Share to:

 

จิมมี เมอร์ฟี

จิมมี เมอร์ฟี
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม เจมส์ แพทริก เมอร์ฟี
วันเกิด 8 สิงหาคม พ.ศ. 2453
สถานที่เกิด เพนเทอร์, รอนดา, เวลส์
วันเสียชีวิต 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 (79 ปี)
สถานที่เสียชีวิต แมนเชสเตอร์, ประเทศอังกฤษ
ตำแหน่ง ปีก
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
1928–1939 เวสต์บรอมมิชอัลเบียน 204 (0)
1939 สวินดอนทาวน์ 4 (0)
ทีมชาติ
1933–1938 เวลส์ 15 (0)
จัดการทีม
1956–1964 เวลส์
1958 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (ชั่วคราว)
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น

เจมส์ แพทริก "จิมมี" เมอร์ฟี (อังกฤษ: James Patrick "Jimmy" Murphy; 8 สิงหาคม พ.ศ. 245314 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532) เป็นนักฟุตบอลและผู้จัดการทีมชาวเวลส์ ผู้ที่เคยเล่นให้กับเวสต์บรอมมิชอัลเบียน และทีมชาติเวลส์

เมอร์ฟีมีชื่อเสียงจากการที่เขาเข้มแข็งและเป็นตัวอย่างที่ดีต่อผู้เล่นแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในช่วง 1946 จนกระทั่งถึงคริสต์ทศวรรษที่ 1970 ซึ่งเขาเป็นทั้งผู้ช่วยผู้จัดการทีม หัวหน้าผู้ฝึกสอน ผู้จัดการทีมสำรอง และแมวมองเต็มเวลา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบความโดดเด่นและชอบทำงานอยู่เบื้องหลังเงียบ ๆ ก็ตาม

การเล่นอาชีพ

เมอร์ฟีเกิดในเมือง Ton Pentre จังหวัดกลามอร์แกน และเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำหมู่บ้านชื่อโรงเรียน Ton Pentre ตอนเด็กเขาเล่นออร์แกนในโบสถ์ ในวัยเด็ก เขาเล่นฟุตบอลให้กับสโมสร Ton Pentre Boys, Treorchy Thursday FC, Treorchy Juniors และ Mid-Rhondda Boys และในปี 1924 เขาได้เป็นตัวแทนของเวลส์ในการแข่งขันฟุตบอลระดับนักเรียนกับทีมชาติอังกฤษที่เมืองคาร์ดิฟฟ์ เขาผันตัวเป็นนักฟุตบอลอาชีพในเดือนกุมภาพันธ์ 1928 เมื่อเขาร่วมทีมเวสต์บรอมมิชอัลเบียน ขณะอายุได้ 17 ปี[1]

เมอร์ฟีลงประเดิมสนามนัดแรกในเกมเยือนที่พ่ายแบล็กพูล 1–0 เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 1930 และลงเล่นเกมลีกอีกหนึ่งเกมในฤดูกาลแรกของเขา ในฤดูกาลถัดมา คือฤดูกาล 1930–31 เวสต์บรอมมิชอัลเบียนคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ และเลื่อนชั้นจาก ดิวิชัน 2 แต่เมอร์ฟียังไม่สามารถสร้างชื่อให้ตัวเองในทีมได้ และได้ลงสนามเพียงแค่ 2 นัดเท่านั้น เขากลายเป็นผู้เล่นตัวจริงของฝั่งเวสต์บรอมมิชเมื่อสโมสรกลับสู่ดิวิชัน 1 ระหว่างฤดูกาล 1931–32 ถึง 1934–35 เขาได้ลงเล่น 149 นัดทั้งในลีกและบอลถ้วย ช่วยให้ทีมจบในสิบอันดับแรกได้สี่ครั้งติดต่อกัน รวมถึงอันดับที่สี่ในฤดูกาล 1932–33 ฤดูกาล 1934–35 เมอร์ฟีพลาดการแข่งขันเพียงนัดเดียวตลอดทั้งฤดูกาล และเขาช่วยให้เวสต์บรอมมิชเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพในปี 1935 ซึ่งพวกเขาแพ้ให้กับเชฟฟีลด์เวนส์เดย์ 4–2[2]

เมอร์ฟี่ลงเล่นให้กับเวสต์บรอมมิชมากกว่า 200 นัด ก่อนที่จะย้ายไปสวินดันทาวน์ ในปี 1939 แต่ สงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้ช่วงเวลาของเขากับสวินดันสิ้นสุดลงแทบจะทันทีที่เริ่มต้นขึ้น เมอร์ฟียังถูกเรียกตัวติดทีมชาติเวลส์ ในช่วงทศวรรษ 1930 โดยลงเล่นไป 15 นัด

อาชีพผู้จัดการทีม

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมอร์ฟีได้กล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับฟุตบอลต่อกองทหาร โดยมีแมตต์ บัสบี เข้าร่วมฟังด้วย บัสบีประทับใจกับสุนทรพจน์ของเมอร์ฟีอย่างมาก จนเมื่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เขาก็เลือกเมอร์ฟีให้เป็นการเซ็นสัญญาแรกในช่วงที่เขาอยู่กับสโมสร เมอร์ฟี่ดำรงตำแหน่งเป็น “หัวหน้าโค้ช” ตั้งแต่ปี 1946 จนถึง 1955 และกลายมาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมในปี 1955 หลังจากที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คว้าแชมป์เอฟเอยูธคัพ เป็นสมัยที่สามติดต่อกัน เป็นความรับผิดชอบของเมอร์ฟีในสโมสรที่จะฝึกซ้อมนักฟุตบอลดาวรุ่งที่จะกลายมาเป็น " บัสบีเบบส์ " ซึ่งรวมถึงดังคัน เอดเวิดส์ และบ็อบบี ชาร์ลตัน ก่อนหน้านี้ ทีมใหญ่ ๆ มักจะซื้อผู้เล่นมาแทนที่จะพัฒนาผู้เล่น แต่บัสบีกลับตัดสินใจที่จะค่อย ๆ แทนที่ผู้เล่นที่มีอายุมากกว่าและมีประสบการณ์มากกว่าในทีมด้วยผู้เล่นเยาวชนแทน

หลังจากเหตุการณ์ภัยพิบัติทางอากาศมิวนิก เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1958 เขาได้เข้ามารับหน้าที่ผู้จัดการทีมชั่วคราวในขณะที่แมตต์ บัสบีกำลังฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ และหลังจากรวบรวมทีมสำรองขึ้นมาแล้ว เขาก็พาแมนฯ ยูไนเต็ดเข้าสู่ รอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพในปี 1958 เมอร์ฟี่ไม่ได้อยู่บนเที่ยวบินที่เกิดเหตุ เนื่องจากเขาไปคุมทีมชาติเวลส์ในเกมคัดเลือกฟุตบอลโลก เมอร์ฟี่ทำหน้าที่คุมทีมชาติเวลส์ในฟุตบอลโลกปี 1958 ที่ประเทศสวีเดน เมื่อพวกเขาเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ พวกเขาแพ้ 0–1 ให้กับแชมป์ในทัวร์นาเมนต์นั้นอย่างบราซิลจากประตูชัยของเปเล่[3]

แม้ว่าจะได้รับการทาบทามให้ไปคุมทีมชาติบราซิล ยูเวนตุส และอาร์เซนอล แต่เขาก็ยังคงทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมที่โอลด์แทรฟฟอร์ด จนถึงปี 1971 หลังจากที่เซอร์แมตต์ บัสบี วางมืออย่างเป็นการถาวร เมอร์ฟีเลือกที่จะไม่ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมเพราะเขาเกลียดชื่อเสียง เขาชอบทำงานเบื้องหลังไม่เคยใฝ่ฝันที่จะได้ทำหน้าที่ผู้จัดการทีม[4]

ตั้งแต่ปี 1973 เมอร์ฟีได้ทำหน้าที่แมวมองให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด โดยโด่งดังที่สุดในช่วงที่ ทอมมี โดเชอร์ตี ดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีม เมื่อเมอร์ฟีกระตุ้นให้โดเชอร์ตีเซ็นสัญญากับปีกอย่างสตีฟ คอปเปลล์ และกอร์ดอน ฮิลล์[5][6]

เมอร์ฟีเสียชีวิตกะทันหันจากหลอดเลือดใหญ่แตกเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 1989 ขณะมีอายุได้ 79 ปี เพื่อเป็นเกียรติแก่เมอร์ฟี่ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้มอบหมายให้มอบรางวัล “Jimmy Murphy Young Player of the Year Award” ให้กับผู้เล่นที่ดีที่สุดในระบบเยาวชนของสโมสรในฤดูกาลก่อน รางวัลนี้ได้มอบเป็นครั้งแรกในช่วงฤดูร้อนหลังจากการเสียชีวิตของเมอร์ฟี โดยที่ลี มาร์ตินเป็นผู้ได้รับรางวัลเป็นคนแรก[7]

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2009 มีการวางแผ่นป้ายสีน้ำเงินไว้ที่บ้านหลังเก่าของเขาในถนน Treharne เมือง Pentre[8]

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2021 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้ประกาศแผนการที่จะสร้างอนุสรณ์เพื่อเป็นเกียรติแก่เมอร์ฟี่ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด[9] เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2023 มีการเปิดตัวรูปปั้นของเมอร์ฟีหลังสเตรตฟอร์ดเอนด์ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด[10]

ตัวละครของเขารับบทโดย ฟิลิป มาด็อค ในภาพยนตร์เรื่อง Best ปี 2000 และโดย เดวิด เทนนันต์ ในภาพยนตร์เรื่อง United ของช่องบีบีซีทู ปี 2011 ซึ่งมีเนื้อเรื่องหลักเกี่ยวกับเรื่องราวของบัสบี้เบบส์และภัยพิบัติทางอากาศที่มิวนิก[11]

อ้างอิง

  1. Matthews, Tony (2005). The Who's Who of West Bromwich Albion. Breedon Books. p. 160. ISBN 1-85983-474-4.
  2. Matthews, Tony (2007). West Bromwich Albion: The Complete Record. Breedon Books. pp. 248–267. ISBN 978-1-85983-565-4.
  3. Westall, Rob. "World Cup 2014: Pele broke Welsh hearts in 1958 - Cliff Jones". bbc.co.uk. สืบค้นเมื่อ 26 March 2022.
  4. "Football coach great Jimmy Murphy is honoured with plaque". Wales Online – Darren Devine. 2009. สืบค้นเมื่อ 1 May 2014.
  5. "Tommy Docherty interview". The Independent – Ian Herbert. 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 June 2022. สืบค้นเมื่อ 24 November 2014.
  6. "EXCLUSIVE: Docherty "Jimmy Murphy is still so underrated". Retro United. 2014. สืบค้นเมื่อ 25 November 2014.
  7. Marshall, Adam. "UNITED'S YOUNG PLAYER OF THE YEAR WINNERS". manutd.com. สืบค้นเมื่อ 26 March 2022.
  8. Williams, Kathryn (2 April 2009). "Blue plaque honour for Man Utd legend". Wales Online. Media Wales. สืบค้นเมื่อ 30 April 2014.
  9. "Jimmy Murphy: Manchester United statue plan for club 'icon'". BBC. 5 June 2021. สืบค้นเมื่อ 5 June 2021.
  10. "Jimmy Murphy: Statue of man who rebuilt Manchester United unveiled". BBC News. 3 May 2023. สืบค้นเมื่อ 4 May 2023.
  11. "David Tennant leads cast in epic new BBC Two film, United". BBC Press Office. BBC. 12 November 2010. สืบค้นเมื่อ 30 April 2014.


Kembali kehalaman sebelumnya