โรงเรียนเผยอิง
โรงเรียนเผยอิง (จีน: 培英学校) เป็นโรงเรียนเอกชนสอนภาษาจีน ที่ดำเนินงานโดย สมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย มีปรัชญาว่า "รักชาติ เพียรศึกษา ซื่อสัตย์ มีคุณธรรม", คติพจน์คือ "ความเพียรพยายาม นำไปสู่ความสำเร็จ" และคำขวัญว่า "เรียนดี กีฬาเด่น เน้นคุณธรรม"[2] ปัจจุบัน (พ.ศ. 2553) มีคณะผู้บริหารประกอบด้วย ดร.ไกรสร จันศิริ นายกสมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย ประธานกรรมการโรงเรียน, นางสาวนงลักษณ์ เดชดำเกิงชัย ผู้อำนวยการโรงเรียน และ นางจินตนา โรจน์ขจรนภาลัย นายกสมาคมศิษย์เก่าเผยอิง[3] ประวัติโรงเรียนเผยอิง ก่อตั้งขึ้นโดย พระอนุวัตน์ราชนิยม (ฮง เตชะวณิช) นายบ่อนหวย กข อย่างถูกต้องตามกฎหมาย บริจาคทุนร่วมกับบรรดาพ่อค้าชาวจีนหลายคน[4] เปิดโรงเรียนสอนภาษาจีนสำเนียงแต้จิ๋ว เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2463 มีที่ตั้งอยู่ในซอยอิสรานุภาพ ติดกับศาลเจ้าเล่าปูนเถ้ากง หรือศาลเจ้าเก่า โดยที่ส่วนหน้าโรงเรียน หันไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา มีเนื้อที่ทั้งหมด 2 ไร่ 14 ตารางวา[2] และนายหลีเต็กออ เป็นผู้จัดการโรงเรียนคนแรก แต่เนื่องจากภาษาจีนกลางได้รับความนิยมมากกว่า โรงเรียนฯ จึงเริ่มจ้างนายก๊วยบุ้นปิงมาเป็นผู้สอน เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2464 และด้วยความก้าวหน้าของการสอนภาษาจีนในประเทศไทยขณะนั้น โรงเรียนจึงเปิดสอนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นทีเดียว[5] วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2470 นับเป็นวันสำคัญอย่างยิ่งของโรงเรียน เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมโรงเรียนป้วยเอง เป็นการส่วนพระองค์[6] โอกาสนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานกระแสพระราชดำรัส แก่คณาจารย์ นักเรียน เจ้าหน้าที่โรงเรียน ชุมชนชาวจีน และชาวไทยเชื้อสายจีนในละแวกนั้น มีใจความดังนี้
ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. 2476 โรงเรียนฯ เปลี่ยนระบบเป็นสหศึกษา เริ่มต้นรับนักเรียนหญิงเข้าศึกษาเป็นรุ่นแรก[8] และปลายปี พ.ศ. 2478 คณะกรรมการโรงเรียนฯ มีมติให้เลิกจ้างครูใหญ่ชาวไทย กระทรวงธรรมการ (ปัจจุบันคือ กระทรวงศึกษาธิการ) จึงมีคำสั่งปิดกิจการ เพราะขัดต่อระเบียบการดำเนินกิจการโรงเรียน คณะกรรมการสมาคมแต้จิ๋วฯ จึงยื่นคำขอเปิดโรงเรียนประถมศึกษา อีกครั้งบนที่ตั้งเดิม แต่ใช้ชื่อใหม่ว่า เฉาโจวกงสวย ในปี พ.ศ. 2479 โดยสอนภาษาไทยเป็นหลัก 20 ชั่วโมงครึ่งต่อสัปดาห์ และต้องจัดการสอนภาษาจีนเป็นภาษาต่างประเทศ พร้อมทั้งลดเวลาสอนลงเหลือเพียง 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ตามระเบียบของกระทรวงฯ แต่ก็ถูกสั่งปิดอีกครั้ง เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2482 เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สอง สมาคมแต้จิ๋วฯ จึงนำอาคารเรียนไปใช้ เป็นที่ทำการชั่วคราว[9] หลังสงครามสิ้นสุดลง มีการลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพไทย-จีน เมื่อปี พ.ศ. 2489 เป็นผลให้โรงเรียนจีน ได้รับอนุญาตให้กลับมาเปิดสอนอีกครั้ง คณะกรรมการสมาคมแต้จิ๋วฯ จึงมีมติให้ให้ฟื้นฟูโรงเรียนเผยอิงขึ้นใหม่ (เริ่มใช้สำเนียงจีนกลาง) โดยแต่งตั้งให้นายเซี่ยเหอ อดีตครูใหญ่เฉาโจวกงสวย เป็นครูใหญ่ฝ่ายจีนคนแรกของเผยอิง ที่กลับมาเปิดการสอนอีกครั้ง เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ปีเดียวกัน[9] โดยเปิดสอนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - 4 และกลับมาสอนภาษาจีนเป็นหลักอีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2492 โรงเรียนฯ ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ที่กำหนดให้โรงเรียนทั่วประเทศ สอนภาษาไทยเป็นเวลา 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ภาษาต่างประเทศ 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์[5] จากนั้น ราวปี พ.ศ. 2501 สมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย ขอรับใบอนุญาตจากกระทรวงฯ เพื่อเป็นเจ้าของโรงเรียนฯ เนื่องด้วยนายพงส์ สุรพงศ์ชัย ลาออกจากตำแหน่ง และเมื่อกระทรวงฯ ปรับปรุงหลักสูตรประถมศึกษาใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2521 โรงเรียนฯ จึงขยายชั้นเรียนประถมศึกษาปีที่ 5 และเพิ่มการสอนภาษาไทยเป็น 25 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สัปดาห์ละ 5 วัน ส่วนภาษาจีนสอนเพียง 5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยเปลี่ยนแปลงตามระเบียบปีละ 1 ชั้นเรียน และในปี พ.ศ. 2522 โรงเรียนฯ ก็ขยายชั้นเรียนครบจนถึงประถมศึกษาปีที่ 6 ตามหลักสูตรใหม่[5] สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมชมการเรียนการสอน ของโรงเรียนเผยอิงถึงสามครั้ง คือเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2544 ซึ่งเป็นการเสด็จฯ เป็นการส่วนพระองค์, เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2545 เป็นการทรงนำนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ชั้นปีที่ 5 จำนวน 30 นาย มาทัศนศึกษาย่านเยาวราชและสำเพ็ง ในฐานะทรงเป็นทูลกระหม่อมอาจารย์ และเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2552 ในโอกาสเสด็จฯ เยือนย่านเยาวราช เนื่องในเทศกาลตรุษจีน[6] อาคารหลังแรกอาคารหลังแรกของโรงเรียนฯ เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีสามชั้น รูปแบบสถาปัตยกรรมโคโลเนียล ภายในมีโถงกลางทางเข้า มีจุดเด่นที่หน้าบันชั้นบนสุด ประดับด้วยนาฬิกาขนาดใหญ่ และแจกันปูนปั้นบนยอดอาคาร จัดสร้างขึ้นโดยทุนของคณะผู้ก่อตั้งโรงเรียนฯ 300,000 บาท เริ่มงานก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2459 เสร็จสมบูรณ์เมื่อปี พ.ศ. 2463[10] โดยอาคารหลังนี้ ได้รับพระราชทานรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น และรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2545 จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งรางวัลดังกล่าว จัดโดยสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์[6] ศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียง
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|