จิมมี เมอร์ฟี
เจมส์ แพทริก "จิมมี" เมอร์ฟี (อังกฤษ: James Patrick "Jimmy" Murphy; 8 สิงหาคม พ.ศ. 2453 – 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532) เป็นนักฟุตบอลและผู้จัดการทีมชาวเวลส์ ผู้ที่เคยเล่นให้กับเวสต์บรอมมิชอัลเบียน และทีมชาติเวลส์ เมอร์ฟีมีชื่อเสียงจากการที่เขาเข้มแข็งและเป็นตัวอย่างที่ดีต่อผู้เล่นแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในช่วง 1946 จนกระทั่งถึงคริสต์ทศวรรษที่ 1970 ซึ่งเขาเป็นทั้งผู้ช่วยผู้จัดการทีม หัวหน้าผู้ฝึกสอน ผู้จัดการทีมสำรอง และแมวมองเต็มเวลา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบความโดดเด่นและชอบทำงานอยู่เบื้องหลังเงียบ ๆ ก็ตาม การเล่นอาชีพเมอร์ฟีเกิดในเมือง Ton Pentre จังหวัดกลามอร์แกน และเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำหมู่บ้านชื่อโรงเรียน Ton Pentre ตอนเด็กเขาเล่นออร์แกนในโบสถ์ ในวัยเด็ก เขาเล่นฟุตบอลให้กับสโมสร Ton Pentre Boys, Treorchy Thursday FC, Treorchy Juniors และ Mid-Rhondda Boys และในปี 1924 เขาได้เป็นตัวแทนของเวลส์ในการแข่งขันฟุตบอลระดับนักเรียนกับทีมชาติอังกฤษที่เมืองคาร์ดิฟฟ์ เขาผันตัวเป็นนักฟุตบอลอาชีพในเดือนกุมภาพันธ์ 1928 เมื่อเขาร่วมทีมเวสต์บรอมมิชอัลเบียน ขณะอายุได้ 17 ปี[1] เมอร์ฟีลงประเดิมสนามนัดแรกในเกมเยือนที่พ่ายแบล็กพูล 1–0 เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 1930 และลงเล่นเกมลีกอีกหนึ่งเกมในฤดูกาลแรกของเขา ในฤดูกาลถัดมา คือฤดูกาล 1930–31 เวสต์บรอมมิชอัลเบียนคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ และเลื่อนชั้นจาก ดิวิชัน 2 แต่เมอร์ฟียังไม่สามารถสร้างชื่อให้ตัวเองในทีมได้ และได้ลงสนามเพียงแค่ 2 นัดเท่านั้น เขากลายเป็นผู้เล่นตัวจริงของฝั่งเวสต์บรอมมิชเมื่อสโมสรกลับสู่ดิวิชัน 1 ระหว่างฤดูกาล 1931–32 ถึง 1934–35 เขาได้ลงเล่น 149 นัดทั้งในลีกและบอลถ้วย ช่วยให้ทีมจบในสิบอันดับแรกได้สี่ครั้งติดต่อกัน รวมถึงอันดับที่สี่ในฤดูกาล 1932–33 ฤดูกาล 1934–35 เมอร์ฟีพลาดการแข่งขันเพียงนัดเดียวตลอดทั้งฤดูกาล และเขาช่วยให้เวสต์บรอมมิชเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพในปี 1935 ซึ่งพวกเขาแพ้ให้กับเชฟฟีลด์เวนส์เดย์ 4–2[2] เมอร์ฟี่ลงเล่นให้กับเวสต์บรอมมิชมากกว่า 200 นัด ก่อนที่จะย้ายไปสวินดันทาวน์ ในปี 1939 แต่ สงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้ช่วงเวลาของเขากับสวินดันสิ้นสุดลงแทบจะทันทีที่เริ่มต้นขึ้น เมอร์ฟียังถูกเรียกตัวติดทีมชาติเวลส์ ในช่วงทศวรรษ 1930 โดยลงเล่นไป 15 นัด อาชีพผู้จัดการทีมในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมอร์ฟีได้กล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับฟุตบอลต่อกองทหาร โดยมีแมตต์ บัสบี เข้าร่วมฟังด้วย บัสบีประทับใจกับสุนทรพจน์ของเมอร์ฟีอย่างมาก จนเมื่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เขาก็เลือกเมอร์ฟีให้เป็นการเซ็นสัญญาแรกในช่วงที่เขาอยู่กับสโมสร เมอร์ฟี่ดำรงตำแหน่งเป็น “หัวหน้าโค้ช” ตั้งแต่ปี 1946 จนถึง 1955 และกลายมาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมในปี 1955 หลังจากที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คว้าแชมป์เอฟเอยูธคัพ เป็นสมัยที่สามติดต่อกัน เป็นความรับผิดชอบของเมอร์ฟีในสโมสรที่จะฝึกซ้อมนักฟุตบอลดาวรุ่งที่จะกลายมาเป็น " บัสบีเบบส์ " ซึ่งรวมถึงดังคัน เอดเวิดส์ และบ็อบบี ชาร์ลตัน ก่อนหน้านี้ ทีมใหญ่ ๆ มักจะซื้อผู้เล่นมาแทนที่จะพัฒนาผู้เล่น แต่บัสบีกลับตัดสินใจที่จะค่อย ๆ แทนที่ผู้เล่นที่มีอายุมากกว่าและมีประสบการณ์มากกว่าในทีมด้วยผู้เล่นเยาวชนแทน หลังจากเหตุการณ์ภัยพิบัติทางอากาศมิวนิก เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1958 เขาได้เข้ามารับหน้าที่ผู้จัดการทีมชั่วคราวในขณะที่แมตต์ บัสบีกำลังฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ และหลังจากรวบรวมทีมสำรองขึ้นมาแล้ว เขาก็พาแมนฯ ยูไนเต็ดเข้าสู่ รอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพในปี 1958 เมอร์ฟี่ไม่ได้อยู่บนเที่ยวบินที่เกิดเหตุ เนื่องจากเขาไปคุมทีมชาติเวลส์ในเกมคัดเลือกฟุตบอลโลก เมอร์ฟี่ทำหน้าที่คุมทีมชาติเวลส์ในฟุตบอลโลกปี 1958 ที่ประเทศสวีเดน เมื่อพวกเขาเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ พวกเขาแพ้ 0–1 ให้กับแชมป์ในทัวร์นาเมนต์นั้นอย่างบราซิลจากประตูชัยของเปเล่[3] แม้ว่าจะได้รับการทาบทามให้ไปคุมทีมชาติบราซิล ยูเวนตุส และอาร์เซนอล แต่เขาก็ยังคงทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมที่โอลด์แทรฟฟอร์ด จนถึงปี 1971 หลังจากที่เซอร์แมตต์ บัสบี วางมืออย่างเป็นการถาวร เมอร์ฟีเลือกที่จะไม่ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมเพราะเขาเกลียดชื่อเสียง เขาชอบทำงานเบื้องหลังไม่เคยใฝ่ฝันที่จะได้ทำหน้าที่ผู้จัดการทีม[4] ตั้งแต่ปี 1973 เมอร์ฟีได้ทำหน้าที่แมวมองให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด โดยโด่งดังที่สุดในช่วงที่ ทอมมี โดเชอร์ตี ดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีม เมื่อเมอร์ฟีกระตุ้นให้โดเชอร์ตีเซ็นสัญญากับปีกอย่างสตีฟ คอปเปลล์ และกอร์ดอน ฮิลล์[5][6] เมอร์ฟีเสียชีวิตกะทันหันจากหลอดเลือดใหญ่แตกเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 1989 ขณะมีอายุได้ 79 ปี เพื่อเป็นเกียรติแก่เมอร์ฟี่ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้มอบหมายให้มอบรางวัล “Jimmy Murphy Young Player of the Year Award” ให้กับผู้เล่นที่ดีที่สุดในระบบเยาวชนของสโมสรในฤดูกาลก่อน รางวัลนี้ได้มอบเป็นครั้งแรกในช่วงฤดูร้อนหลังจากการเสียชีวิตของเมอร์ฟี โดยที่ลี มาร์ตินเป็นผู้ได้รับรางวัลเป็นคนแรก[7] เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2009 มีการวางแผ่นป้ายสีน้ำเงินไว้ที่บ้านหลังเก่าของเขาในถนน Treharne เมือง Pentre[8] เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2021 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้ประกาศแผนการที่จะสร้างอนุสรณ์เพื่อเป็นเกียรติแก่เมอร์ฟี่ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด[9] เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2023 มีการเปิดตัวรูปปั้นของเมอร์ฟีหลังสเตรตฟอร์ดเอนด์ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด[10] ตัวละครของเขารับบทโดย ฟิลิป มาด็อค ในภาพยนตร์เรื่อง Best ปี 2000 และโดย เดวิด เทนนันต์ ในภาพยนตร์เรื่อง United ของช่องบีบีซีทู ปี 2011 ซึ่งมีเนื้อเรื่องหลักเกี่ยวกับเรื่องราวของบัสบี้เบบส์และภัยพิบัติทางอากาศที่มิวนิก[11] อ้างอิง
|