แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์
แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ (อังกฤษ: Harry Potter and the Philosopher's Stone) เป็นนวนิยายเล่มแรกในชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ และนวนิยายประเดิมของเจ. เค. โรว์ลิง โครงเรื่องติดตามแฮร์รี่ พอตเตอร์ พ่อมดหนุ่มผู้ค้นพบมรดกเวทมนตร์ของเขา พร้อมกับสร้างเพื่อนสนิทและศัตรูจำนวนหนึ่งในปีแรกที่โรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ ด้วยความช่วยเหลือของมิตร แฮร์รี่เผชิญกับความพยายามหวนคืนของพ่อมดมืด ลอร์ดโวลเดอมอร์ ซึ่งฆ่าบิดามารดาของแฮร์รี่ แต่ไม่สามารถฆ่าเขาได้เมื่ออายุหนึ่งขวบ บลูมส์บิวรีในกรุงลอนดอนจัดพิมพ์หนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2540 ในปี 2541 บริษัทสกอลาสติกจัดพิมพ์ฉบับสำหรับตลาดสหรัฐอเมริกาภายใต้ชื่อเรื่อง Harry Potter and the Sorcerer's Stone นวนิยายดังกล่าวชนะรางวัลหนังสืออังกฤษส่วนใหญ่ซึ่งตัดสินโดยเด็ก และรางวัลอื่นในสหรัฐอเมริกา หนังสือนี้แตะอันดับ 1 รายการบันเทิงคดีขายดีของนิวยอร์กไทมส์ ในเดือนสิงหาคม 2542 และอยู่ใกล้อันดับ 1 เป็นส่วนใหญ่ของปี 2542 และ 2543 มีการแปลเป็นภาษาอื่นอีกหลายภาษา และมีการสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อเดียวกัน บทปริทัศน์ส่วนใหญ่ชื่นชอบมาก โดยออกความเห็นต่อจินตนาการ ความขบขัน ความเรียบง่าย ลีลาตรงไปตรงมาและการสร้างโครงเรื่องที่ฉลาดของโรว์ลิง แม้บ้างติว่า บทท้าย ๆ ดูรวบรัด มีการเปรียบเทียบงานนี้กับงานของเจน ออสเตน ซึ่งเป็นผู้ประพันธ์คนโปรดคนหนึ่งของโรว์ลิง หรือโรอาลด์ ดาห์ล ซึ่งงานของเขาครอบงำเรื่องสำหรับเด็กก่อนมีแฮร์รี่ พอตเตอร์ และโฮเมอร์ นักเล่านิยายกรีกโบราณ แม้นักวิจารณ์บางส่วนคิดว่า หนังสือนี้ดูย้อนกลับไปเรื่องโรงเรียนกินนอนสมัยวิกตอเรียและเอ็ดเวิร์ด แต่นักวิจารณ์อื่น ๆ คิดว่า หนังสือนี้วางประเภทอยู่ในโลกสมัยใหม่อย่างแนบแน่นโดยมีลักษณะประเด็นจริยธรรมและสังคมร่วมสมัย แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ ร่วมกับนวนิยายที่เหลือของชุดถูกกลุ่มศาสนาหลายกลุ่มโจมตีและห้ามในบางประเทศเพราะกล่าวหาว่านวนิยายนี้ส่งเสริมเวทมนตร์คาถา แต่นักวิจารณ์คริสตศาสนิกบางคนเขียนว่า หนังสือนี้ยกตัวอย่างมุมมองที่สำคัญของศาสนาคริสต์หลายอย่าง ซึ่งรวมอำนาจของการสละตนเองและวิธีซึ่งการตัดสินใจของบุคคลก่อเป็นบุคลิกภาพของเขา นักการศึกษาถือว่า แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ และหนังสือตามมาเป็นตัวช่วยพัฒนาการรู้หนังสือที่สำคัญเพราะความนิยม นอกจากนี้ ยังใช้หนังสือชุดนี้เป็นแหล่งตัวอย่างในเทคนิคการศึกษา การวิเคราะห์สังคมวิทยาและการตลาด เรื่องย่อโครงเรื่องก่อนนวนิยายเริ่ม ลอร์ดโวลเดอมอร์ซึ่งถือเป็นพ่อมดมืดที่ชั่วร้ายและทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ ฆ่าคู่สามีภรรยา เจมส์และลิลี่ พอตเตอร์ แต่หายไปอย่างลึกลับหลังพยายามฆ่าแฮร์รี่ บุตรทารกของพวกเขา ขณะที่โลกพ่อมดเฉลิมฉลองการหมดอำนาจของโวลเดอมอร์ ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ ศาสตราจารย์มักกอนนากัล และรูเบอัส แฮกริด ลูกครึ่งยักษ์ ส่งทารกวัยหนึ่งขวบไปอยู่ในการดูแลของป้าและลุงมักเกิ้ล (ผู้มิใช่พ่อมด) ซึ่งขี้หงุดหงิดและเย็นชาของเขา คือ เวอร์นอนและเพ็ตทูเนีย เดอร์สลีย์ กับดัดลีย์ บุตรที่ถูกตามใจและอันธพาลของพวกเขา สิบปีต่อมา ขณะอาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 4 ซอยพรีเว็ต แฮร์รี่ถูกครอบครัวเดอร์สลีย์ทรมาน คือ ถูกปฏิบัติเหมือนเป็นทาสมากกว่าสมาชิกครอบครัว ไม่นานก่อนวันเกิดปีที่สิบเอ็ดของเขา มีจดหมายจำนวนมากจ่าถึงแฮร์รี่มาแต่เวอร์นอนทำลายพวกมันก่อนแฮร์รี่จะได้อ่าน แต่นำให้จดหมายไหลบ่ามามากขึ้น เพื่อหนีการไล่ล่าของจดหมาย ทีแรกเวอร์นอนพาครอบครัวไปโรงแรมแห่งหนึ่ง และเมื่อจดหมายยังมาถึงที่นั่น เขาขับรถพาทั้งหมดไปยังเกาะเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ในเที่ยงคืนของวันเกิดครบรอบปีที่สิบเอ็ดของแฮร์รี่ แฮกริดพังประตูเข้ามาและมอบจดหมายให้แฮร์รี่และบอกสิ่งที่ครอบครัวเดอร์สลีย์ปิดบังไว้จากเขา คือ แฮร์รี่เป็นพ่อมดและฮอกวอตส์รับเขาเข้าเรียน แฮกริดพาแฮร์รี่ไปตรอกไดแอกอน บริเวณร้านค้าในกรุงลอนดอนที่ถูกปกปิดด้วยเวทมนตร์ ที่ซึ่งแฮร์รี่งุนงงเมื่อพบว่าเขามีชื่อเสียงท่ามกลางพ่อมดแม่มดในฉายา "เด็กชายผู้รอดชีวิต" เขายังพบว่าเขาค่อนข้างรวย เพราะทรัพย์จากบิดามารดาเขายังฝากไว้ที่ธนาคารมดกริงกอตส์ แฮร์รี่ซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะต้องใช้สำหรับปีแรกที่ฮอกวอตส์ สิ่งหนึ่งที่แฮร์รี่ต้องซื้อสำหรับปีที่จะถึงที่ฮอกวอตส์ คือ ไม้กายสิทธิ์ ที่ร้านไม้กายสิทธิ์ เขาพบว่าไม้กายสิทธิ์ที่เหมาะกับเขาที่สุดเป็นแฝดกับไม้กายสิทธิ์ของโวลเดอมอร์ คือ ไม้กายสิทธิ์ทั้งสองมีขนนกจากฟีนิกซ์ตัวเดียวกัน แฮร์รี่ยังไปพร้อมกับสัตว์เลี้ยงใหม่ (และของขวัญวันเกิดจากแฮกริด) เป็นนกฮูกที่เขาตั้งชื่อว่า เฮ็ดวิก หนึ่งเดือนให้หลัง แฮร์รี่จากบ้านของครอบครัวเดอร์สลีย์เพื่อนั่งรถไฟด่วนสายฮอกวอตส์จากสถานีรถไฟคิงส์ครอส ที่นั่นเขาพบครอบครัววีสลีย์ซึ่งแสดงวิธีผ่านกำแพงเวทมนตร์ไปชานชาลาที่ 9¾ แก่เขา อันเป็นที่ที่รถไฟซึ่งจะพาพวกเขาไปฮอกวอตส์กำลังรออยู่ ขณะอยู่บนรถไฟ แฮร์รี่ผูกมิตรกับรอน วีสลีย์อย่างรวดเร็ว ซึ่งเล่าให้เขาฟังว่ามีผู้พยายามปล้นห้องนิรภัยห้องหนึ่งที่กริงกอตส์ พวกเขาอภิปรายกันเรื่องปีการศึกษาที่จะถึงซึ่งแฮร์รี่ทั้งกังวลและตื่นเต้น ระหว่างการเดินทาง พวกเขาพบเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ซึ่งต่อมากลายเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของพวกเขา แฮร์รี่ยังสร้างศัตรูบนเที่ยวนี้ด้วย เป็นปีหนึ่งเหมือนกับเขา คือ เดรโก มัลฟอย เดรโกกับเพื่อนเขลาของเขา วินเซนต์ แครบบ์และเกรกอรี กอยล์เสนอแนะนำแฮร์รี่ แต่แฮร์รี่ไม่ชอบเกรโกตรงความยโสและความเดียดฉันท์ของเขาและปฏิเสธข้อเสนอ "มิตรภาพ" ของเขา ก่อนอาหารเย็นมื้อแรกของภาคเรียนในห้องโถงใหญ่ของโรงเรียน นักเรียนปีหนึ่งถูกหมวกคัดสรรคัดสรรไปบ้านต่าง ๆ ขณะที่แฮร์รี่กำลังถูกคัดสรร หมวกแนะให้เขาไปบ้านสลิธีรินซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นบ้านของพ่อมดแม่มดมืด แต่เมื่อแฮร์รี่ปฏิเสธ หมวกก็ส่งเขาไปบ้านกริฟฟินดอร์ซึ่งเป็นบ้านคู่แข่งของสลิธีริน รอนและเฮอร์ไมโอนี่ก็ถูกคัดสรรเข้าบ้านกริฟฟินดอร์เช่นกัน เกรโกถูกคัดสรรเข้าบ้านสลิธีรินซึ่งตามประเพณีครอบครัวของเขาถูกคัดสรรเข้าบ้านนั้นเป็นเวลาหลายสมัยแล้ว ระหว่างมื้อ แฮร์รี่จับตาศาสตราจารย์เซเวอร์รัส สเนปและรู้สึกเจ็บที่แผลเป็นที่โวลเดอมอร์ทิ้งไว้บนหน้าผากเขา หลังชั้นเรียนปรุงยาคาบแรกกับสเนปอันเลวร้าย แฮร์รี่และรอนไปเยี่ยมแฮกริด (ผู้รักษาที่ดินฮอกวอตส์) ซึ่งอาศัยอยู่ในกระท่อมตรงชายป่าต้องห้าม จากนั้น พวกเขาทราบว่า ความพยายามปล้นที่กริงกอตส์เกิดขึ้นวันเดียวกับที่แฮร์รี่ถอนเงินจากห้องนิรภัยของเขา แฮร์รี่จำได้ว่าแฮกริดนำถุงเล็ก ๆ จากห้องนิรภัยซึ่งถูกบุก ระหว่างชั้นเรียนขี่ไม้กวาดครั้งแรกของปีหนึ่ง เพื่อนกริฟฟินดอร์ เนวิลล์ ลองบัตท่อมทำข้อมือหักและถูกอาจารย์พาไปห้องพยาบาล เดรโกฉวยโอกาสโยนลูกแก้วเตือนความจำของเนวิลล์ขี้ลืม ซึ่งเนวิลล์ทำตกไว้เพราะอุบัติเหตุ ขึ้นไปในอากาศ แฮร์รี่ไล่ตามบนไม้กวาด และจับลูกแก้วได้เหนือพื้นไม่กี่ฟุต แฮร์รี่ไม่ทราบว่าศาสตราจารย์มักกอนนากัล หัวหน้าบ้านกริฟฟินดอร์ สังเกตความสามารถบนไม้กวาดของเขา เธอเร่งรุดมาและแต่งตั้งเขาเป็นซีกเกอร์คนใหม่ของทีมควิดดิชกริฟฟินดอร์ เมื่อเดรโกลวงแฮร์รี่และรอน ร่วมกับเนวิลล์และเฮอร์ไมโอนี่ สู่การเดินทางยามเที่ยงคืน พวกเขาเข้าโถงต้องห้ามโดยอุบัติเหตุและพบหมาสามหัวตัวมหึมา ทั้งกลุ่มรีบถอย และเฮอร์ไมโอนี่สังเกตว่าหมานั้นกำลังยืนเหนือประตูกล แฮร์รี่สรุปว่า สัตว์ประหลาดนั้นกำลังเฝ้าหีบห่อที่แฮกริดนำมาจากกริงกอตส์ หลังรอนวิจารณ์ความสามารถเกินหน้าของเฮอร์ไมโอนี่ในวิชาคาถา เธอก็ไปซ่อนอยู่ในห้องน้ำหญิงและร้องไห้ ที่งานเลี้ยงฮาโลวีน ศาสตราจารย์ควีเรลล์รายงานว่า โทรลล์ตัวหนึ่งเข้าคุกใต้ดิน ระหว่างที่ทุกคนกลับไปยังหอพักของพวกตน แฮร์รี่และรอนเร่งไปเตือนเฮอร์ไมโอนี่ ซึ่งไม่อยู่ที่งานเลี้ยงเพื่อฟังประกาศ โทรลล์ตนนั้นต้อนเฮอร์ไมโอนี่จนในห้องน้ำแต่แฮร์รี่และรอนช่วยเธอไว้ได้อย่างเงอะงะ จากนั้น เฮอร์ไมโอนี่ยอมรับผิดแทนสำหรับการต่อสู้ และกลายเป็นมิตรเหนียวแน่นของสองเด็กชาย เย็นก่อนการแข่งขันควิดดิชครั้งแรกของแฮร์รี่ เขาเห็นสเนปรับการรักษาจากฟิลช์สำหรับรอยกัดที่เท้าเขาอันเกิดจากหมาสามหัว ระหว่างเกม ไม้กวาดของแฮร์รี่อยู่เหนือการควบคุม ทำให้ชีวิตเขาอยู่ในอันตราย และเฮอร์ไมโอนี่สังเกตว่าสเปนจ้องแฮร์รี่และกำลังพึมพำ โดยสรุปว่าสเนปรับผิดชอบต่อไม้กวาดพยศของแฮร์รี่ เธอรีบไปยังอัฒจรรย์ของศาสตราจารย์ น็อกควีเรลล์ในระหว่างที่เร่งด่วน แล้วจุดไฟใส่เสื้อคลุมของสเนป แฮร์รี่กลับควบคุมไม้กวาดของเขาและจับลูกสนิชสีทอง และคว้าชัยชนะให้กริฟฟินดอร์ แฮกริดปฏิเสธจะเชื่อว่าสเนปเป็นตัวการทำให้แฮร์รี่ตกอยู่ในอันตราย แต่แย้มว่า เขาซื้อหมาสามหัว (ชื่อ ปุกปุย) และสัตว์ประหลาดนั้นกำลังเฝ้าความลับอันเป็นของดัมเบิลดอร์และพ่อมดนาม นิโคลัส เฟลมเมล เมื่อปิดเทอมคริสต์มาส แฮร์รี่และครอบครัววีสลีย์อยู่ในฮอกวอตส์ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กลับบ้าน ของขวัญชิ้นหนึ่งที่แฮร์รี่ได้ คือ ผ้าคลุมล่องหนจากผู้ให้นิรนามซึ่งเป็นของบิดาเขา และขลุ่ยจากแฮกริด แฮร์รี่ใช้ผ้าคลุมค้นเขตหวงห้ามของห้องสมุดเพื่อหาสารสนเทศเกี่ยวกับเฟลมเมลผู้ลึกลับ และบังเอิญเจอห้องที่มีกระจกเงาแห่งเอริเซด ซึ่งแสดงให้เห็นบิดามารดาและบรรพบุรุษของพวกเขาหลายคน แฮร์รี่กลายมาติดภาพของกระจก โดยเลือกใช้เวลากับ "ครอบครัว" เขา มากกว่าเพื่อนเขาที่ฮอกวอตส์ จนศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์มาช่วยเขา ผู้อธิบายว่ามันเพียงแสดงให้ผู้ชมเห็นสิ่งที่เขาปรารถนาที่สุด เมื่อนักเรียนที่เหลือกลับมาสำหรับเทอมหน้า เดรโกแกล้งเนวิลล์ และแฮร์รี่ปลอบเนวิลล์ด้วยขนมหวาน การ์ดสะสมที่ห่อด้วยขนมหวานนั้นระบุว่าเฟลมเมลเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ ไม่นาน เฮอร์ไมโอนี่พบว่าเขาอายุ 665 ปี และครอบครองสิ่งที่เรียก ศิลาอาถรรพ์ ซึ่งสามารถสกัดน้ำอมฤตได้ ไม่กี่วันให้หลัง แฮร์รี่สังเกตว่าสเนปย่องเข้าชายป่าต้องห้าม ที่นั่น เขาแอบได้ยินการสนทนาลับ ๆ ล่อ ๆ เกี่ยวกับศิลาอาถรรพ์ระหว่างสเนปกับควีเรลล์ แฮร์รี่สรุปว่าสเนปกำลังพยายามขโมยศิลาและควีเรลล์ช่วยเตรียมชุดการป้องกัน ซึ่งเป็นความผิดพลาดแทบร้ายแรง สามสหายพบว่าแฮกริดกำลังเลี้ยงมังกรทารกอันขัดต่อกฎหมายมด และจัดการลักลอบขนออกนอกประเทศราว ๆ เที่ยงคืน เดรโก ด้วยหวังก่อความเดือดร้อนแก่พวกเขา แจ้งต่อศาสตราจารย์มักกอนนากัล แม้มังกรถูกส่งไปอย่างปลอดภัย แต่พวกเขาถูกจับได้นอกหอพัก แฮร์รี่ เฮอร์ไมโอนี่ เดรโกและเนวิลล์ถูกทำโทษ และมอบหมายงานช่วยแฮกริด คือ ช่วยยูนิคอร์นที่บาดเจ็บหนักในป่าต้องห้าม พวกเขาแบ่งเป็นสองกลุ่มและออกเดินทางเข้าไปในป่า ซึ่งแฮร์รี่และเดรโกพบบุคคลใส่หมวกคลุมกำลังดื่มเลือดจากยูนิคอร์นที่บาดเจ็บ เมื่อทราบว่าพวกเขาอยู่ คน ๆ นั้นเข้าหาเด็กชายทั้งสองแต่เซนทอร์นาม ฟีเรนซี ช่วยแฮร์รี่ไว้ และเสนอให้เขาขี่กลับโรงเรียน ฟีเรนซีบอกแฮร์รี่ว่า การดื่มเลือดของยูนิคอร์นจะช่วยชีวิตของผู้ที่บาดเจ็บถึงตาย แต่ต้องแลกกับการมีชีวิตต้องสาปนับแต่ขณะนั้น ฟีเรนซีแนะว่า โวลเดอมอร์นั่นเองที่ดื่มเลือดยูนิคอร์นเพื่อให้มีกำลังเพียงพอทำน้ำอมฤต (จากศิลาอาถรรพ์) และได้สุขภาพบริบูรณ์จากการดื่มน้ำนั้น ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา แฮร์รี่ทราบจากแฮกริดว่าเขาได้ไข่มังกรนั้นมาจากคนแปลกหน้าสวมชุดคลุมศีรษะ ผู้ถามวิธีผ่านปุกปุย ซึ่งแฮกริดยอมรับว่ามันง่าย คือ ดนตรีทำให้มันหลับ ด้วยตระหนักว่าการป้องกันศิลาอาถรรพ์อย่างหนึ่งไม่ปลอดภัยอีกต่อไป แฮร์รี่จึงไปแจ้งดัมเบิลดอร์ แต่พบว่าอาจารย์ใหญ่เพิ่งออกเดินทางไปประชุมในกรุงลอนดอน แฮร์รี่สรุปว่าสเนปแปลงสารซึ่งเรียกดัมเบิลดอร์ไปและจะพยายามขโมยศิลาคืนนั้น แฮร์รี่ตัดสินใจว่าพวกเขาต้องพิทักษ์ศิลาเองระหว่างที่ดัมเบิลดอร์ไม่อยู่ ทั้งสามคลุมผ้าคลุมล่องหน เข้าห้องของปุกปุย ซึ่งแฮร์รี่ทำให้สัตว์นั้นหลับโดยการเป่าขลุ่ยที่แฮกริดส่งให้แฮร์รี่เป็นของขวัญคริสต์มาส หลังยกประตูกล พวกเขาพบชุดอุปสรรค ซึ่งแต่ละด่านต้องอาศัยทักษะพิเศษซึ่งหนึ่งในสามมี และในอุปสรรคหนึ่ง รอนต้องเสียลละตัวเองในเกมหมากรุกพ่อมดขนาดเท่าจริง แม้ฝืนใจทิ้งรอนไว้เบื้องหลัง แต่แฮร์รี่และเฮอร์ไมโอนี่มาถึงห้องที่เต็มไปด้วยน้ำยาขนาดและสีต่าง ๆ หลังเฮอร์ไมโอนี่ไขคำทายที่กำหนดให้ เธอสั่งแฮร์รี่ให้ดื่มน้ำยาขวดใด แฮร์รี่กลืนยานั้น ทำให้เขาผ่านไฟเวทมนตร์ได้อย่างปลอดภัยและเข้าห้องสุดท้าย ส่วนเฮอร์ไมโอนี่ย้อนกลับไปช่วยรอนและแจ้งเหตุการณ์คืนนี้ให้ดัมเบิลดอร์ ในห้องสุดท้าย แฮร์รี่เพียงลำพัง พบควีเรลล์ซึ่งยอมรับว่าเขาพยายามฆ่าแฮร์รี่ในการแข่งขันควิดดิชนัดพบกับสลิธีริน เขายังยอมรับว่าเขาปล่อยโทรลล์เข้าฮอกวอตส์ ซึ่งหมายความว่า สเนปพยายามปกป้องแฮร์รี่มาตลอด และมิได้พยายามฆ่าเขา ควีเรลล์เป็นสาวกคนหนึ่งของโวลเดอมอร์ และหลังขโมยศิลาอาถรรพ์ล้มเหลวในคราวแรก เขาให้เจ้านายสิงสู่เขาเพื่อโวลเดอมอร์จะได้ศิลาเอง ทว่า งานนี้ดูเป็นงานยากเพราะวัตถุเดียวในห้อง คือ กระจกเงาแห่งเอริเซด ซึ่งไม่เปิดเผยที่อยู่ของศิลาแก่ควีเรลล์ ควีเรลล์ให้แฮร์รี่ยืนประจัญกระจกตามคำสั่งของโวลเดอมอร์ กระจกแสดงภาพแฮร์รี่พบศิลา ควีเรลล์ถอดผ้าโพกหัว เผยให้เห็นใบหน้าของโวลเดอมอร์หลังศีรษะเขา โวลเดอมอร์/ควีเรลล์พยายามฉวยศิลาจากแฮร์รี่ แต่ล้มเหลว หลังต่อสู้ยาวนาน แฮร์รี่หมดสติไป เขาตื่นขึ้นในห้องพยาบาล ซึ่งดัมเบิลดอร์อธิบายว่าเขารอดชีวิตเพราะมารดาเขาสละชีพเพื่อพิทักษ์เขา และทั้งโวลเดอมอร์และควีเรลล์ไม่สามารถเข้าใจอำนาจความรักได้ โวลเดอมอร์ทิ้งควีเรลล์ให้ตายและน่าจะหวนคืนด้วยวิธีอื่น ตอนนี้ศิลาถูกทำลายแล้ว ปีการศึกษาจบด้วยงานเลี้ยง ซึ่งกริฟฟินดอร์ชนะถ้วยประจำบ้าน แฮร์รี่กลับบ้านครอบครัวเดอร์สลีย์ในวันหยุดฤดูร้อน แต่ไม่บอกเขาว่าพ่อมดอายุต่ำกว่าเกณฑ์ถูกห้ามมิให้ใช้เวทมนตร์นอกฮอกวอตส์ ตัวละครหลัก
การพัฒนา การพิมพ์และการตอบรับการพัฒนาหนังสือนี้ซึ่งเป็นนวนิยายประเดิมของโรว์ลิง เขียนระหว่างประมาณเดือนมิถุนายน 2533 ถึงประมาณปี 2538 ในปี 2533 โจ โรว์ลิง อันเป็นชื่อที่เธอชอบให้รู้จัก ต้องการย้ายกับแฟนหนุ่มไปแฟลตแห่งหนึ่งในแมนเชสเตอร์ และตามคำของเธอ "สุดสัปดาห์หนึ่งหลังการตระเวนหาแฟลต ฉันนั่งรถไฟกลับกรุงลอนดอนด้วยตัวเองแล้วความคิดแฮร์รี่ พอตเตอร์ตกมาในหัวของฉัน ... เด็กชายผอมหุ้มกระดูก ตัวเล็ก ผมสีดำ และสวมแว่นตากลายเป็นพ่อมดมากขึ้นทุกที ๆ สำหรับฉัน... ฉันเริ่มเขียนศิลาอาถรรพ์ เย็นนั้นเอง แม้ว่าหน้าแรก ๆ ดูไม่เหมือนผลงานสมบูรณ์เลย"[7] แล้วมารดาของโรว์ลิงเสียชีวิต เพื่อรับมือกับความเจ็บปวดของเธอ โรว์ลิงถ่ายโอนความระทมของเธอไปยังแฮร์รี่กำพร้า[7] โรว์ลิงใช้เวลาหกปีเขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ และหลังจากบลูมส์บิวรีตอบรับ เธอได้เงินอุดหนุน 8,000 ปอนด์จากสภาศิลปะสกอต ซึ่งทำให้เธอสามารถวางแผนภาคต่อ[8] เธอส่งหนังสือให้ตัวแทนและสำนักพิมพ์ แล้วตัวแทนที่สองที่เธอเข้าหาใช้เวลาหนึ่งปีพยายามขายหนังสือให้สำนักพิมพ์ ซึ่งส่วนใหญ่คิดว่ายาวเกินไป คือ ประมาณ 90,000 คำ แบร์รี คันนิงแฮม ซึ่งกำลังสร้างแฟ้มผลงานแฟนตาซีโดดเด่นโดยผู้ประพันธ์ใหม่สำหรับหนังสือเด็กบลูมส์บิวรี แนะนำให้รับหนังสือ[9] และธิดาของประธานบริหารของบลูมส์บิวรีวัยแปดขวบกล่าวว่า มัน "ดีกว่าเล่มอื่นมาก"[10] การพิมพ์และการตอบรับในสหราชอาณาจักรบลูมส์บิวรีตอบรับหนังสือ โดยจ่ายโรว์ลิงล่วงหน้า 2,500 ปอนด์[11] และคันนิงแฮมส่งสำเนาต้นฉบับถึงผู้ประพันธ์ นักวิจารณ์และผู้ขายหนังสือที่ได้รับเลือกอย่างระวังเพื่อเอาความเห็นที่จะสามารถยกมาเมื่อวางขายหนังสือ[9] เขากังวลถึงความยาวหนังสือน้อยกว่าชื่อผู้ประพันธ์ เพราะชื่อเรื่องฟังคล้ายหนังสือเด็กชาย และเด็กชายนิยมหนังสือผู้ประพันธ์ชาย ฉะนั้น โรว์ลิงจึงใช้นามปากกา เจ.เค. โรว์ลิง ไม่นานก่อนพิมพ์[9] ในเดือนมิถุนายน 2540 บลูมส์บิวรีจัดพิมพ์ศิลาอาถรรพ์ ทีแรกจำนวน 500 เล่มเป็นปกแข็ง ซึ่งสามร้อยเล่มถูกจำหน่ายไปห้องสมุดต่าง ๆ[12] ชื่อเดิม "โจแอนน์ โรว์ลิง" ของเธอ พบเป็นตัวพิมพ์เล็ก ๆ ในหน้าลิขสิทธิ์ของฉบับพิมพ์ในอังกฤษครั้งแรกนี้ (ฉบับพิมพ์ครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา ปี 2541 ตัดการพาดพิงถึง "โจแอนน์" อย่างสิ้นเชิง)[13] การพิมพ์ครั้งแรกเป็นจำนวนน้อยนั้นเป็นเรื่องปกติสำหรับนวนิยายเล่มแรก และคันนิงแฮมหวังว่าผู้ขายหนังสือจะอ่านหนังสือ และแนะนำให้ลูกค้า[9] ตัวอย่างจากการพิมพ์ครั้งแรกนี้ที่มีมูลค่าสูง คือ ในการประมูลเฮอริเทจปี 2550 ขายได้ราคาถึง 33,460 ดอลลาร์สหรัฐ[14] ลินซีย์ เฟรเซอร์ (Lindsey Fraser) หนึ่งในผู้ให้ความเห็นในคำนิยม[9] เขียนสิ่งที่คาดว่าเป็นบทปริทัศน์จัดพิมพ์ชิ้นแรก ในเดอะสกอตส์แมน เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2540 เธออธิบายแฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ ว่า "เรื่องตื่นเต้นน่าบันเทิงมาก" และโรว์ลิงว่า "ผู้เขียนสำหรับเด็กชั้นหนึ่ง"[9][15] บทปริทัศน์ช่วงแรก ๆ อีกบทหนึ่ง ในเดอะเฮรัลด์ ว่า "ฉันยังไม่เจอเด็กที่วางมันลงได้" หนังสือพิมพ์นอกสกอตแลนด์เริ่มสังเกตหนังสือ โดยมีบทปริทัศน์ยกย่องในเดอะการ์เดียน เดอะซันเดย์ไทมส์ และเดอะเมลออนซันเดย์ และในเดือนกันยายน 2540 บุ๊กส์ฟอร์คีพส์ นิตยสารซึ่งว่าด้วยหนังสือเด็กโดยเฉพาะ ให้นวนิยายนี้สี่ดาวเต็มห้า[9] เดอะเมลออนซันเดย์ ประเมินว่า "การประเดิมอันเปี่ยมจินตนาการที่สุดนับแต่โรอาลด์ ดาห์ล" ซึ่งเป็นความเห็นที่ประสานกับเดอะซันเดย์ไทมส์ ("คราวนี้ การเปรียบกับดาห์ลชอบแล้ว") ขณะที่เดอะการ์เดียนเรียกว่า "นวนิยายเนื้อดีซึ่งอัจฉริยะสร้างสรรค์ปล่อยทะยาน" และเดอะสกอตส์แมน กล่าวว่า "มีคุณสมบัติของคลาสสิกทุกประการ"[9] ฉบับสหราชอาณาจักรปี 2540 ได้รางวัลหนังสือแห่งชาติและเหรียญทองรางวัลหนังสือเนสเล่ สมาร์ตีส์หมวด 9 ถึง 11 ปี[16] รางวัลสมาร์ตีส์ ซึ่งเด็กเป็นผู้ออกเสียง ทำให้หนังสือดังภายในหกเดือนของการพิมพ์ ขณะที่หนังสือเด็กส่วนใหญ่ต้องรอเป็นปี ๆ[9] ปีต่อมา ศิลาอาถรรพ์กวาดรางวัลอังกฤษซึ่งเด็กเป็นผู้ตัดสินใหญ่ ๆ เกือบทั้งหมด[9] นอกจากนี้ ยังอยู่ในรายการท้าชิงรางวัลหนังสือเด็กที่ผู้ใหญ่ตัดสิน[17] แต่ไม่ชนะ ซานดรา เบ็กเคตต์ออกความเห็นว่า หนังสือซึ่งได้รับความนิยมกับเด็กถือว่าต้องใช้ความพยายามน้อย (undemanding) และไม่อยู่ในมาตรฐานวรรณกรรมสูงสุด ตัวอย่างเช่น สถาบันวรรณกรรมรังเกียจงานของโรอาลด์ ดาห์ล แต่เป็นที่นิยมท่วมท้นของเด็กก่อนหนังสือของโรว์ลิงปรากฏ[18] ในปี 2546 นวนิยายนี้อยู่ในรายการที่อันดับ 22 ในการสำรวจเดอะบิ๊กรีดของบีบีซี[19] แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ ได้สองรางวัลอุตสาหกรรมจัดพิมพ์ซึ่งให้สำหรับการขายมากกว่าคุณค่าวรรณกรรม คือ หนังสือเด็กแห่งปีของรางวัลหนังสืออังกฤษ และผู้ประพันธ์แห่งปีของสมาคมผู้ขายหนังสือ / บุ๊กเซลเลอร์[9] เมื่อเดือนมีนาคม 2542 ฉบับสหราชอาณาจักรขายได้กว่า 300,000 เล่ม[20] และเรื่องนี้ยังเป็นหนังสือขายดีที่สุดของสหราชอาณาจักรในเดือนธันวาคม 2544[21] ฉบับอักษรเบรลล์จัดพิมพ์ในเดือนพฤษภาคม 2541 โดยสำนักพิมพ์เบรลล์สกอตแลนด์[22] ชานชาลาที่ 9¾ อันเป็นที่ซึ่งรถไฟด่วนสายฮอกวอตส์ออกจากกรุงลอนดอน มีการอนุสรณ์ในสถานีรถไฟคิงส์ครอสในชีวิตจริงด้วยสัญลักษณ์และรถเข็นที่ดูเหมือนกำลังผ่านทะลุกำแพง[23] การพิมพ์และการตอบรับในสหรัฐอเมริกา
บริษัทสกอลาสติกซื้อสิทธิ์การพิมพ์ในสหรัฐอเมริกาที่เทศกาลหนังสือโบโลญญาเมื่อเดือนเมษายน 2540 เป็นเงิน 105,000 ดอลลาร์สหรัฐ อันเป็นจำนวนเงินสูงผิดปกติสำหรับหนังสือเด็ก[9] พวกเขาคาดว่าเด็กจะไม่อยากอ่านหนังสือที่มีคำว่า "นักปราชญ์" (philosopher) ในชื่อเรื่อง[26] และหลังอภิปรายบ้าง ก็ได้มีการจัดพิมพ์ฉบับอเมริกันในเดือนกันยายน 2541[27] ภายใต้ชื่อเรื่องที่โรว์ลิงเสนอ คือ Harry Potter and the Sorcerer's Stone[9] (แปลตามอักษรว่า "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาผู้วิเศษ") โรว์ลิงอ้างว่าเธอเสียใจการเปลี่ยนแปลงนี้และจะสู้หากเธออยู่ในฐานะที่แข็งแรงกว่าตอนนั้น[28] ฟิลิป เนลชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้เสียความเชื่อมโยงกับการเล่นแร่แปรธาตุ และมีการเปลี่ยนคำอื่นบางคำในการแปล ตัวอย่างเช่น จาก "crumpets" ในภาษาอังกฤษแบบบริติชเป็น "muffin" ในภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน แม้โรว์ลิงยอมรับการเปลี่ยนแปลงทั้งจาก "mum" ในภาษาอังกฤษแบบบริติชและ "mam" แบบภาษาไอริชที่เชมัส ฟินนิกันใช้ เป็น "mom" ใน Harry Potter and the Sorcerer's Stone แต่เธอคัดค้านการเปลี่ยนแปลงนี้ในเล่มต่อ ๆ มา ทว่า เนลมองว่าการแปลของสกอลาสติกค่อนข้างละเอียดอ่อนกว่าการแปลส่วนใหญ่ที่กำหนดตามหนังสือภาษาอังกฤษแบบบริติชขณะนั้น และการเปลี่ยนแปลงอื่นบางอย่างอาจถือได้ว่าเป็นการพิสูจน์อักษรที่มีประโยชน์[24] เพราะฉบับสหราชอาณาจักรเล่มแรก ๆ ในชุดจัดพิมพ์สองสามเดือนก่อนฉบับอเมริกัน ผู้อ่านชาวอเมริกันบางคนจึงคุ้นเคยกับรุ่นภาษาอังกฤษแบบบริติชหลังซื้อหนังสือทางอินเทอร์เน็ต[29] ทีแรกผู้วิจารณ์ทรงเกียรติที่สุดละเลยหนังสือ โดยปล่อยให้สิ่งพิมพ์เผยแพร่ขายหนังสือและห้องสมุด เช่น เคอร์คัสรีวิวส์ (Kirkus Reviews) และบุ๊กลิสต์ ซึ่งพิจารณาหนังสือเฉพาะเกณฑ์ที่เน้นความบันเทิงของบันเทิงคดีเด็ก ทว่า บทปฏิทัศน์ผู้ชำนัญพิเศษที่เจาะลึกขึ้น (เช่น โดยโคออเพอเรทีฟชิลเดรนส์บุ๊กเซ็นเตอร์ชอยส์ ซึ่งชี้ความซับซ้อน ความลึกและความต่อเนื่องของโลกที่โรว์ลิงสร้าง) ดึงดูดความสนใจของนักวิจารณ์ในหนังสือพิมพ์หลัก ๆ[30] แม้เดอะบอสตันโกลบ และ Michael Winerip ในเดอะนิวยอร์กไทมส์ บ่นว่าบทท้าย ๆ เป็นส่วนที่อ่อนที่สุดของหนังสือ[15][31] พวกเขาและนักวิจารณ์ชาวอเมริกันอื่นส่วนมากให้การยกย่อง[9][15] ปีต่อมา ฉบับสหรัฐอเมริกาได้รับเลือกเป็นหนังสือเด่นของสมาคมห้องสมุดอเมริกัน หนังสือยอดเยี่ยมแห่งปี 2541 ของพับลิเชอส์วีกลี และหนังสือยอดเยี่ยมแห่งปี 2541 ของหอสมุดสาธารณะนิวยอร์ก และคว้ารางวัลหนังสือแห่งปี 2541 ของนิตยสารเพเรนติง[16] หนังสือยอดเยี่ยมแห่งปีของวารสารห้องสมุดโรงเรียน และหนังสือยอดเยี่ยมสำหรับผู้ใหญ่ตอนต้นของสมาคมห้องสมุดอเมริกัน[9] ในเดือนสิงหาคม 2542 Harry Potter and the Sorcerer's Stone แตะอันดับ 1 รายการบันเทิงคดีขายดีที่สุดของนิวยอร์กไทมส์[32] และอยู่ใกล้อันดับ 1 เป็นเวลาส่วนใหญ่ของปี 2542 และ 2543 จนนิวยอร์กไทมส์ แบ่งรายการออกเป็นส่วนหนังสือเด็กและผู้ใหญ่ภายใต้แรงกดดันจากสำนัดพิมพ์อื่นที่ใคร่เห็นหนังสือของตนได้อันดับดีขึ้น[18][30] รายงานของพับลิเชอร์วีกลีเมื่อเดือนธันวาคม 2544 ว่าด้วยยอดขายสะสมของบันเทิงคดีเด็กได้จัดอันดับ Harry Potter and the Sorcerer's Stone ในอันดับที่ 19 ในหมวดปกแข็ง (กว่า 5 ล้านเล่ม) และอันดับที่ 7 ในหมวดปกอ่อน (กว่า 6.6 ล้านเล่ม)[33] ในเดือนพฤษภาคม 2551 สกอลาสติกประกาศการสร้างฉบับครบรอบปีที่ 10 ของหนังสือ[34] ซึ่งออกจำหน่ายในวันที่ 1 ตุลาคม 2551[35] เพื่อเป็นสัญลักษณ์วันครบรอบปีที่สิบการวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาดั้งเดิม[34] สำหรับวันครบรอบปีที่สิบห้าของหนังสือ สกอลาสติกออก Sorcerer's Stone ใหม่ กับนวนิยายอีกหกเล่มในชุด กับภาพปกใหม่โดยคะซุ คิบุอิชิ ในปี 2556[36][37][38] การแปลเมื่อกลางปี 2551 มีการจัดพิมพ์การแปลหนังสืออย่างเป็นทางการใน 67 ภาษา[39][40] บลูมส์บิวรีจัดพิมพ์การแปลในภาษาละตินและภาษากรีกโบราณ[41][42] ซึ่งฉบับภาษากรีกโบราณนี้ได้รับอธิบายว่าเป็น "ร้อยแก้วภาษากรีกโบราณชิ้นสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งที่เขียนในหลายศตวรรษ"[43] ลีลาและแก่นเรื่องฟิลิป เนลเน้นอิทธิพลของเจน ออสเตน ซึ่งโรว์ลิงเทิดทูนอย่างสูงตั้งแต่อายุสิบสองขวบ ผู้ประพันธ์ทั้งสองกระตุ้นให้อ่านซ้ำ เพราะรายละเอียดที่ดูด้อยความสำคัญเกริ่นการณ์สำคัญหรือตัวละครในเนื้อเรื่องภายหลัง ตัวอย่างเช่น มีการพาดพิงถึงซิเรียส แบล็กสั้น ๆ ใกล้ตอนต้นของแฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ แล้วกลายเป็นตัวละครหลักตัวหนึ่งในหนังสือเล่มที่สามถึงห้า เช่นเดียวกับวีรสตรีของออสเตน แฮร์รี่มักต้องกลับทบทวนความคิดของเขาในช่วงท้ายเล่ม พฤติกรรมสังคมบางอย่างในหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ ชวนให้นึกถึงออสเตน เช่น การอ่านจดหมายสาธารณะอย่างตื่นเต้น ผู้ประพันธ์ทั้งสองเสียดสีพฤติกรรมสังคมและให้ชื่อตัวละครซึ่งแสดงบุคลิกภาพของพวกเขา ทว่า ในความเห็นของเนล ความขบขันของโรว์ลิงยึดภาพล้อมากกว่า และชื่อที่เธอประดิษฐ์นั้นคล้ายกับที่พบในนิยายของชาร์ลส์ ดิกคินส์มากกว่า[15]: 13–15 และอะแมนดา ค็อกเรล (Amanda Cockrell) สังเกตว่า ชื่อเหล่านี้จำนวนมากแสดงลักษณะตัวละครผ่านการอ้างถึงซึ่งไล่ตั้งแต่เทพปกรณัมโรมันโบราณจนถึงวรรณคดีภาษาเยอรมันสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 18[44] โรว์ลิงคิดว่าไม่มีความแตกต่างตายตัวระหว่างนิยายสำหรับเด็กและสำหรับผู้ใหญ่ เช่นเดียวกับ ซี. เอส. ลิวอิส ผู้ประพันธ์ชุดนาร์เนีย เนลยังสังเกตว่า โรว์ลิงประสมวรรณคดีหลายประเภท เช่น แฟนตาซี บันเทิงคดีผู้ใหญ่ตอนต้น นิยายโรงเรียนกินนอน บิลดุงซโรมัน (Bildungsroman) และอื่น ๆ อีกมาก[15]: 51–52 นักวิจารณ์บางส่วนเปรียบเทียบศิลาอาถรรพ์ กับนิยายของโรอาลด์ ดาห์ล ผู้เสียชีวิตในปี 2533 มีการยกย่องผู้เขียนหลายคนนับแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 ว่าเป็นผู้สืบทอดเขา แต่ไม่มีผู้ใดเทียบเคียงความนิยมของเขากับเด็กได้เลย และในการสำรวจความเห็นไม่นานหลังศิลาอาถรรพ์ ออก หนังสือเด็กยอดนิยมสิบอันดับเป็นของดาห์ลเสียเจ็ดเล่ม รวมทั้งอันดับหนึ่ง ผู้ประพันธ์เด็กซึ่งเป็นที่นิยมจริง ๆ อีกคนหนึ่งในปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 คือ อาร์. แอล. สตีน ชาวอเมริกัน ส่วนเรื่องบางส่วนในศิลาอาถรรพ์ คล้ายกับเรื่องของดาห์ล ตัวอย่างเช่น พระเอกเรื่อง เจมส์กับพีชยักษ์ (James and the Giant Peach) เสียบิดามารดาและต้องอยู่กับป้าไม่พึงปรารถนาคู่หนึ่ง คนหนึ่งอ้วนคนหนึ่งผอมคล้ายคุณและคุณนายเดอร์สลีย์ ผู้ซึ่งปฏิบัติต่อแฮร์รี่เยี่ยงคนรับใช้ ทว่า แฮร์รี่ พอตเตอร์เป็นการสร้างสรรค์เห็นได้ชัด คือ สามารถรับความรับผิดชอบของผู้ใหญ่ขณะภายในยังเป็นเด็ก[9] บรรณารักษ์ Nancy Knapp และศาสตราจารย์การตลาด สตีเฟน บราวน์ สังเกตความมีชีวิตชีวาและรายละเอียดการพรรณนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากร้านค้าอย่างตรอกไดแอกอน[16][45] แทด เบรนแนนออกความเห็นว่า การเขียนของโรว์ลิงคล้ายกับของโฮเมอร์ คือ "รวดเร็ว เรียบง่ายและแสดงออกตรง"[43] สตีเฟน คิงยกย่องว่า "รายละเอียดขี้เล่นประเภทที่มีเฉพาะนักแฟนตาซีอังกฤษเท่านั้นที่ดูสามารถ" และสรุปว่า พวกมันได้ผลเพราะโรว์ลิงชอบหัวเราะคิก ๆ เร็ว ๆ แล้วเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างกระฉับกระเฉง[46] นิโคลัส ทักเคอร์อธิบายหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มแรก ๆ ว่าดูย้อนไปนิยายเด็กสมัยวิกตอเรียและเอ็ดเวิร์ด โดยฮอกวอตส์เป็นโรงเรียนกินนอนแบบเก่าซึ่งครูเรียกนักเรียนอย่างเป็นทางการด้วยนามสกุล แลกังวลมากสุดกับชื่อเสียงของบ้านที่สังกัด บุคลิกภาพของตัวละครแสดงอย่างเรียบ ๆ โดยลักษณะภายนอกของพวกเขา เริ่มจากครอบครัวเดอร์สลีย์ ตัวละครชั่วร้ายหรือมุ่งร้ายจะถูกกำจัดมากกว่าเปลี่ยนแปลง ซึ่งรวมคุณนายนอร์ริส แมวของฟิลช์ และพระเอก เด็กกำพร้าซึ่งถูกข่มเหงผู้พบสถานที่แท้จริงของเขาในชีวิต มีเสน่ห์และเล่นกีฬาเก่ง แต่เห็นใจผู้อื่นและปกป้องผู้อ่อนแอ[47] ผู้ให้ความเห็นหลายคนยังแถลงว่าหนังสือนำเสนอสังคมจัดช่วงชั้นอย่างสูงซึ่งรวมภาพลักษณ์สังคมจำนวนมาก[48] ทว่า คาริน เวสเตอร์แมนลากเส้นขนานกับบริเตนสมัยคริสต์ทศวรรษ 1990 คือ ระบบชนชั้นซึ่งกำลังพังทลายแต่ถูกผู้ที่มีอำนาจและสถานภาพสนับสนุนป้องกัน องค์ประกอบหลายชาติพันธุ์ของนักเรียนฮอกวตอส์ ความตึงเครียดระหว่างเชื้อชาติระหว่างหลายสปีชีส์ทรงปัญญา และการแกล้งในโรงเรียน[49] ซูซาน ฮอลเขียนว่าไม่มีหลักนิติธรรมในหนังสือ จากการกระทำของข้าราชการกระทรวงเวทมนตร์ไม่ถูกจำกัดด้วยกฎหมาย ภาระความรับผิดหรือการคัดค้านทางกฎหมายทุกชนิด จึงเป็นโอกาสสำหรับโวลเดอมอร์ที่เสนอระเบียบแบบน่ากลัวของเขา แฮร์รี่และเฮอร์ไมโอนี่ซึ่งถูกเลี้ยงในโลกมักเกิ้ลที่มีการวางระเบียบสูงได้รับผลข้างเคียง คือ หาทางออกโดยคิดในวิถีซึ่งมดไม่คุ้นชิน ตัวอย่างเช่น เฮอร์ไมโอนี่สังเกตว่าอุปสรรคหนึ่งในการหาศิลาอาถรรพ์เป็นการทดสอบตรรกะมิใช่อำนาจเวทมนตร์ และมดส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสแก้ได้[50] เนลเสนอว่า การสร้างลักษณะสัญนิยม รู้จักฐานะและวัตถุนิยมสุดขีดของครอบครัวเดอร์สลีย์เป็นปฏิกิริยาของโรว์ลิงต่อนโยบายครอบครัวของรัฐบาลอังกฤษช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 ซึ่งถือคู่สมรสต่างเพศเป็น "บรรทัดฐานพึงปรารถนา" ขณะที่โรว์ลิงเป็นแม่คนเดียว ความสัมพันธ์ของแฮร์รี่กับมดผู้ใหญ่และวัยรุ่นยึดความชอบและความภักดี ซึ่งสะท้อนเป็นความสุขของเขาเมื่อเขาเป็นสมาชิกชั่วคราวของครอบครัววีสลีย์ตลอดชุด และในการปฏิบัติต่อรูเบียส แฮกริดทีแรก และรีมัส ลูปินและซิเรียส แบล็กเป็นเสมือนพ่อในเวลาต่อมา[15]: 13–15, 47–48 [44] มรดกภาคต่อเล่มสอง แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ เดิมจัดพิมพ์ในสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2541 และในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2542[51][52] จากนั้น แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน จัดพิมพ์อีกหนึ่งปีให้หลังในสหราชอาณาจักรเมื่อ 8 กรกฎาคม 2542 และในสหรัฐอเมริกาเมื่อ 8 กันยายน 2542[51][52] แฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี จัดพิมพ์เมื่อ 8 กรกฎาคม 2543 พร้อมกันทั้งบลูมส์บิวรีและสกอลาสติก[53] แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์ เป็นเล่มที่ยาวที่สุดในชุด รุ่นสหราชอาณาจักรมี 766 หน้า และรุ่นสหรัฐอเมริกามี 870 หน้า[54] จัดพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษทั่วโลกเมื่อ 21 มิถุนายน 2546[55] แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม จัดพิมพ์เมื่อ 16 กรกฎาคม 2548 และขายได้ 11 ล้านเล่มในการวางขายทั่วโลก 24 ชั่วโมงแรก[56][57] นวนิยายเล่มที่เจ็ดและเล่มสุดท้าย แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต จัดพิมพ์เมื่อ 21 กรกฎาคม 2550[58] หนังสือขายได้ 11 ล้านเล่มในการวางขาย 24 ชั่วโมงแรกเช่นกัน[59] ฉบับภาพยนตร์ในปี 2542 โรว์ลิงขายลิขสิทธิ์ภาพยนตร์หนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์สี่เล่มแรกให้วอร์เนอร์บราเธอร์สเป็นมูลค่าที่รายงาน 1 ล้านปอนด์ (1,982,900 ดอลลาร์สหรัฐ)[60] โรว์ลิงต้องการให้ตัวละครหลักเป็นชาวอังกฤษอย่างเข้มงวดแต่อนุญาตให้คัดเลือกนักแสดงชาวไอร์แลนด์อย่างริชาร์ด แฮริสวัยชราและนักแสดงต่างประเทศเป็นสัญชาติเดียวกับตัวละครในเล่มหลัง ๆ[61] หลังการคัดตัวอย่างกว้างขวาง[62] การถ่ายทำเริ่มในเดือนตุลาคม 2543 ที่สตูดิโอภาพยนตร์ลีเวสเดนและในกรุงลอนดอน โดยการถ่ายทำจบในเดือนกรกฎาคม 2544[63] แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ฉายในกรุงลอนดอนเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2544[64][65] ความเห็นของนักวิจารณ์เป็นบวก สะท้อนโดยเฟรชเรตติง 80% ทางรอตเทินโทเมโทส์ (Rotten Tomatoes)[66] และคะแนน 64% ที่เมตาคริติก ซึ่งแสดง "บทปริทัศน์ชื่นชอบโดยทั่วไป"[67] วิดีโอเกมวิดีโอเกมที่ยึดหนังสืออย่างหลวม ๆ ออกจำหน่ายระหว่างปี 2544 ถึง 2546 โดยทั่วไปภายใต้ชื่อเรื่องอเมริกัน Harry Potter and the Sorcerer's Stone ส่วนมากจัดจำหน่ายโดยอิเล็กทรอนิก อาตส์ แต่ก็มีที่ผลิตโดยผู้ผลิตอื่นบ้าง
การใช้ในการศึกษาและธุรกิจนักการศึกษาพบว่า การรู้หนังสือของเด็กสัมพันธ์โดยตรงกับจำนวนคำที่อ่านต่อปี และเด็กนั้นจะยิ่งอ่านมากหากพบสื่อที่ชอบ การสำรวจปี 2544 โดยนิวยอร์กไทมส์ ประเมินว่า เด็กสหรัฐเกือบ 60% อายุระหว่าง 6 ถึง 17 ปีเคยอ่านหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์อย่างน้อยหนึ่งเล่ม การสำรวจในประเทศอื่น ซึ่งรวมประเทศอินเดียและแอฟริกาใต้ พบว่า เด็กกระตือรือร้นเกี่ยวกับนวนิยายชุดนี้ เพราะกระทั่งหนังสือสองเล่มแรกยังค่อนข้างยาว เด็กที่อ่านสี่เล่มแรกจะอ่านกว่าสี่เท่าของจำนวนหน้าของหนังสืออ่านของโรงเรียนทั้งปี ซึ่งเพิ่มทักษะและแรงจูงใจการอ่านของเด็กอย่างสูง[16] ผู้เขียนในหัวข้อการศึกษาและธุรกิจใช้หนังสือนี้เป็นบทเรียนวัตถุ (object lesson) การเขียนเกี่ยวกับการสอนทางคลินิกในโรงเรียนแพทย์ เจนนิเฟอร์ คอนน์เปรียบเทียบความชำนาญเทคนิคของสเนปกับพฤติกรรมข่มขู่ของเขาต่อนักเรียน กับอีกด้านหนึ่ง มาดามฮู้ช โค้ชควิดดิช ที่แสดงเทคนิคมีประโยชน์ในการสอนทักษะกายภาพ ซึ่งรวมการแบ่งการกระทำซับซ้อนออกเป็นลำดับการกระทำง่าย ๆ และช่วยนักเรียนให้เลี่ยงข้อผิดพลาดพบบ่อย[84] จอยซ์ ฟีลดส์ เขียนว่า หนังสือแสดงหัวข้อหลักสี่ในห้าหัวข้อในชั้นเรียนสังคมวิทยาปีหนึ่งตรงแบบ ได้แก่ มโนทัศน์สังคมวิทยาซึ่งรวมวัฒนธรรม สังคมและการขัดเกลาทางสังคม การจัดช่วงชั้นในสังคมและความเหลื่อมล้ำทางสังคม สถาบันสังคม และทฤษฎีสังคม"[48] สตีเฟน บราวน์สังเกตว่า หนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ เล่มแรก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ เป็นความสำเร็จนอกเหนือการควบคุมแม้มีการตลาดไม่เพียงพอและจัดระเบียบอย่างเลว บราวน์แนะนำผู้บริหารการตลาดให้หมกมุ่นกับการวิเคราะห์สถิติอย่างเคร่งครัดและแบบจำลอง "วิเคราะห์ วางแผน นำไปปฏิบัติและควบคุม" ของการจัดการ เขาแนะนำว่าพวกเขาควรถือเรื่องนี้เป็น "มาสเตอร์คลาส (masterclass) การตลาด" ซึ่งเต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์และชื่อตราสินค้าน่าจูงใจแทน[45] ตัวอย่างเช่น มีการริเริ่มสิ่งคล้ายคลึงในโลกจริงของถั่วทุกรสของเบอร์ตีบอตต์ภายใต้ใบอนุญาตในปี 2543 โดยผู้ผลิตของเล่น แฮสโบร[45][85] อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิตำรามีคู่มือในหัวข้อ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ |