เหตุเครื่องบินชนกันกลางอากาศที่จรรขีทาทรี พ.ศ. 2539
อุบัติเหตุเครื่องบินชนกันกลางอากาศที่ประเทศอินเดีย พ.ศ. 2539 เป็นอุบัติเหตุทางการบินที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 โดยเครื่องบินโดยสารที่เดินทางจากคาซัคสถานและกำลังจะลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติอินทิรา คานธี กรุงนิวเดลีชนกับเครื่องบินโดยสารอีกลำหนึ่งที่ขึ้นบินจากท่าอากาศยานเดียวกันมุ่งหน้าไปยังซาอุดีอาระเบีย โดยตำแหน่งที่เกิดอุบัติเหตุอยู่ใกล้กับเมืองจรรขีทาทรี (ฮินดี: चरखी दादरी) รัฐหรยาณา ประเทศอินเดีย เหตุการณ์นี้จึงเป็นที่รู้จักกันในภาษาอังกฤษว่าเหตุเครื่องบินชนกันกลางอากาศที่จรรขีทาทรี (Charkhi Dadri mid-air collision) ผู้โดยสารและลูกเรือบนเครื่องบินทั้งสองลำรวมทั้งสิ้น 349 คนเสียชีวิตทั้งหมด เหตุการณ์นี้ถือเป็นเหตุการณ์เครื่องบินชนกันกลางอากาศที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก[1] เป็นอุบัติเหตุทางการบินที่ร้ายแรงที่สุดในประเทศอินเดีย[2] และเป็นอุบัติเหตุทางการบินที่ร้ายแรงที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ในโลกรองจากเหตุการณ์เครื่องบินชนกันที่ท่าอากาศยานเตเนริเฟในแคว้นกานาเรียส ประเทศสเปนในปี พ.ศ. 2520 และอุบัติเหตุเจแปนแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 123 ตกที่ประเทศญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2528[1] เที่ยวบินเหตุการณ์นี้เป็นการชนกันระหว่างเครื่องบินโบอิง 747 ของสายการบินซาอุดีอาระเบียนแอร์ไลน์และเครื่องบินอิลยูชิน อิล-76 ของสายการบินคาซัคสถานแอร์ไลน์ ซาอุดีอาระเบียนแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 763ซาอุดีอาระเบียนแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 763 เป็นเที่ยวบินเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติอินทิรา คานธี กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย โดยมีกำหนดลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติอัซเซาะฮ์รอน เมืองอัซเซาะฮ์รอน ทางตะวันออกของประเทศซาอุดีอาระเบียก่อนจะเดินทางต่อไปยังท่าอากาศยานนานาชาติสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลอะซีซ เมืองญิดดะฮ์ ทางตะวันตกของซาอุดีอาระเบีย[3] โดยใช้เครื่องบินโบอิง 747-168บี หมายเลขทะเบียน HZ-AIH ขณะที่เกิดเหตุเครื่องบินลำนี้มีอายุ 14 ปี 10 เดือน[2] มีผู้โดยสารบนเครื่องบินลำนี้ 289 คน และลูกเรือ 23 คน ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดียซึ่งเดินทางไปทำงานหรือไปแสวงบุญที่ซาอุดีอาระเบีย[4][5] และมีชาวต่างชาตินอกเหนือจากอินเดียและซาอุดีอาระเบียอยู่ด้วย 17 คน[6] คาซัคสถานแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 1907คาซัคสถานแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 1907 เป็นเที่ยวบินเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติเชิมเกนต์ เมืองเชิมเกนต์ ทางตอนใต้ของประเทศคาซัคสถานมายังท่าอากาศยานนานาชาติอินทิรา คานธี กรุงนิวเดลี โดยใช้เครื่องบินอิลยูชิน อิล-76ทีดี หมายเลขทะเบียน UN-76435 โดยขณะเกิดเหตุเครื่องบินลำนี้มีอายุ 4 ปี[7] ในรายงานข่าวแต่แรกนั้นระบุว่ามีคนบนเครื่องบินทั้งหมด 39 คน[4][6] อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ของสายการบินคาซัคสถานแอร์ไลน์ได้แจ้งว่ามีคนบนเครื่องบินเพียง 37 คนเท่านั้น[5] โดยเป็นลูกเรือ 10 คน และผู้โดยสาร 27 คน ซึ่งเที่ยวบินนี้เป็นเที่ยวบินเหมาลำโดยมีบริษัทเสื้อผ้าแห่งหนึ่งในประเทศคีร์กีซสถานเป็นผู้เช่า ผู้โดยสาร 13 คนบนเครื่องบินลำนี้ถือสัญชาติคีร์กีซ[6][8] อุบัติเหตุคาซัคสถานแอร์ไลน์เที่ยวบินที่ 1907 ใกล้ถึงท่าอากาศยานนานาชาติอินทิรา คานธี จึงแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศของเดลี เจ้าหน้าที่สั่งให้เที่ยวบินที่ 1907 ลดระดับลงมาที่ 15,000 ฟุต ในขณะนั้น ซาอุดีอาระเบียนแอร์ไลน์เที่ยวบินที่ 763 ได้ขึ้นบินจากท่าอากาศยานและมุ่งหน้าไปในเส้นทางบินเดียวกันซึ่งสวนทางกับเที่ยวบินที่ 1907 เจ้าหน้าที่จึงสั่งให้เที่ยวบินที่ 763 ไต่ระดับขึ้นไปที่เพดานบิน 14,000 ฟุต เที่ยวบินที่ 1907 เมื่อลดระดับถึง 15,000 ฟุตแล้วก็รายงานต่อเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจร เจ้าหน้าที่ได้แจ้งเตือนเที่ยวบินที่ 1907 ว่าเที่ยวบินที่ 763 กำลังมุ่งหน้าสวนทางกัน อย่างไรก็ตาม อันที่จริงแล้วเที่ยวบินที่ 1907 ไม่ได้รักษาระดับความสูงอยู่ที่ 15,000 ฟุต หากแต่กำลังลดระดับลงมาโดยในขณะนั้นอยู่ที่ระดับความสูง 14,500 ฟุตและกำลังลดระดับต่อไปอีก เที่ยวบินที่ 1907 ลดระดับลงไปอีกประมาณ 310 ฟุตก่อนจะชนเข้ากับเที่ยวบินที่ 763[2] เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศไม่ทราบว่าเครื่องบินทั้งสองลำชนกันจนกระทั่งพยายามสื่อสารกับเครื่องบินทั้งสองลำแต่ไม่มีสัญญาณตอบกลับมาและจุดสัญญาณบนจอซึ่งเป็นของเครื่องบินทั้งสองลำนั้นหายไป[9] นักบินของกองทัพอากาศสหรัฐซึ่งขับเครื่องบินลำเลียงซี-141 และกำลังจะลงจอดที่นิวเดลีได้แจ้งว่ามองเห็นแสงสว่างสีส้มภายในก้อนเมฆ ก่อนที่แสงสว่างนั้นจะแยกออกเป็นลูกไฟสองลูกและแผ่ขยายออกเป็นวงกว้างเมื่อเครื่องบินทั้งสองลำตกถึงพื้น[6] ชาวบ้านที่อยู่ในเมืองจรรขีทาทรีซึ่งอยู่ห่างออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือจากนิวเดลีประมาณ 80 กิโลเมตรมองเห็นแสงไฟสว่างวาบบนท้องฟ้าซึ่งตัดกับความมืดในช่วงใกล้ค่ำ และได้ยินเสียงที่ดังยิ่งกว่าฟ้าผ่า[4] เที่ยวบินที่ 763 ตกลงไปในไร่ว่างเปล่าและก่อให้เกิดหลุมขนาดยาว 55 เมตร (60 หลา) ลึก 4.5 เมตร (15 ฟุต) ส่วนเที่ยวบินที่ 1907 ตกลงห่างจากเที่ยวบินที่ 763 ประมาณ 10 กิโลเมตร ในช่วงหลังจากพบเครื่องบินที่ตกไม่นานมีชาวบ้านพบผู้โดยสาร 3 คนจากเที่ยวบินที่ 763 ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่างไรก็ตาม ผู้รอดชีวิตดังกล่าวทนพิษบาดแผลไม่ไหวและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ไม่มีผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บนอกเหนือจากผู้โดยสารและลูกเรือบนเครื่องบินทั้งสองลำ[9] ผู้เห็นเหตุการณ์เชื่อว่านักบินพยายามหักเลี้ยวเครื่องบินไม่ให้ตกลงไปในเขตชุมชนและป้องกันไม่ให้มีผู้เสียชีวิตนอกเหนือจากบนเครื่องบิน[9][10] สาเหตุกล่องบันทึกข้อมูลการบินจากเที่ยวบินที่ 763 ถูกส่งไปยังสำนักงานสืบสวนอุบัติเหตุทางอากาศ (Air Accident Investigation Branch) ที่ฟาร์นบะระ สหราชอาณาจักรและกล่องบันทึกข้อมูลจากเที่ยวบินที่ 1907 ถูกส่งไปที่กรุงมอสโก ประเทศรัสเซียเพื่อถอดรหัสและอ่านข้อมูลจากบันทึก โดยจากการสืบสวนพบว่าสาเหตุหลักของอุบัติเหตุครั้งนี้เกิดจากความผิดพลาดของนักบินของเที่ยวบินที่ 1907 ที่ลดระดับความสูงจาก 15,000 ฟุตทั้ง ๆ ที่เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศสั่งให้เที่ยวบินที่ 1907 รักษาระดับไว้ที่ 15,000 ฟุต[11] อย่างไรก็ตาม คาซัคสถานแอร์ไลน์อ้างว่านักบินจำเป็นต้องลดระดับความสูงลงมาเนื่องจากสภาพอากาศปั่นป่วนที่ระดับความสูงดังกล่าว แต่ทั้งซาอุดีอาระเบียนแอร์ไลน์และคณะเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศของอินเดียคัดค้านโดยอ้างข้อมูลรายงานสภาพอากาศว่าไม่มีสภาพอากาศปั่นป่วนแต่อย่างใด[11][12] นอกจากนี้ซาอุดีอาระเบียนแอร์ไลน์ยังกล่าวโทษเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรที่ไม่ได้แจ้งนักบินของเที่ยวบินที่ 763 ว่ามีเที่ยวบินที่ 1907 อยู่ในทิศทางสวนกับเที่ยวบินที่ 763[11] ทั้งเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศและซาอุดีอาระเบียนแอร์ไลน์ได้ตั้งข้อสังเกตอีกว่าสาเหตุอีกประการหนึ่งอาจจะมาจากธรรมเนียมปฏิบัติของนักบินจากประเทศอดีตสมาชิกสหภาพโซเวียตที่แตกต่างจากนักบินอื่น ๆ โดยนักบินส่วนใหญ่ไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้คล่อง ทำให้ไม่สามารถสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมาตรวัดของเครื่องบินที่ผลิตในสหภาพโซเวียตใช้ระบบเมตริก (กิโลเมตร) แทนที่จะเป็นระบบอิมพีเรียล (ฟุต) อย่างที่เครื่องบินส่วนใหญ่ในโลกใช้กัน ทำให้นักบินต้องเสียเวลาแปลงหน่วย แม้ว่าทางฝ่ายคาซัคสถานจะคัดค้านก็ตาม[5][8][10][11] การจัดการเส้นทางบินภายในประเทศอินเดียก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง โดยน่านฟ้าโดยรอบท่าอากาศยานนานาชาติอินทิรา คานธีในขณะนั้นโดยส่วนใหญ่จะให้เครื่องบินของกองทัพอากาศอินเดียใช้ขึ้นและลง ในขณะที่เที่ยวบินพาณิชย์ถูกจำกัดให้อยู่ในบริเวณส่วนน้อย[6][10][11] และระบบเรดาร์ของท่าอากาศยานยังคงเป็นระบบดั้งเดิมที่ระบุเพียงตำแหน่งของเครื่องบินเท่านั้น และไม่ระบุข้อมูลที่สำคัญอื่น ๆ เช่นระดับความสูง หรือชื่อเรียกของเครื่องบิน ทำให้เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรต้องอาศัยข้อมูลจากนักบินที่รายงานตำแหน่งและระดับความสูง[6][8][11] และเครื่องบินทั้งสองลำก็ไม่มีระบบ ACAS (Airborne Collision Avoidance System) ที่แจ้งเตือนว่ามีเครื่องบินอีกลำหนึ่งอยู่ในระยะใกล้พอที่จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้[3] ในสื่อเหตุการณ์นี้ถูกนำไปสร้างเป็นสารคดีชื่อ Head On! โดยบริษัทมิดเทค ซึ่งเป็นบริษัทผลิตสื่อจากรัฐหรยาณา ประเทศอินเดีย และออกฉายทางช่องเนชั่นแนลจีโอกราฟิก[13] และถูกนำไปสร้างเป็นสารคดีชุดเมย์เดย์หรือแอร์แครชอินเวสติเกชัน โดยบริษัทซีเนฟลิกซ์โปรดักชันส์จากประเทศแคนาดา ซึ่งออกฉายทางช่องเดียวกัน[14] อ้างอิง
|