เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวลิ้มกอเหนี่ยว (จีน: 林姑娘; แปลตรงตัว: "พรหมจารีหลิน")[1] หรือ ลิ้มโกวเนี้ย ตามสำเนียงแต้จิ๋ว เป็นเทพที่ชาวจีนในภาคใต้ของประเทศไทยสักการะ กล่าวกันว่า เธอเป็นน้องสาวของลิ้มโต๊ะเคี่ยม โดยเธอฆ่าตัวตายหลังไม่สามารถเกลี้ยกล่อมให้พี่ชายกลับบ้านได้ และต่อมาถูกบูชาเป็นเทพีของชุมชนจีนในภาคใต้ของประเทศไทย เพื่อแสดงถึงความกตัญญูและความรู้สึกรักชาติต่อประเทศจีน ในจังหวัดปัตตานีมีศาลเจ้าเล่งจูเกียงและพิพิธภัณฑ์ที่อุทิศแด่ตัวเธอ[2] ตำนานกล่าวกันว่า ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นน้องสาวของลิ้มโต๊ะเคี่ยม ผู้เป็นโจรสลัดในจีนราชวงศ์หมิงที่ตั้งถิ่นฐานในอาณาจักรปาตานีในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ไม่มีใครรู้ว่าเธอมีตัวตนจริงหรือไม่ และชื่อเธอก็ไม่กระจ่างพอ (กอเหนี่ยว แปลว่า "พรหมจารี" หรือ "หญิงสาว") ข้อมูลบางส่วนอ้างว่า เธอมีชื่อว่าสี่เจิน (慈貞) แต่อีกเรื่องหนึ่งที่ลิ้มโต๊ะเคี่ยมออกจากไต้หวันบันทึกชื่อเธอเป็นจินเหลี่ยน (金蓮)[3] ตามตำนาน เมื่อแม่เธอป่วย ลิ้มกอเหนี่ยวจึงตามหาลิ้มโต๊ะเคี่ยม โดยสาบานว่าจะไม่กลับมาจนกว่าจะนำเขากลับมา เธอพบลิ้มโต๊ะเคี่ยมที่ปาตานี โดยเขาแต่งงานกับพระราชธิดาของสุลต่าน เข้ารับอิสลาม และกำลังสร้างมัสยิดให้ราชินี แต่เขาไม่ยอมกลับบ้าน นั่นทำให้เธอฆ่าตัวตายโดยการแขวนคอบนต้นมะม่วงหิมพานต์[1][4] ก่อนที่เธอจะเสียชีวิต เธอสาปให้มัสยิดที่พี่สร้าง (เชื่อว่าเป็นมัสยิดกรือเซะ) ไม่มีวันเสร็จ ด้วยความอาลัย ชาวจีนท้องถิ่นยุคหลังได้สร้างรูปสลักจากต้นไม้ที่เธอแขวนคอ สร้างศาลเจ้าขนาดเล็ก และสักการะเธอเพื่อแสดงถึงความกตัญญูและความรู้สึกรักชาติต่อประเทศจีน[3] กล่าวกันว่า พี่ชายของเธอสร้างสุสานใกล้กับมัสยิดกรือเซะใน ค.ศ. 1574 แต่จริง ๆ มันอาจถูกสร้างในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20[5][3] เชื่อกันว่า ที่ฝังศพของเธอจริง ๆ อยู่ริมท่าเรือ ซึ่งถูกน้ำทะเลท่วมแล้ว ทำให้ต้องย้ายสุสานไปตั้งข้างมัสยิดกรือเซะในช่วง ค.ศ. 1919[6] การสักการะเดิมทีรูปเคารพเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวตั้งอยู่ในศาลเจ้าขนาดเล็กใกล้มัสยิดกรือเซะ[6] ก่อนเคลื่อนย้ายไปที่ศาลเจ้าเล่งจูเกียง (靈慈宮) ซึ่งศาลเจ้านี้เคยมีชื่อว่าศาลเจ้าจ้อซูก้ง (祖師公祠) ที่อุทิศแด่เฉ่งจุ้ยจ้อซู มีบันทึกในศาลเจ้าว่า มีศาลเจ้านี้ในกัวลาเบอกะฮ์แห่งปาตานีใน ค.ศ. 1547 ด้วย โดยเป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่สุดที่อุทิศให้กับปรมาจารย์เฉ่งจุ้ยเท่าที่รู้จักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้[7][8] กล่าวกันว่า ผู้นำจีนชื่อว่า หลวงจีนคณานุรักษ์ ตกแต่งศาลเจ้าใหม่และย้ายรูปแกะสลักของลิ้มกอเหนี่ยวมาที่นี่ใน ค.ศ. 1879[9] หลังย้ายรูปเคารพมาแล้ว ศาลเจ้านี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเล่งจูเกียง แต่คนทั่วไปเรียกว่าศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ในศาลเจ้านี้ยังมีเทพเจ้าองค์อื่นที่ได้รับสักการะด้วย เช่นม่าจ้อโป๋และฝูเต๋อเจิ้งเชิน ต่อมามีการปรับปรุงศาลเจ้านี้บางส่วนใน ค.ศ. 1912 และ ค.ศ. 1969[3] ศาลเจ้าอื่นที่อุทิศแด่ลิ้มกอเหนี่ยวมีอยู่ในย่านจังหวัดสงขลาและจังหวัดยะลา และมีการสักการะตัวเธอในบางเมืองในภาคกลางและภาคใต้ตอนบน[6] การสักการะลิ้มกอเหนี่ยวเริ่มเผยแผ่นอกพื้นที่ปัตตานีในคริสต์ทศวรรษ 1950[3] และศาลเจ้าในปัตตานีกลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวสำหรับผู้ที่มาจากประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์มาตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา[5] เทศกาลงานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวจัดขึ้นทุกปีที่จังหวัดปัตตานี โดยเริ่มต้นในวันปีใหม่จีนในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ต่อมาในวันที่ 15 ชาวบ้านจะยกภาพไม้ของลิ้มกอเหนี่ยวกับเทวรูปอื่น ๆ 17 รูปในศาลเจ้าเป็นขบวนใหญ่ ให้ผู้คนในย่านต่าง ๆ สักการะ[10] ภาพเหล่านี้จะถูกยกข้ามแม่น้ำปัตตานีผ่านการแช่ในน้ำ และในวันต่อมา ผู้ที่ถือก็จะเดินลุยไฟ[9][11] อ้างอิง
|