บทที่ 3 ของหนังสือเอเสเคียลในคัมภีร์ฮีบรู
เอเสเคียล 3 หนังสือเอเสเคียล 30:13–18 ในสำเนาต้นฉบับอังกฤษจากช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13, MS. Bodl. Or. 62, fol. 59a. คำแปลภาษาละตินปรากฏอยู่ที่ขอบพร้อมการแทรกระหว่างบรรทัดเพิ่มเติมเหนือข้อความภาษาฮีบรู
หนังสือ หนังสือเอเสเคียล ภาคในคัมภีร์ฮีบรู เนวีอีม ลำดับในภาคของคัมภีร์ฮีบรู 7 หมวดหมู่ ผู้เผยพระวจนะยุคหลัง ภาคในคัมภีร์ไบเบิลคริสต์ พันธสัญญาเดิม ลำดับในภาคของคัมภีร์ไบเบิลคริสต์ 26
เอเสเคียล 3 (อังกฤษ : Ezekiel 3 ) เป็นบท ที่ 3 ของหนังสือเอเสเคียล ในคัมภีร์ฮีบรู หรือพันธสัญญาเดิม ในคัมภีร์ไบเบิล ของศาสนาคริสต์ หนังสือเอเสเคียลประกอบด้วยคำเผยพระวจนะที่ถือว่าเป็นของผู้เผยพระวจนะ /ปุโรหิต เอเสเคียล เป็นหนึ่งในหนังสือหมวดผู้เผยพระวจนะ บทที่ 3 ของหนังสือเอเสเคียลประกอบด้วยเรื่องการทรงเรียกเอเสเคียลให้กล่าวกับคนอิสราเอลและทำหน้าที่เป็นยามของพงศ์พันธุ์อิสราเอล
ต้นฉบับ
บทนี้เดิมเขียนด้วยภาษาฮีบรู บทแบ่งออกเป็น 27 วรรค
พยานต้นฉบับ
บางสำเนาต้นฉบับในยุคต้นที่มีข้อความของบทนี้เป็นภาษาฮีบรู มีลักษณะเป็นต้นฉบับเมโซเรติก (Masoretic Text) ได้แก่ ฉบับไคโร (Codex Cairensis; ค.ศ. 895) หนังสือผู้เผยพระวจนะฉบับปีเตอส์เบิร์ก (Petersburg Codex of the Prophets; ค.ศ. 916) ฉบับอะเลปโป (Aleppo Codex; ศตวรรษที่ 10) และฉบับเลนินกราด (Leningrad Codex; ค.ศ. 1008)
ยังมีฉบับแปลเป็นภาษากรีกคอยนี ที่รู้จักในชื่อเซปทัวจินต์ (ทำขึ้นในช่วงไม่กี่ศตวรรษสุดท้ายก่อนคริสตกาล) บางสำเนาต้นฉบับที่หลงเหลือในเซปทัวจินต์ ได้แก่ ฉบับวาติกัน (Codex Vaticanus; B ;
G
{\displaystyle {\mathfrak {G}}}
B ; ศตวรรษที่ 4) ฉบับอะเล็กซานเดรีย (Codex Alexandrinus; A ;
G
{\displaystyle {\mathfrak {G}}}
A ; ศตวรรษที่ 5) และฉบับมาร์ชาล (Codex Marchalianus; Q ;
G
{\displaystyle {\mathfrak {G}}}
Q ; ศตวรรษที่ 6)[ a]
ความรับผิดชอบของผู้เผยพระวจนะ (3:1–15)
วรรค 1
และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "บุตรมนุษย์เอ๋ย จงกินสิ่งที่เจ้าได้พบ จงกินหนังสือม้วนนี้ แล้วจงไปพูดกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล" [ 6]
"บุตรมนุษย์" บางครั้งแปลว่า "บุตรแห่งมนุษย์" เช่นในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 1971 [ 7] เอเสเคียลถูกเรียกว่า 'บุตรมนุษย์' ในที่นี้และตลอดหนังสือที่เหลือ คำว่า 'บุตรมนุษย์' ไม่ใช่ชื่อตำแหน่งที่ตั้งเพื่อเป็นเกียรติ แต่เป็นคำที่สื่อถึงระยะห่างระหว่าง 'ผู้เป็นเพียงมนุษย์' กับคู่สนทนาที่เป็นพระเจ้า ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ บันทึกว่าตน "พบ" และ "กิน" พระวจนะของพระเจ้า ในทำนองเดียวกันกับที่เอเสเคียลกินหนังสือม้วน[ 9]
วรรค 3
และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า
"บุตรมนุษย์เอ๋ย จงกินหนังสือม้วนนี้ซึ่งเราให้แก่เจ้า และบรรจุให้เต็มท้องของเจ้า"
แล้วข้าพเจ้าก็รับประทาน
และเมื่อหนังสือม้วนนั้นอยู่ในปากข้าพเจ้ามันก็หวานเหมือนน้ำผึ้ง [ 10]
วรรค 15
ข้าพเจ้าจึงมาถึงพวกเชลยที่เทลอาบิบ ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ริมแม่น้ำเคบาร์
และในที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้นข้าพเจ้าก็นั่งด้วยความตะลึงงันอยู่ท่ามกลางพวกเขาเจ็ดวัน [ 13]
"เทลอาบิบ " (ฮีบรู : תל-אביב , Tel Aviv ; แปลว่า "เนินฤดูใบไม้ผลิ") เป็นสถานที่ที่ระบุตำแหน่งไม่ได้ริมแม่น้ำเคบาร์ใกล้กับนิปปูร์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศอิรัก แม่น้ำเคบาร์เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายซับซ้อนของคลองชลประทานและคลองขนส่งซึ่งรวมไปถึง Shatt el-Nil ซึ่งเป็นคลองตะกอนที่ไหลไปทางตะวันออกของบาบิโลน[ 14] [ 15]
"ด้วยความตะลึงงัน" มีความหมายว่าเงียบและนิ่งเฉย "ช่วงเวลาแห่งความเงียบงัน" ที่ยาวนานถึง 7 วันอาจเป็นการแสดงถึง "ความแข็งแกร่งทางอารมณ์ของผู้เผยพระวจนะ" เมื่อมาถึงเทลอาบิบ[ 16]
เอเสเคียลในฐานะยามของพงศ์พันธุ์อิสราเอล (3:16–27)
วรรค 16
พอสิ้นวันที่เจ็ด พระวจนะของพระยาห์เวห์ก็มาถึงข้าพเจ้าว่า [ 17]
"พอสิ้นวันที่เจ็ด": ในช่วงเวลาเจ็ดวันนี้ เอเสเคียล มีโอกาสเพียงพอในการอยู่ท่ามกลางพวกเชลย และสามารถเห็นขอบเขตและข้อมูลสำหรับพันธกิจของตน ก่อนที่เขาจะได้รับการตั้งให้เป็นยามของพงศ์พันธุ์อิสราเอล[ 18] [ 19]
วรรค 23
ดังนั้นข้าพเจ้าจึงลุกขึ้นออกไปยังที่ราบ และนี่แน่ะ พระสิริของพระยาห์เวห์ก็อยู่ที่นั่นเหมือนกับพระสิริซึ่งข้าพเจ้าได้เห็นที่ริมแม่น้ำเคบาร์ แล้วข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงถึงดิน [ 20]
วรรค 27
แต่เมื่อเราพูดกับเจ้า เราจะเปิดปากเจ้า
แล้วเจ้าจะพูดกับเขาทั้งหลายว่า
"พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า"
ผู้ที่จะฟังก็ให้เขาฟัง
และผู้ที่จะปฏิเสธก็ให้เขาปฏิเสธ
เพราะเขาทั้งหลายเป็นพงศ์พันธุ์มักกบฏ [ 22]
ประเด็นเรื่องการเป็นใบ้และการเปิดปากให้พูดเป็นระยะ ๆ เน้นย้ำว่าคำที่เอเสเคียลพูดมาจากพระเจ้า ไม่ใช่จากตัวผู้เผยพระวจนะเอง
ดูเพิ่ม
หมายเหตุ
↑ หนังสือเอเสเคียลทั้งเล่มขาดหายไปจากจากฉบับซีนาย (Codex Sinaiticus)[ 5]
อ้างอิง
↑ Shepherd, Michael (2018). A Commentary on the Book of the Twelve: The Minor Prophets . Kregel Exegetical Library. Kregel Academic. p. 13. ISBN 978-0825444593 .
↑ เอเสเคียล 3:1 THSV11
↑ เอเสเคียล 3:1 TH1971
↑ เยเรมีย์ 15:16
↑ เอเสเคียล 3:3 THSV11
↑ เอเสเคียล 3:15 THSV11
↑ Allen, Leslie C. (1994). Word Bible Commentary: Ezekiel 1–19 . Dallas: Word, Incorporated. p. 22. ISBN 0-8499-0830-2 .
↑ Block, Daniel I. (1997). NICOT : The Book of Ezekiel: Chapters 1–24 . Grand Rapids, Michigan: Eerdmans. p. 84. ISBN 0802825354 .
↑ Davidson, Andrew B. , Ezekiel , chapter 3, Cambridge Bible for Schools and Colleges , accessed 18 January 2020
↑ เอเสเคียล 3:17 THSV11
↑ Benson, Joseph. Commentary on the Old and New Testaments : Ezekiel 3 , accessed 9 July 2019.
↑ Cambridge Bible for Schools and Colleges . Ezekiel 3 . Accessed 28 April 2019.
↑ เอเสเคียล 3:23 THSV11
↑ เอเสเคียล 3:27 THSV11
บรรณานุกรม
Carley, Keith W. (1974). The Book of the Prophet Ezekiel . Cambridge Bible Commentaries on the New English Bible (illustrated ed.). Cambridge University Press. ISBN 9780521097550 .
Clements, Ronald E (1996). Ezekiel . Westminster John Knox Press. ISBN 9780664252724 .
Coogan, Michael David (2007). Coogan, Michael David; Brettler, Marc Zvi; Newsom, Carol Ann; Perkins, Pheme (บ.ก.). The New Oxford Annotated Bible with the Apocryphal/Deuterocanonical Books: New Revised Standard Version, Issue 48 (Augmented 3rd ed.). Oxford University Press. ISBN 9780195288810 .
Galambush, J. (2007). "25. Ezekiel". ใน Barton, John ; Muddiman, John (บ.ก.). The Oxford Bible Commentary (first (paperback) ed.). Oxford University Press. pp. 533–562. ISBN 978-0199277186 . สืบค้นเมื่อ February 6, 2019 .
Joyce, Paul M. (2009). Ezekiel: A Commentary . Continuum. ISBN 9780567483614 .
Würthwein, Ernst (1995). The Text of the Old Testament . แปลโดย Rhodes, Erroll F. Grand Rapids, MI: Wm. B. Eerdmans. ISBN 0-8028-0788-7 . สืบค้นเมื่อ January 26, 2019 .
แหล่งข้อมูลอื่น
ศาสนายูดาห์
ศาสนาคริสต์