุรกิจเบียร์ (เบียร์ช้าง และเบียร์คาร์ลสเบอร์ก) ซึ่ง เสริมกับค้าสุราได้อย่างกลมกลืน ภายใต้โครงสร้างการแข่งขันที่ดุเดือดของธุรกิจนี้ นำเอาโมเดลการค้าสุรามาทำให้ความสามารถในการแข่งขันอยู่ได้ ซึ่งถือว่าเบียร์ช้าง เป็นคู่แข่งทางการตลาดของเบียร์สิงห์โดยตรง ปี พ.ศ. 2537 ได้เข้าซื้อกิจการกลุ่มโรงแรมอิมพีเรียล ที่มีโรงแรมในเครือจำนวนมากจากนายอากร ฮุนตระกูล และจากนั้นก็ขยายธุรกิจอย่างไม่เคยหยุดยั้ง จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ตำแหน่งทางธุรกิจในปัจจุบัน
ยศ
เครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย
ต่างประเทศดูเพิ่มอ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น |