Share to:

 

ไมเคิล แคร์ริก

ไมเคิล แคร์ริก
แคร์ริกกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในปี ค.ศ. 2009
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม ไมเคิล แคร์ริก[1]
วันเกิด (1981-07-28) 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1981 (43 ปี)[1]
สถานที่เกิด วอลล์เซนด์ อังกฤษ
ส่วนสูง 6 ft 3 in (1.90 m)[2]
ตำแหน่ง กองกลาง
ข้อมูลสโมสร
สโมสรปัจจุบัน
มิดเดิลส์เบรอ (หัวหน้าผู้ฝึกสอน)
สโมสรเยาวชน
1986–1997 วอลล์เซนด์บอยส์คลับ
1997–1999 เวสต์แฮมยูไนเต็ด
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
1999–2004 เวสต์แฮมยูไนเต็ด 136 (6)
1999สวินดันทาวน์ (ยืมตัว) 6 (2)
2000เบอร์มิงแฮมซิตี (ยืมตัว) 2 (0)
2004–2006 ทอตนัมฮอตสเปอร์ 64 (2)
2006–2018 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 316 (17)
รวม 524 (27)
ทีมชาติ
อังกฤษ อายุไม่เกิน 18 ปี 4 (0)
2000–2003 อังกฤษ อายุไม่เกิน 21 ปี 14 (2)
2006 อังกฤษ บี 1 (0)
2001–2015 อังกฤษ 34 (0)
จัดการทีม
2021 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (รักษาการ)
2022– มิดเดิลส์เบรอ
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น

ไมเคิล แคร์ริก (อังกฤษ: Michael Carrick; เกิด 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1981) เป็นอดีตนักฟุตบอลชาวอังกฤษในตำแหน่งกองกลาง ปัจจุบันเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนให้กับมิดเดิลส์เบรอ ในอีเอฟแอลแชมเปียนชิป

แคร์ริกเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นสโมสรสุดท้าย ก่อนที่จะเข้าร่วมเป็นผู้ช่วยผู้ฝึกสอนให้กับสโมสรนี้ในเวลาต่อมา และทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมรักษาการของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดหลังจากที่โอเล่ กุนนา โซชาแยกทางกับสโมสร

อาชีพค้าแข้ง

แคร์ริก เริ่มต้นเล่นฟุตบอลให้กับสโมสรวอลล์เซนด์บอยส์คลับซึ่งเป็นสโมสรที่เคยสร้างนักเตะอย่างแอลัน เชียเรอร์ และปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ ก่อนที่จะเริ่มต้นการเล่นฟุตบอลอาชีพกับสถาบันเยาวชนอันเลื่องชื่อของเวสต์แฮมในปี ค.ศ. 1998 แคร์ริกลงเล่นร่วมกับโจ โคล ได้อย่างโดดเด่นในเกมที่เอาชนะคอเวนทรีซิตีไปอย่างถล่มทลาย 9-0 ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอยูทคัพ ในปี ค.ศ. 1999 โดยแคร์ริกทำได้ 2 ประตูในนัดนี้

ในฤดูกาล 1999-2000 แคร์ริกถูกยืมตัวไปอยู่กับสวินดอนทาวน์ ฤดูกาลต่อมาเขาถูกยืมตัวอีกครั้งคราวนี้ไปอยู่กับเบอร์มิงแฮมซิตี ผลงานอันยอดเยี่ยมของเขาในการเล่นให้กับเบอร์มิงแฮมในฤดูกาล 2000-2001 ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้ท้าชิงรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ แม้ว่าสุดท้ายแล้วเขาต้องพ่ายแพ้ให้กับสตีเวน เจอร์ราร์ด ของลิเวอร์พูล

แคร์ริก ใช้เวลาส่วนมากในฤดูกาล 2002-2003 พักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บก่อนที่เวสต์แฮม จะต้องตกชั้นไปเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล แทนที่จะย้ายออกจากทีมตามเพื่อนร่วมทีมอย่างโจ โคล, เฟรดี คานูเต และเจอร์เมน ดิโฟ แต่แคร์ริกยังคงอยู่กับเวสต์แฮม ในฤดูกาลแรกที่ลงไปเล่นในดิวิชัน 1 ซึ่งพวกเขาพลาดการได้เลื่อนชั้นกลับคืนสู่พรีเมียร์ชิปไปเพียงนิดเดียวในนัดชิงชนะเลิศของการเพลย์ออฟ แต่แคร์ริกต้องการกลับไปเล่นในพรีเมียร์ชิพจึงย้ายไปร่วมทีมทอตนัมฮอตสเปอร์ในปี ค.ศ. 2004 ด้วยค่าตัว 2.75 ล้านปอนด์

นับตั้งแต่นั้น แคร์ริกก็ฉายแววโดดเด่นอย่างชัดเจน ทักษะการจ่ายบอลและไหวพริบในการเล่นของเขาทำให้เขาเป็นกองกลางที่มีคุณค่ายิ่ง ภายใต้การฝึกสอนของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และสตาฟโค้ชทีมชุดใหญ่ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด พรสวรรค์ของเขาสามารถพัฒนาต่อไปได้อีก

แคร์ริกลงเล่นในทีมชาติอังกฤษชุดอายุต่ำกว่า 21 ปีไป 14 ครั้ง และได้รับโอกาสติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2001 ด้วยวัย 19 ปีโดยเป็นตัวสำรองในช่วงพักครึ่งในเกมที่ชนะทีมชาติเม็กซิโก 4-0 ที่สนามไพรด์พาร์กของดาร์บีเคาน์ตี เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติอังกฤษชุดฟุตบอลโลก 2006 และแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถลงเล่นในระดับสูงสุดได้ด้วยการเล่นอย่างใจเย็นในเกมที่ชนะทีมชาติเอกวาดอร์ ซึ่งเขาได้รับหน้าที่เป็นตัวคุมจังหวะเกม

ที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เขาได้สืบทอดเสื้อหมายเลข 16 ต่อจากรอย คีน เขามีรูปแบบการเล่นที่แตกต่างไปจากอดีตกัปตันทีมปีศาจแดง แต่ความคล่องตัว การจ่ายบอล และความสามารถในการครองบอลทำให้เขาเป็นนักเตะคนสำคัญคนหนึ่งในแผงกองกลางของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

อาชีพผู้ฝึกสอน

หลังจากเลิกเป็นนักเตะ แคร์ริกกลายเป็นหนึ่งในทีมผู้ฝึกสอนของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ร่วมกับ คีแรน แม็กเคนนา ภายใต้การคุมทีมของโชเซ มูรีนโย เขาทำงานร่วมกับมูรีนโยจนถึง 18 ธันวาคม 2018 หลังจากมูรีนโยโดนสโมสรปลดจากตำแหน่งผู้จัดการทีม ต่อมาเขาได้มาร่วมงานกับอูเลอ กึนนาร์ ซูลชาร์ ตั้งแต่ในช่วงที่เหลือของฤดูกาล 2018/19 และตลอดทั้งฤดูกาล 2019/20 และ 2020/21 จนกระทั่งทางสโมสรได้แถลงว่า ซูลชาร์ ได้สิ้นสุดบทบาทการเป็นผู้จัดการทีม เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 2021[3] และเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2021 แคร์ริกได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมรักษาการ[4] โดยเขาเริ่มงานในการคุมทีมในการแข่งยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2021–22 รอบแบ่งกลุ่มพบกับ บิยาร์เรอัล ซึ่งแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นฝ่ายชนะไปด้วยประตูจาก คริสเตียโน โรนัลโด และ เจดอน แซนโช ทำให้ทีมผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ[5] ตามด้วยเสมอกับเชลซี 1-1 ในฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2021 และชัยชนะเหนืออาร์เซนอล 3-2 ในการคุมทีมเป็นนัดสุดท้ายเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2021 ในการคุมทีมของแคร์ริกนั้นนำทีมชนะ 2 นัดและเสมออีก 1 นัดจาก 3 นัดที่ได้คุมทีม[6]

มิดเดิลส์เบรอ

วันที่ 24 ตุลาคม 2022 ไมเคิล แคร์ริก ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนของมิดเดิลส์เบรอ ในอีเอฟแอลแชมเปียนชิป[7] มิดเดิลส์เบรออยู่ในอันดับที่ 21 ในช่วงเวลาที่เขาได้รับการแต่งตั้ง เก็บได้เพียง 17 คะแนนจาก 16 นัดที่ลงเล่น เหนือกว่าโซนตกชั้นเพียง 1 คะแนน[8][9]

แคร์ริกเซ็นสัญญาฉบับใหม่ 3 ปีกับสโมสรเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2024[10]

ชีวิตส่วนตัว

ไมเคิล แคร์ริก เกิดที่เมืองวอลล์เซนด์ (Wallsend) และมีพี่ชายหนึ่งคน ปัจจุบันแคร์ริกได้แต่งงานกับลีซา รัฟเฮด (Lisa Roughead) ในวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ. 2007 และมีลูก 2 คน โดยลูกสาวคนโตชื่อลูอีส (Louise) และลูกชายชื่อเจซีย์ (Jacey)

แม้จะเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แต่แคร์ริกมีทีมที่ชื่นชอบเป็นการส่วนตัวคือนิวคาสเซิลยูไนเต็ด[11]

เกียรติประวัติ

สโมสร

เวสต์แฮมยูไนเต็ด
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

รางวัลส่วนตัว

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 Hugman, Barry J. (2005). The PFA Premier & Football League Players' Records 1946–2005. Queen Anne Press. p. 109. ISBN 1-85291-665-6.
  2. "Michael Carrick". Manchester United F.C. สืบค้นเมื่อ 23 December 2014.
  3. "Carrick interview: The players need to express themselves". www.manutd.com.
  4. "Club statement". www.manutd.com.
  5. "Villareal 0–2 Manchester United: Cristiano Ronaldo and Jadon Sancho goals seal last-16 spot". BBC Sport. 23 November 2021. สืบค้นเมื่อ 25 November 2021.
  6. คาร์ริคประกาศอำลาปีศาจแดง หลังคุมทัพชั่วคราวไร้พ่าย 3 นัดติด
  7. "Michael Carrick appointed Boro head coach". www.mfc.co.uk. 24 October 2022. สืบค้นเมื่อ 24 October 2022.
  8. Johns, Craig (8 February 2023). "Inside Michael Carrick's incredible Middlesbrough turnaround as he reaches 15 games in charge". Teesside Gazette. สืบค้นเมื่อ 28 February 2023.
  9. Craig, Johns (27 October 2022). "First impressions of Michael Carrick, approach he'll take and Middlesbrough expectations". Teesside Gazette Live. สืบค้นเมื่อ 28 February 2023.
  10. "Michael Carrick Signs New Boro Contract". www.mfc.co.uk. 3 June 2024. สืบค้นเมื่อ 3 June 2024.
  11. หน้า 83, Zoo Sport. นิตยสาร Zoo Weekly ฉบับ Thai Edition: 10 February 2014
Kembali kehalaman sebelumnya