เรือเรือ เป็นยานพาหนะที่ใช้เดินทางทางน้ำ เรือโดยทั่วไปโครงสร้างประกอบด้วยตัวเรือ เป็นโครงสร้างที่สามารถลอยน้ำได้ (ซึ่งอาจเป็นส่วนเดียวหรือสองส่วนขนาดกันก็ได้ แต่ไม่รวมถึงแพซึ่งปกติโครงสร้างลอยน้ำจะทำจากกระบอกกลวงหลาย ๆ ท่อนผูกติดกันหรืออาจใช้ไม้ที่มีลักษณะกลมและเบาจึงสามารถลอยนํ้าได้) กับ ส่วนที่เป็นการขับเคลื่อนของเรือ เช่น ไม้พาย (เรือพาย หรือ เรือแจว) เครื่องยนต์หางยาว (เรือหางยาว) ใบเรือ เรือใบ เป็นต้น อาร์คิมีดีส ค้นพบหลักที่ทำให้สิ่งต่าง ๆ ลอยได้ เริ่มต้นจากเขาโดดลงอ่างอาบน้ำและสังเกตว่าน้ำจะกระฉอกออกไป ขณะที่เรือลอยอยู่ในน้ำเรือก็"แทนที่"น้ำในรูปแบบเดียวกัน และยังค้นพบอีกว่า น้ำส่วนที่เรือเข้าไปแทนที่จะต้านกลับด้วยแรงที่เท่ากับน้ำหนักของเรือ ความหนาแน่นของเรือเป็นสิ่งสำคัญ ความหนาแน่นคือ น้ำหนักวัตถุที่วัดได้ต่อหนึ่งปริมาตรของวัตถุนั้น หากเรือหรือวัตถุใด ๆ ก็ตามมีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำ สิ่งนั้นจะลอยได้ แต่หากวัตถุมีความหนาแน่นมากกว่าก็จะจม ส่วนประกอบของเรือ
เรือในช่วงเริ่มต้นเรือช่วงเริ่มต้น (Early Ships) ประมาณก่อนคริสต์ศักราชถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 เป็นช่วงยุคสมัยที่เจริญก้าวหน้าของ ชนเผ่าโรมัน กรีก และไวกิ้ง เรือที่มีชื่อเสียง คือ แกลลีย์ (Galley) และเรือทรีรีม (Trireme) เป็นเรือของชนชาวกรีก และโรมันในสมัยนั้น ลักษณะเรือส่วนใหญ่ เป็นเรือมีเสาใบเรือ 2 เสาใช้ลม และพาย เคลื่อนที่ ทำให้เรือในสมัยนี้แล่นด้วยความเร็วสูงและสามารถแล่นได้ทั้งน้ำตื้นและลึก มักทำหัวเรือให้แหลม ซึ่งสามารถพายไปเจาะเรือตรงข้ามได้และทหารเรือก็จะรีบข้ามไปอีกฝั่งของศัตรู หรือไม่ก็ใช้ธนูเพื่อโจมตี เมื่อกล่าวถึงเรือมีฝีพายอย่างน้อย 60 คน ส่วนใหญ่จะให้ทหารเรือ คุมทาส ในการพายแทน แต่เนื่องจากพายนั้นมีขนาดใหญ่และหนัก ต้องใช้คนงานถึง 6 คนในการช่วยกันพาย แต่หลังจากยุคสมัยโรมันล่มสลายเรือสำเภาก็มาแทนที่[1] ยุคแห่งการสำรวจยุคสำรวจ (Age of Exporation) ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 14–17 ประเทศที่มีเรือพาณิชย์ เรือรบ เรือสินค้า ปรากฏเด่นชัดคือ สเปน รองลงมาคือ โปรตุเกส อิตาลี อังกฤษ ฝรั่งเศส เรือมีความก้าวหน้ามาก ทั้งขนาดที่ใหญ่ขึ้น พื้นที่ใช้สอยมากขึ้น สามารถแล่นอยู่ทะเลกลางมหาสมุทรได้นาน ยุคนี้จึงเป็นยุคแห่งการค้นพบมีนักสำรวจที่มีชื่อเสียงหลายคนในยุคนี้เช่น เจิ้งเหอ, คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เป็นต้น ลักษณะเรือส่วนใหญ่เรียกว่า"เรือสำเภา"มี เสาใบเรือ 1–3 เสาขึ้นไป เริ่มใช้ลมแทนการใช้พายร่วมกับลม เป็นเหตุให้ยุคนี้เรือวิ่งได้ค่อนข้างช้าและไม่เร็วเท่ายุคก่อนหน้านี้ แต่เรือยุคนี้มีข้อดีคือไปได้ไกลและมีท้องเรือ สามารถเก็บเสบียง และเป็นที่พักได้ แต่ที่พักท้องเรือนี้จะอึดอัดและร้อนมาก ส่วนมากจะเป็นแค่ลูกเรือหรือทาสที่จะอยู่ในบริเวณนี้ ส่วนกัปตันจะได้อยู่ห้องที่ดีกว่านี้นั้นคือท้ายเรือ เรือสมัยนี้ส่วนใหญ่จะติดปืนใหญ่ (ยุคแรก ๆ) บริเวณด้านข้างของเรือ (ซ้าย-ขวา) ส่วนใหญ่เรือสำเภาทุกลำจะติดตั้งไม่ว่าจะเป็นเรือขนส่งสินค้า เรือพาณิชย์ เพื่อป้องกันตัวจากศัตรู และโจรสลัด ซึ่งมีค่อนข้างมากในมหาสมุทรและอันตราย[2] ยุคสิ้นสุดการเดินเรือใบยุคสิ้นสุดของใบเรือ (End of sail) ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 17–18 การผลิตเรือในสมัยนี้เน้นความใหญ่โตมโหฬาร เพื่อนำไปรบเป็นหลัก ดังที่เห็นในภาพยนตร์ ไพเรทส์ออฟเดอะแคริบเบียน เรือแต่ละลำใช้ไม้ โครงสร้างเล็กสูงมาก ในยุคนี้เป็นยุคที่เริ่มเลิกการสำรวจแล้วเพราะ นักเดินเรือสำรวจไว้หมดเกือบทั้งโลกและนักเดินเรือทุกคนเข้าใจว่าโลกกลม เขียนแผนที่ไว้หมด จึงไม่จำเป็นต้อง สำรวจเพิ่มเติมอีก ประเทศที่เป็นเจ้าในการเดินสมุทร ยังคงเป็น อังกฤษ รองลงมาคือ ฝรั่งเศส สหรัฐ เรือในยุคนี้เช่นเดิมยังคงเรียกว่า "เรือสำเภา"อยู่มีลักษณะคล้ายกับยุคก่อน เพียงแต่เรือจะใหญ่กว่ามาก มีเรือบางลำติดตั้งเครื่องยนต์ไอน้ำแล้วในปลายยุคนี้เช่น ไอออนแคลด (Ironclad) และยุคนี้มีเรือดำน้ำชนิดแรก ๆ เกิดขึ้นแล้วคือ "เรือเต่า (Turtle)" ของสหรัฐ[3] ยุคเรือพาณิชย์ยุคเรือพาณิชย์ (Merchant Ships) ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 18–ปัจจุบัน หลายประเทศโดยเฉพาะแถบยุโรป สงครามแบบเมื่อยุคเมื่อก่อนเริ่มหมดไป แทนที่ด้วยยุคที่ทำการค้ากันมากขึ้น การค้าขายทางเรือ การเดินทะเล การท่องเที่ยวข้ามประเทศเริ่มเป็นที่นิยม เพราะฉะนั้นเรือท่องเที่ยว จะต้องทันสมัยและหรูหรา เพื่อให้คนมาซื้อตั๋ว เรือในยุคนี้เน้นความสวยงามเป็นหลักบวกกับความสะดวกสบาย เรือมักจะเป็นเรือยนต์ เครื่องยนต์ไอน้ำ เครื่องยนต์เชื้อเพลิงน้ำมัน เรือจะไปอย่างช้า ๆ ไม่เร่งรีบเพื่อให้คนได้ใช้ชีวิตอยู่กับเรือนาน ๆ อาจเป็นสัปดาห์หรือเดือน ไททานิก คือเรือที่โด่งดังที่สุดในโลก เป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในยุคนั้น ส่วนในปัจจุบันเรือท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่ในโลกคือ เอ็มเอส โอเอซิสออฟเดอะซีส์ [4][5] ยุคไอน้ำและเหล็กกล้าเรือไอน้ำและเหล็กกล้า (Steam and Steel) ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 18–19 ยุคนี้เรือรบทางทะเลมีความก้าวหน้า เรือส่วนใหญ่เริ่มเป็นแบบสมัยใหม่แล้ว โดยส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นเหล็กกล้า ใช้พลังงานไอน้ำเป็นหลัก และเริ่มเลิกใช้เสาใบแล้ว มีการใช้เรือดำน้ำในกองทัพมากขึ้น โดยยุคนี้เจ้าในการเดินเรือยังคงเป็น อังกฤษ สหรัฐ และ เยอรมนี ลักษณะเรือรบส่วนใหญ่มีปืนใหญ่รุ่นใหม่ มีปืนกลรอบเรือ มีหอบังคับการในตัว พร้อมกับเครื่องสื่อสารมากขึ้น[6] ยุคสงครามโลกครั้งที่ 1เรือรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 (Naval Vessels/World war 1) ประมาณ ค.ศ. 1906–1935 ยุคนี้เริ่มใช้คำศัพท์คำว่า "Dreadnought" (เดรดนอต) เป็นเรือลำแรกที่อังกฤษใช้นาม Royal ในกองทัพเรือหลวง เรือนี้เกิดจากที่เยอรมนีและอังกฤษเป็นคู่แข่งกัน โดยเยอรมันเป็นฝ่ายที่คิดได้ก่อน อังกฤษจึงหาทางสร้างเรือให้เพิ่มขึ้นเพื่อไม่ให้เรือเยอรมันมีจำนวนเกินกว่ามาก และอาจทำให้เกิดสงครามทางทะเลได้ ลักษณะเรือคล้ายกับยุค เหล็กกล้าและไอน้ำ เนื่องจากยุคนี้ยังคงใช้ไอน้ำอยู่[7] ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2เรือรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 (World war 2) ช่วงระหว่าง ค.ศ.1936–1945 ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเป็นช่วงที่มหาอำนาจของโลกทำสงครามกัน ส่วนมากจะใช้เรือดำน้ำ เรือประจัญบาน เป็นหลัก รวมถึงการใช้เรือบรรทุกเครื่องบินด้วย การโจมตีโดยใช้การเล็งอาจไม่แม่นยำ เท่าการใช้เรดาร์ ยุคนี้เรือหลาย ๆ ลำใช้เรดาร์จับศัตรู ช่วยในพิกัดการเล็ง การโจมตีทางอากาศเริ่มมีบทบาทกับเรือมากขึ้น เครื่องบินสามารถปล่อยตอร์ปิโดโจมตีเรือให้ล่มได้ เจ้าแห่งการเดินสมุทร ยังคงเป็นอังกฤษ ตามด้วยเยอรมัน และสหรัฐ เรือส่วนใหญ่จะใช้อาวุธที่ทันสมัย อย่างเช่นปืนใหญ่ขนาดมหึมา การใช้ตอร์ปิโดทำลายเรือ เรือที่มีชื่อเสียงได้ยุคนี้ ได้แก่ HMS Hood , USS Enterprise , Bismarck , Yamato , เรือประจัญบานชั้นไอโอวา เป็นต้น[8], คำนำหน้าชื่อเรือในกองทัพเรือของแต่ละประเทศ
ยุคนิวเคลียร์ช่วงระหว่าง ค.ศ. 1946–2000 สงครามเย็นระหว่างสหรัฐ กับโซเวียต เรือรบหลาย ๆ ลำเริ่มพัฒนาสามารถใช้พลังงานที่ไม่มีวันหมดอย่างพลังงานนิวเคลียร์ติดตั้งในเรือ[10] โดยไม่ต้องเติมเชื้อเพลิงตลอดการเดินทาง เทคโนโลยีทั้ง 2 ประเทศก้าวหน้า และมีกองเรือที่ทันสมัยอยู่มาก เรือรบบางลำที่สร้างมามีขนาดใหญ่มาก ติดตั้งอาวุธวิถีไกลเช่น ไอซีบีเอ็ม (ขีปนาวุธข้ามทวีป) ในยุคนี้เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ มีการใช้มาก รวมถึงการสร้างเรือดำน้ำแบบใช้เรดาร์จับตรวจไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่เวลาจะโจมตีเรือมักจะใช้เฮลิคอปเตอร์ ซึ่งสามารถบินตรวจจับได้ หรือไม่ก็ใช้เครื่องบินเล็งเป้ายิง ยุคปัจจุบันช่วงระหว่าง ค.ศ. 2000–ปัจจุบัน มีลักษณะไม่แตกต่างกับยุคนิวเคลียร์มากนัก เพียงอาจมีเทคโนโลยีอาวุธ หรืออื่น ๆ ทันสมัยมากขึ้น โดยเรือขนาดใหญ่หลายลำยังคงใช้พลังงานนิวเคลียร์ เรือไม่ได้มีไว้เพื่อทำสงครามเพียงอย่างเดียว แต่เนื่องจากเรือรบคือตัวแบ่งสำคัญว่าเรือเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน ส่วนเรือพาณิชย์ใช้ในการค้าและบริการจึงอาจไม่ค่อยมีเทคโนโลยีเพิ่มมาก แต่จะเน้นความสะดวกหรือความหรูหรามากกว่า ดูเพิ่มอ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|