เดวิด มอยส์
เดวิด วิลเลียม มอยส์ (อังกฤษ: David William Moyes; เกิด 25 เมษายน ค.ศ. 1963) เป็นอดีตนักฟุตบอลและผู้จัดการทีมชาวสกอตแลนด์ เขายังเคยเป็นผู้จัดการทีมให้แก่หลายสโมสรในอังกฤษ ได้แก่ เพรสตันนอร์ทเอนด์, เอฟเวอร์ตัน, แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, ซันเดอร์แลนด์ และ เวสต์แฮมยูไนเต็ด และยังเคยเป็นผู้จัดการทีมเรอัลโซซิเอดัด ในลาลิกา ประเทศสเปน มอยส์ได้รับรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมของสมาคมผู้จัดการทีมแห่งลีกอังกฤษ (LMA Manager of the Year) 3 สมัยใน ค.ศ. 2003, 2005 และ 2009 และยังมีสถานะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการฝ่ายบริหารของสมาคมดังกล่าวในปัจจุบัน มอยส์ลงเล่นในฐานะนักฟุตบอลอาชีพกว่า 540 นัดในตำแหน่งกองหลังตัวกลาง โดยเริ่มต้นอาชีพกับสโมสรเซลติกในสกอตแลนด์ซึ่งเขาชนะเลิศการแข่งขันสกอตติชพรีเมียร์ชิปในฤดูกาล 1981–82 ก่อนจะย้ายไปเล่นกับอีกหลายสโมสร ได้แก่ เคมบริดจ์ ยูไนเต็ด, บริสตอลซิตี, ชรูว์สบรีทาวน์, ดันเฟิร์มลิน แอธเลติก และเล่นให้กับเพรสตันนอร์ทเอนด์เป็นสโมสรสุดท้าย และผันตัวมาเป็นผู้ฝึกสอนให้แก่สโมสร พาทีมชนะเลิศสกายเบ็ตลีกทูฤดูกาล 1999–2000 และเข้ารอบชิงชนะเลิศเพลย์ออฟของอีเอฟแอลลีกวันในฤดูกาลถัดมา อาชีพผู้จัดการทีมของมอยส์เริ่มเป็นที่จับตามองมากขึ้น เมื่อเขาเข้ารับตำแหน่งต่อจาก วอลเตอร์ สมิธ ผู้จัดการทีมเอฟเวอร์ตันในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2002 พาทีมจบในอันดับ 4 ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2004–05 ซึ่งเป็นอันดับที่ดีที่สุดของสโมสรนับตั้งแต่ ค.ศ. 1988 ทำให้ได้สิทธิ์แข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบคัดเลือกในฤดูกาลต่อมาซึ่งเป็นการเข้าร่วมครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1970–71 ก่อนจะพาทีมเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพฤดูกาล 2008–09[2] ซึ่งเป็นผลงานที่ดีที่สุดนับตั้งแต่สโมสรชนะเลิศรายการดังกล่าวใน ค.ศ. 1995 มอยส์มักจะพาเอฟเวอร์ตันรักษาอันดับต้น ๆ ในลีกได้อย่างมั่นคง โดยมักจะจบในอันดับ 5 ถึงอันดับ 8 เตลอดระยะเวลา 11 ฤดูกาลที่เขาอยู่กับทีม[3] และในช่วงที่เขาลาออกจากสโมสร เขาถือเป็นผู้จัดการทีมที่คุมทีมในพรีเมียร์ลีกยาวนานที่สุดเป็นอันดับสามต่อจาก อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ อาร์แซน แวงแกร์[4] มอยส์เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดต่อจาก อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2013 แต่ถูกปลดในเดือนมีนาคมปีถัดมาจากผลงานอันย่ำแย่ซึ่งยูไนเต็ดตกไปอยู่อันดับ 7 ของตาราง และหมดสิทธิ์ทำอันดับแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก[5] ต่อมา มอยส์ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีม เรอัลโซซิเอดัดใน ค.ศ. 2014 แต่ก็ถูกปลดในหนึ่งปีหลังจากนั้น[6] ต่อมาในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2016 เขาเข้ารับตำแหน่งต่อจาก แซม อัลลาร์ไดซ์ เพื่อคุมทีมซันเดอร์แลนด์ ก่อนจะลาออกเมื่อจบฤดูกาล 2016–17[7] เนื่องจากสโมสรตกชั้นสู่อีเอฟแอลแชมเปียนชิป และได้รับตำแหน่งผู้จัดการทีมเวสต์แฮมยูไนเต็ดในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2017 พาทีมรอดพ้นการตกชั้นขึ้นมาจบอันดับ 13 แต่ไม่ได้รับการต่อสัญญาเมื่อจบฤดูกาล อย่างไรก็ตาม มอยส์ได้กลับมารับตำแหน่งอีกครั้งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2019 แทนที่มานูเอล เปเลกรินิ[8] ในการคุมในครั้งที่สองนี้ มอยส์พาทีมจบใน 7 อันดับแรกได้สองฤดูกาลติดต่อกัน และพาทีมชนะเลิศยูฟ่ายูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก ฤดูกาล 2022–23 ซึ่งเป็นถ้วยรางวัลแรกของสโมสรในรอบกว่า 43 ปี มอยส์อำลาทีมเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2023–24 การจัดการทีมเปรสตันนอร์ธเอนด์ และเอฟเวอร์ตันมอยส์เคยเป็นทั้งผู้จัดการทีม และผู้เล่นของเปรสตันนอร์ธเอนด์ ในฤดูกาล 1998-99 ก่อนจะประกาศยุติการเล่นฟุตบอล เมื่อจบฤดูกาลดังกล่าว และพาทีมชนะเลิศการแข่งขันลีกทูได้ในฤดูกาล 1999–2000 และเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเพลย์ออฟของอีเอฟแอลลีกวันได้ในฤดูกาลถัดมา มอยส์มีชื่อเสียงเมื่อเป็นผู้จัดการทีมเอฟเวอร์ตัน เป็นระยะเวลานานถึง 11 ปี มีผลงานโดดเด่นที่สุดคือการพาทีมเข้าไปเล่นรอบตัดเลือกยูฟ่าแชมเปียส์ลีก และเข้ารอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพได้หนึ่งครั้ง รวมถึงพาทีมจบในอันดับกลางตารางได้อย่างต่อเนื่อง มอยส์เป็นผู้จัดการทีมที่ขึ้นชื่อในด้านการวางระบบทีมและการสร้างรากฐานสโมสรในระยะยาว แม้จะไม่ประสบความสำเร็จมากมายในแง่ของจำนวนถ้วยรางวัล แต่เขามีส่วนสำคัญในการพัฒนาศักยภาพนักเตะในทีมโดยเฉพาะผู้เล่นเยาวชน[9] เขาลาออกมาเป็นผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2013 โดยเข้าแทนที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งประกาศยุติการทำหน้าที่เมื่อจบฤดูกาล 2012-13 ในวันพุธที่ 8 พฤษภาคม ปีเดียวกัน หลังจากเป็นผู้จัดการทีมมานานถึง 26 ปีครึ่ง ทั้งนี้ มอยส์ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 3 ของผู้จัดการทีมชาวสกอตซึ่งทำผลงานได้ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ รองจากเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และเคนนี แดลกลีช แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดแม้จะเริ่มต้นได้ดีด้วยการชนะเลิศเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ด้วยการชนะวีแกนแอทเลติก 2–0 ทว่าหลังจากนั้น แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดภายใต้การคุมทีมของมอยส์กลับทำผลงานได้ย่ำแย่ โดยเปิดฤดูกาลมา 6 นัดแรก แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเก็บคะแนนไปได้เพียง 7 คะแนน และอันดับตกไปอยู่ที่ 12 เป็นสถิติที่แย่ที่สุดในรอบ 24 ปีของสโมสร[10] โดยจากข้อมูลทางสถิติระบุว่า ในช่วงเวลาที่มอยส์คุมทีมเพียงครึ่งฤดูกาล เขาเสียคะแนนไปมากกว่าส่วนที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเคยเสียจากทั้งฤดูกาล[11] รวมถึงการบุกไปแพ้สองคู่ปรับสำคัญอย่างลิเวอร์พูล 0–1 และแพ้แมนเชสเตอร์ซิตีอย่างยับเยิน 1–4 รวมถึงการแพ้ในบ้านต่อเวสต์บรอมมิชอัลเบียน 1–2 ซึ่งเป็นการแพ้คาบ้านต่อเวสต์บรอมมิชเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1978[12] มอยส์เซ็นสัญญากับอดีตลูกทีมที่เอฟเวอร์ตัน ได้แก่ มารวน แฟลายนี ในวันสุดท้ายของตลาดซื้อขายในเดือนกันยายนด้วยราคา 27.5 ล้านปอนด์[13] ผลงานของยูไนเต็ดยังคงย่ำแย่ต่อเนื่อง ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2013 มอยส์พาทีมแพ้คาบ้านสองนัดรวดต่อเอฟเวอร์ตันและนิวคาสเซิล ซึ่งเป็นการแพ้ในบ้านต่อเอฟเวอร์ตันเป็นครั้งแรกในรอบ 21 ปี และแพ้ในบ้านต่อนิวคาสเซิลเป็นครั้งแรกในรอบ 41 ปี[14] รวมถึงเป็นการแพ้ในบ้านสองนัดติดต่อกันครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 2001–02[15] ส่งผลให้ยูไนเต็ดตกไปอยู่อันดับ 9 ของตารางหลังจากลงเล่นไป 15 นัด ตามหลังทีมอันดับหนึ่งอย่างอาร์เซนอลถึง 13 คะแนน ตามด้วยการตกรอบเอฟเอคัพในเดือนมกราคมปีต่อมาโดยแพ้คาบ้านต่อสวอนซี 1–2 ซึ่งเป็นการแพ้คาบ้านต่อสวอนซีครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร[16] และยังตกรอบรองชนะเลิศลีกคัพจากการแพ้จุดโทษซันเดอร์แลนด์ และมีผลงานย่ำแย่อีกมากมาย เช่น การแพ้คาบ้านทั้งสองนัดต่อคู่อริลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ซิตี 0–3, การแพ้ในลีกต่อสโตกซิตีเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และยังตกรอบก่อนรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก[17]แม้จะเซ็นสัญญากับผู้เล่นฝีเท้าดีอย่าง ฆวน มาตา เข้ามาเสริมทีมเพิ่มในเดือนมกราคมด้วยค่าตัวถึง 37.1 ล้านปอนด์[18] การคุมทีมนัดสุดท้ายของมอยส์คือการแข่งขันพรีเมียร์ลีกวันที่ 20 เมษายน 2014 ซึ่งยูไนเต็ดบุกไปแพ้เอฟเวอร์ตัน 0–2 ซึ่งเป็นการแพ้เอฟเวอร์ตันทั้งเหย้า-เยือน ในลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 44 ปี[19] และในวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 2014 บอร์ดบริหารของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดลงมติปลดมอยส์ออกจากตำแหน่ง โดยยูไนเต็ดอยู่ในอันดับที่ 7 ของตาราง และไม่ผ่านเข้าไปเล่นในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 19 ปี เนื่องจากเหลือการแข่งขันอีก 4 นัดเท่านั้น มอยส์ได้ทำหน้าที่เพียงแค่ 10 เดือนเท่านั้น ถือเป็นผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่มีระยะเวลาการคุมทีมน้อยที่สุดเป็นอันดับสามตลอดกาล และน้อยที่สุดในรอบ 82 ปี แม้เขาจะได้รับการสนับสนุนจากผู้เล่นตำนานของสโมสรอย่าง เดนิส ลอว์[20] และ เดวิด เบคแคม[21] ให้ทำหน้าที่ต่อไป สโมสรได้แต่งตั้งให้ไรอัน กิกส์ ทำหน้าที่เป็นทั้งผู้จัดการทีมและผู้เล่นเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะจบฤดูกาล โดยฝ่ายบริหารสโมสรจะจ่ายค่าชดเชยอายุสัญญาที่ยังคงเหลืออีก 5 ปี เป็นเงิน 10 ล้านปอนด์ เนื่องจากมอยส์เซ็นสัญญาไว้เป็นเวลา 6 ปี[22] ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปีของสโมสร ที่บอร์ดบริหารลงมติปลดผู้จัดการทีมออกอย่างกะทันหันเช่นนี้[23] แต่เอาเข้าจริงแล้ว ทางสโมสรจะจ่ายค่าชดเชยให้เพียงแค่ 5 ล้านปอนด์เท่ากับแค่ปีเดียวเท่านั้น เนื่องจากในสัญญาระบุว่าหากทำทีมเข้าไปเล่นในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกไม่ได้จะลาออก และมีการเปิดเผยอีกว่าเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นผู้แนะนำให้ผู้บริหารทีมปลดมอยส์ออก[24] มีการวิจารณ์กันอย่างกว้างขวางว่าการแนะนำให้สโมสรแต่งตั้งมอยส์ ถือเป็นหนึ่งในความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของเฟอร์กูสัน[25] มอยส์ถูกแทนที่โดย ลูวี ฟัน คาล ในฤดูกาลต่อมา[26] เรอัลโซเซียดัดมอยส์ว่างงานนานอยู่ถึง 10 เดือน ก่อนที่ในวันที่ 10 พฤศจิกายน ปีเดียวกันนั้น จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมเรอัลโซเซียดัด ในลาลิกา ของสเปน ด้วยสัญญา 18 เดือน แทนที่ ฆาโคบาร์ อาร์ราเซเต ผู้จัดการคนเก่าที่ถูกปลดออกเนื่องจากทำผลงานได้แย่มาก โดยชนะไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น จากทั้งหมด 10 นัด[27] ซึ่งในการทำหน้าที่นัดที่ 18 มอยส์สามารถทำให้เรอัลโซเซียดัด เอาชนะทีมใหญ่อย่างบาร์เซโลนา ไปได้ 1–0[28] ซึ่งมอยส์ได้นำพาทีมให้รอดพ้นจากการตกชั้นในฤดูกาลนี้ไปได้ ด้วยจบฤดูกาลที่อันดับ 12 แต่ในต้นเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2015 ทางผู้บริหารทีมเรอัลโซเซียดัดตัดสินใจปลดเดวิด มอยส์ ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากทำผลงานได้แย่ เมื่อทีมตกไปอยู่อันดับ 16 ซึ่งเป็นท้ายตารางคะแนน มีเพียง 9 คะแนน และผลงานในระยะหลัง 5 นัดหลังสุด ชนะเพียงนัดเดียว[29] ซันเดอร์แลนด์ก่อนเปิดฤดูกาล 2016–17 มอยส์เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมซันเดอร์แลนด์ แทนที่ของแซม อัลลาร์ไดซ์ ที่ถูกสมาคมฟุตบอลอังกฤษ โยกไปคุมทีมชาติอังกฤษ[30] โดยจบฤดูกาลในอันดับที่ 20 ถูกลดชั้นลงไปเล่นใน อีเอฟแอลแชมเปียนชิป และมอยส์ได้ลาออกภายหลังสิ้นสุดฤดูกาล 1 วัน เวสต์แฮมยูไนเต็ดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2017 ทางสโมสรเวสต์แฮมยูไนเต็ดได้ประกาศตั้งเดวิด มอยส์ เป็นผู้จัดการทีมด้วยสัญญา 6 เดือน เพื่อพาเวสต์แฮมยูไนเต็ดให้พ้นจากการตกชั้นใน ฤดูกาล 2017–18[31] โดยมอยส์สามารถช่วยให้เวสต์แฮมไม่ต้องตกชั้นโดยสิ้นสุดฤดูกาลในอันดับที่ 13 อย่างไรก็ตามเมื่อจบฤดูกาลทางสโมสรก็ไม่ต่อสัญญาทำให้มอยส์ต้องพ้นจากตำแหน่งผู้จัดการทีมไป กลับมาเวสต์แฮมยูไนเต็ดอีกครั้งในวันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ. 2019 มอยส์กลับมารับตำแหน่งผู้จัดการทีมเวสต์แฮมอีกครั้งด้วยสัญญา 18 เดือน[32] เข้ารับตำแหน่งต่อจาก มานูเอล เปเลกรินิ ซึ่งทำผลงานย่ำแย่โดยสโมสรตกไปอยู่อันดับ 17 ในขณะนั้น มีแต้มเหนือโซนตกชั้นเพียงแค่คะแนนเดียว เกมแรกของมอยส์คือการพาทีมชนะเอเอฟซี บอร์นมัธ 4–0 ในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2020 และพาสโมสรรอดจากการตกชั้นได้โดยจบในอับดับ 16 เก็บไปได้ 33 คะแนน ซึ่งเป็นอันดับที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาล 2010–11 ผลงานฤดูกาลแรกของมอยส์คือการพาทีมเก็บได้ 20 คะแนนจากการคุมทีม 19 นัด[33] ต่อมาในฤดูกาล 2020–21 มอยส์พาทีมเก็บไปได้ถึง 65 คะแนนเป็นสถิติใหม่ของสโมสรในการแข่งขันฟุตบอลลีก และจบในอับดับ 6 ได้สิทธิ์แข่งขันยูฟ่ายูโรปาลีก สโมสรชนะได้ถึง 19 นัดในลีก รวมถึงชนะเกมเยือนได้ 9 นัด ซึ่งทั้งสองความสำเร็จถือเป็นสองสถิติใหม่ของสโมสรเช่นกัน[34] จากผลงานดังกล่าวทำให้กลุ่มกองเชียร์ของสโมสรได้ตั้งฉายาเขาว่า 'Moyesiah'[35] ต่อมาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2021 มอยส์ได้รับการต่อสัญญาจากสโมสรออกไปอีกสามปี[36] มอยส์คุมทีมครบ 1,000 นัดในฐานะผู้จัดการทีม ในวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 2021 ในนัดที่เวสต์แฮมบุกไปเสมอกาแอร์เซ แค็งก์ 2–2 ในยูโรปาลีก[37][38] สถิติการคุมทีม
ผลงานผู้จัดการทีม
อ้างอิง
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ เดวิด มอยส์ แหล่งข้อมูลอื่น
|