เอลีซาเบ็ทแห่งบาวาเรีย-อิงก็อลชตัท
เอลีซาเบ็ทแห่งบาวาเรีย-อิงก็อลชตัท หรือ อีซาโบแห่งบาวาเรีย (อังกฤษ: Isabeau of Bavaria หรือ Elisabeth of Bavaria-Ingolstadt ; ฝรั่งเศส: Isabeau de Bavière ; เยอรมัน: Elisabeth von Bayern-Ingolstadt ; ค.ศ. 1370 - 24 กันยายน ค.ศ. 1435) เป็นสมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส บุตรีของชเต็ฟฟันที่ 3 ดยุกแห่งบาวาเรีย และทัดดิอา (Taddea Visconti) ผู้มาจากตระกูลขุนนางวิสคอนติผู้ครองมิลาน เอลีซาเบ็ทแห่งบาวาเรียทรงเป็นพระมเหสีในพระเจ้าชาร์ลที่ 6 แห่งฝรั่งเศส หลังจากที่เสกสมรสเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1385 แล้วพระองค์ก็ทรงมีบทบาทสำคัญในทางการเมืองในปลายรัชสมัยอันมีวิกฤตการณ์ของพระสวามี เอลีซาเบ็ทแห่งบาวาเรียเป็นพระราชมารดาของพระเจ้าชาร์ลที่ 7 แห่งฝรั่งเศส และพระราชินีอังกฤษสองพระองค์ -- พระราชินีอีซาแบลในพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 แห่งอังกฤษ และพระราชินีกาทรีนในพระเจ้าเฮนรีที่ 5 แห่งอังกฤษ สายพระโลหิตและการเสกสมรสเอลีซาเบ็ทแห่งบาวาเรียเสด็จพระราชสมภพในปี ค.ศ. 1370 ทรงเป็นบุตรสาวของชเต็ฟฟันที่ 3 ดยุกแห่งบาวาเรียกับทัดเดอา วิสกอนตี ทรงถูกหมายตาให้เป็นเจ้าสาวของพระเจ้าชาร์ลที่ 6 แห่งฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1385 พระองค์ถูกพาไปเจอกับพระเจ้าชาร์ลครั้งแรกในปี ค.ศ. 1385 แม้พระราชบิดาของพระองค์จะไม่ยอมให้พระองค์เปลือยกายระหว่างการตรวจสอบร่างกายตามธรรมเนียมปฏิบัติ พระเจ้าชาร์ลก็ทรงยินยอมแต่งงานกับพระองค์ ทั้งคู่แต่งงานกันในอีกสามวันต่อมา พระเจ้าชาร์ลพระราชทานของขวัญมากมายให้พระองค์ในช่วงปีใหม่ปีแรกของทั้งคู่ ในตอนที่พระเจ้าชาร์ลทรงกรีธาทัพไปสู้รบกับชาวอังกฤษ ในตอนแรกเอลีซาเบ็ทอยู่ที่เครยล์กับบล็องช์ ดัชเชสแห่งออร์เลอ็อง ต่อมาทรงย้ายไปประทับที่ชาโตเดอแว็งซ็องส์ การราชาภิเษกและพระอาการประชวาของพระเจ้าชาร์ลทรงได้รับการทำพิธีราชาภิเษกเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศสในวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 1389 ที่น็อทร์ดาม ซึ่งขณะนั้นทรงมีพระราชโอรสธิดาแล้วสองคน (สิ้นพระชนม์เร็วทั้งคู่) และกำลังทรงครรภ์ได้เจ็ดเดือน โดยพระราชบุตรในพระครรภ์คืออีซาแบลที่ต่อมากลายเป็นพระราชินีแห่งอังกฤษจากการเป็นพระมเหสีของพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 เอลีซาเบ็ทกับพระเจ้าชาร์ลมีพระราชโอรสธิดาด้วยกันทั้งสิ้น 12 คน หนึ่งในนั้นคืออนาคตพระเจ้าชาร์ลที่ 7 แห่งฝรั่งเศส ราวปี ค.ศ. 1392 พระราชสวามีของพระองค์เริ่มมีพระอาการเสียพระสติ ทรงเริ่มต้นด้วยการทำร้ายอัศวินในพระราชสำนักของพระองค์และลงเอยด้วยการสังหารคนสี่คน หลังจากนั้นทรงอยู่ในอาการโคมาเป็นเวลา 4 วัน พระองค์กลับมาที่ราชสำนักโดยมีการจัดพิธีเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ที่รู้จักกันในชื่อบัลเดส์อาร์ด็องต์ที่พระเจ้าชาร์ลเกือบรักษาพระชนม์ชีพไม่ได้ นักเต้นสี่คนถูกเผาจนตายหลังเสื้อผ้าติดไฟจากคบเพลิง หลังเดือนมิถุนายนพระองค์มีพระอาการเสียพระสติยาวนานขึ้น พระอาการของพระองค์ทรุดลงตลอด 30 ปีต่อมาที่ทรงครองราชย์ พระองค์มักจำพระมเหสีไม่ได้และขอให้พระนางไปให้พ้นพระเนตรของพระองค์ ทำให้พระนางเสียพระทัยมาก พระของแซ็งต์เดอนีส์เขียนไว้ในพงศาวดารว่า
พระองค์มักปกครองไม่ไหว ทำให้จำเป็นต้องมีผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน หลุยส์ ดยุกแห่งออร์เลอ็อง พระอนุชา และฌ็องผู้ไม่กลัวใคร ดยุกแห่งบูร์กอญ ลูกพี่ลูกน้องของทั้งคู่ ต่างต้องการเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่พระสติดีขึ้น พระเจ้าชาร์ลโปรดเกล้าฯให้ให้เอลีซาเบ็ทเป็น "ผู้พิทักษ์สูงสุดของโดแฟ็ง" จนกว่าโดแฟ็งจะมีพระชนมายุ 13 พรรษา พระองค์ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้พิทักษ์ร่วมของพระโอรสธิดาร่วมกับดยุกแห่งออร์เลอ็องและลูทวิชที่ 7 ดยุกแห่งบาวาเรีย พระเชษฐาของพระองค์เอง ทว่าอำนาจทั้งหมดในการสำเร็จราชการแผ่นดินอยู่ในมือของดยุกแห่งออร์เลอ็อง ข่าวลือเรื่องสัมพันธ์รักระหว่างเอลีซาเบ็ทกับดยุกแห่งออร์เลอ็องเริ่มแพร่กระจาย การลอบสังหารดยุกแห่งออร์เลอ็องและเหตุการณ์หลังจากนั้น ค.ศ. 1407 สถานการณ์เลวร้ายลงเมื่อฌ็องผู้ไม่กลัวใครสั่งการให้ลอบสังหารดยุกแห่งออร์เลอ็อง พระองค์ถูกนักฆ่าที่จ้างมาแทงจนตาย ฌ็องผู้ไม่กลัวใครถูกเชื่อมโยงเข้ากับการลอบสังหารและถูกสั่งให้ออกไปจากปารีส เอลีซาเบ็ททรงเริ่มกังวลในความปลอดภัยของโดแฟ็งหลุยส์ พระโอรสของพระองค์ สนธิสัญญาสันติภาพชาร์ตร์ในปี ค.ศ. 1409 ทำให้ฌ็องผู้ไม่กลัวใครคืนดีกับดยุกแห่งออร์เลอ็องคนใหม่ต่อหน้าสาธารณชน เอลีซาเบ็ทพระราชทานสิทธิ์ในการพิทักษ์โดแฟ็งให้แก่เขา ได้มีการจัดการแต่งงานแบบคลุมถุงชนเพื่อเอาใจชาวบูร์กอญสองคู่ คือ การแต่งงานระหว่างมิเชล พระธิดาของอิซาบู กับฟิลิปผู้ดีงาม บุตรชายของฌ็องผู้ไม่กลัวใคร และการแต่งงานระหว่างโดแฟ็งหลุยส์กับมาร์เกอรีต บุตรสาวของฌ็องผู้ไม่กลัวใคร ปี ค.ศ. 1415 โดแฟ็งหลุยส์สิ้นพระชนม์อย่างกระทันหันด้วยวัย 18 พรรษา ฌ็องแห่งตูแรน พระโอรสคนรองของพระองค์กลายเป็นโดแฟ็งคนใหม่ ปี ค.ศ. 1406 ฌ็องแต่งงานกับยาโคบา เคาน์เตสแห่งแอโนต์ แต่ทั้งคู่ไม่มีบุตรด้วยกัน พระองค์สิ้นพระชนม์หลังเป็นโดแฟ็ง ทิ้งให้ยาโคบาเป็นม่ายตนอายุ 16 ปี โดแฟ็งคนต่อมาคือชาร์ล พระราชโอรสองค์ที่ยังมีพระชนม์อยู่องค์สุดท้ายของเอลีซาเบ็ท เอลีซาเบ็ททรงถูกจองจำในทัวร์เป็นเวลาสั้นๆ แต่ก็หาทางเอาอิสรภาพกลับคืนมาได้ หลังเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแห่งฝรั่งเศสเพียงผู้เดียวในระยะสั้นๆ พระองค์ยกตำแหน่งให้ฌ็องผู้ไม่กลัวใครในปี ค.ศ. 1418 ทั้งคู่ร่วมกันล้มเลิกสภานิติบัญญัติและยึดอำนาจนครปารีส เป็นเหตุให้โดแฟ็งองค์ใหม่หนีไปจากเมือง สุดท้ายฌ็องผู้ไม่กลัวใครถูกโดแฟ็งลอบสังหาร พระเจ้าชาร์ลตอบโต้ด้วยการตัดพระโอรสออกจากกองมรดก สนธิสัญญาทรัวส์และบั้นปลายพระชนม์ปี ค.ศ. 1419 หลายพื้นที่ของนอร์ม็องดีถูกพระเจ้าเฮนรีที่ 5 แห่งอังกฤษยึด ทรงเรียกร้องให้ชาวเมืองถวายคำสัตย์ว่าจะจงรักภักดี เมื่อไม่มีทายาทในบัลลังก์อย่างเป็นทางการ เอลีซาเบ็ทจึงไม่มีทางเลือกอื่นจำต้องยอมลงนามในสนธิสัญญาทรัวส์ ค.ศ. 1420 ที่ระบุให้พระเจ้าชาร์ลเป็นกษัตริย์แห่งฝรั่งเศสต่อไป แต่ผู้สืบทอดตำแหน่งของพระองค์คือพระเจ้าเฮนรีที่ 5 ที่แต่งงานกับกาทรีน พระธิดาของพระเจ้าชาร์ล เอลีซาเบ็ททรงเป็นม่ายในปี ค.ศ. 1422 แต่พระเจ้าเฮนรีที่ 5 สวรรคตไปในปีเดียวกัน กษัตริย์พระองค์ใหม่ของฝรั่งเศสตามสนธิสัญญาทรัวส์จึงเป็นพระเจ้าเฮนรีที่ 6 พระราชโอรสวัยทารกของกาทรีน พระราชนัดดาของเอลีซาเบ็ท เอลีซาเบ็ทประทับอยู่ในปารีสที่อยู่ภายใต้การควบคุมของชาวอังกฤษ ทรงเกษียณพระองค์พร้อมกับกาทรีนแห่งอาล็องซง ภรรยาคนที่สองของพระเชษฐา เสด็จสวรรคตในอูเตลแซ็งต์ปอลในปี ค.ศ. 1435 ชื่อเสียงของพระองค์แย่มาก แต่ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 พระองค์พ้นความผิดในหลายข้อกล่าวหา อ้างอิงดูเพิ่ม |