จักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 1 แห่งเยอรมนี
จักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 1 (เยอรมัน: Wilhelm I) หรือพระนามเต็มคือ วิลเฮ็ล์ม ฟรีดริช ลูทวิช แห่งโฮเอินท์ซ็อลเลิร์น (เยอรมัน: Wilhelm Friedrich Ludwig von Hohenzollern) เป็นพระมหากษัตริย์แห่งปรัสเซียและจักรพรรดิเยอรมันพระองค์แรก ภายใต้การปกครองของพระองค์ร่วมกับมุขมนตรีอ็อทโท ฟ็อน บิสมาร์ค สามารถนำพาราชอาณาจักรปรัสเซียมีชัยเหนือสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียและนำไปสู่การรวมชาติเยอรมันขึ้นเป็นจักรวรรดิเยอรมันในปีค.ศ. 1871 พระองค์กลายเป็นพระประมุของค์แรกของเยอรมันหลังการรวมชาติ จักรวรรดิเยอรมันในรัชสมัยของพระองค์ได้กลายเป็นมหาอำนาจของยุโรป มีแสนยานุภาพทางบกไม่เป็นสองรองใคร มีการพัฒนาอุตสาหกรรมและขยายโครงข่ายทางรถไฟอย่างรวดเร็วในบรรดารัฐเยอรมัน พระราชประวัติจักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 1 พระราชสมภพเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 1797 ที่วังมกุฎราชกุมารในกรุงเบอร์ลิน ราชอาณาจักรปรัสเซีย เมื่อแรกประสูติทรงพระนามว่า วิลเฮ็ล์ม ฟรีดริช ลูทวิช แห่งปรัสเซีย (Wilhelm Friedrich Ludwig von Preußen) เป็นพระราชโอรสองค์ที่สองในมกุฎราชกุมารฟรีดริช วิลเฮ็ล์ม กับเจ้าหญิงลูอีเซอแห่งมัคเลิคบวร์ค-ชเตรลิทซ์ เมื่อพระอัยกาคือพระเจ้าฟรีดริช วิลเฮ็ล์มที่ 2 เสด็จสวรรคตในค.ศ. 1797 พระราชบิดาของพระองค์ก็ได้ขึ้นครองราชสมบัติต่อเป็นพระเจ้าฟรีดริช วิลเฮ็ล์มที่ 3 ในขณะที่เจ้าชายฟรีดริช วิลเฮ็ล์ม พระเชษฐาของพระองค์ก็ได้ขึ้นเป็นมกุฎราชกุมารต่อ ในช่วงสงครามปลดแอกจากฝรั่งเศส พระองค์เข้ารับราชการทหารในกองทัพในปี ค.ศ. 1814 ขณะมีพระชนมายุ 17 พรรษา เช่นเดียวกับพระราชบิดาที่นำทัพต่อสู้ในศึกครั้งนี้ ความองอาจของพระราชบิดาเป็นที่กล่าวขวัญในหมู่ทหารและนั่นเป็นแรงบันดาลใจแก่พระองค์ ศึกครั้งนี้ทำให้พระองค์ติดภาพฝรั่งเศสในฐานะศัตรู[1] ต่อมาในปี ค.ศ. 1815 พระองค์อยู่ในกองพลของเก็พฮาร์ท ฟ็อน บลึชเชอร์ และเข้าร่วมในยุทธการที่ลิงนีกับยุทธการที่วอเตอร์ลู[1] ในปี ค.ศ. 1829 พระองค์ได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเอากุสทาแห่งซัคเซิน-ไวมาร์-ไอเซอนัค พระธิดาในคาร์ล ฟรีดริช แกรนด์ดยุกแห่งซัคเซิน-ไวมาร์-ไอเซอนัค การสมรสครั้งนั้นเป็นการสมรสทางการเมืองโดยที่ทั้งสองพระองค์ไม่ได้ยินดีมากนัก[2] ในปี ค.ศ. 1840 พระราชบิดาของพระองค์เสด็จสวรรคต ทำให้พระเชษฐาขึ้นครองราชย์ต่อเป็นพระเจ้าฟรีดริช วิลเฮ็ล์มที่ 4 และเนื่องจากพระเชษฐายังไม่มีพระราชบุตร ทำให้ตำแหน่งรัชทายาทลำดับที่หนึ่งตกเป็นของพระองค์และทรงได้พระอิสริยยศ "เจ้าชายแห่งปรัสเซีย" (Prinz von Preußen) ในช่วงการปฏิวัติเยอรมัน ค.ศ. 1848 เจ้าชายวิลเฮ็ล์มนำกำลังทหารและปืนใหญ่ปราบผู้ก่อความไม่สงบในกรุงเบอร์ลินได้อย่างราบคาบตามคำสั่งของพระเชษฐา พระองค์ตกเป็นที่รังเกียจของประชาชนและถูกตั้งฉายาให้ว่า "เจ้าชายกระสุนปืน" (Kartätschenprinz) พระองค์ปลอมตัวเป็นพ่อค้าและหลบไปประทับในอังกฤษอย่างเงียบ ๆ ราวหนึ่งปี ก่อนที่จะเสด็จกลับมาช่วยปราบความไม่สงบในบาเดินซึ่งพระองค์เป็นมีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองพลอยู่ที่นั่น หลังความไม่สงบหมดไป ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1849 พระองค์ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นข้าหลวงต่างพระองค์ประจำมณฑลไรน์ลันท์และมณฑลเว็สท์ฟาเลิน[1][2] และต่อมาในค.ศ. 1854 พระองค์ได้รับการเลื่อนยศขึ้นเป็นจอมพลและเป็นผู้ว่าการป้อมปราการไมน์[3] ใน ค.ศ. 1857 พระเชษฐาประชวรด้วยโรคหลอดเลือดสมองและไม่สามารถทรงงานได้อีกตลอดพระชนม์ ทำให้พระองค์กลายเป็นผู้สำเร็จราชการ เมื่อพระเชษฐาเสด็จสวรรคตในวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 1861 โดยไร้พระราชบุตร ทำให้พระองค์ขึ้นสืบราชสมบัติต่อเป็นพระเจ้าวิลเฮ็ล์มที่ 1 แห่งปรัสเซียขณะมีพระชนมายุ 63 พรรษา กษัตริย์แห่งปรัสเซีย2 มกราคม ค.ศ. 1861 พระองค์ขึ้นครองราชสมบัติเป็น พระเจ้าวิลเฮ็ล์มที่ 1 แห่งปรัสเซีย ต่อมาในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน พระองค์ถูกลอบทำร้ายจากนักศึกษาชาวเมืองไลพ์ซิชโดยได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย[1] พระองค์โปรดให้มีการตั้งพิธีราชาภิเษกที่นครเคอนิชส์แบร์ค เจริญรอยตามพระเจ้าฟรีดริชที่ 1 แห่งปรัสเซีย[2] โดยทรงเลือกวันที่ 18 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันที่ระลึกยุทธการที่ไลพ์ซิช เป็นวันราชาภิเษกของพระองค์ พิธีครั้งนี้ถือเป็นพิธีราชาภิเษกปรัสเซียครั้งแรกนับตั้งแต่ปีค.ศ. 1701 และถือเป็นพิธีราชาพิเษกเพียงครั้งเดียวของกษัตริย์เชื้อสายเยอรมันในคริสต์ศตวรรษที่ 19[1] หนึ่งในมรดกที่พระเชษฐาของพระองค์ทิ้งไว้ให้ คือปัญหาความขัดแย้งกับสภาที่เต็มไปด้วยนักการเมืองหัวเสรี พระองค์ดูจะวางองค์เป็นกลางทางกลางเมือง เห็นได้จากทรงแทรกแทรงฝ่ายการเมืองน้อยกว่าพระเชษฐามาก ในปี 1862 สภาได้คว่ำร่างกฎหมายเพิ่มงบประมาณทางทหารที่จำเป็นต้องใช้จ่ายแก่กองทัพปรัสเซียหลังปฏิรูปซึ่งมีกำลังพลกว่า 200,000 นาย การถูกสภาคว่ำร่างกฎหมายนี้ทำให้พระองค์ถึงกับคิดจะสละราชสมบัติ แต่มกุฎราชกุมารฟรีดริชยืนกรานคัดค้านอย่างหนักหน่วง และด้วยคำแนะนำจากรัฐมนตรีการสงครามอัลเบร็ชท์ ฟ็อน โรน พระองค์จึงแต่งตั้งอ็อทโท ฟ็อน บิสมาร์ค เป็นมุขมนตรีปรัสเซียเพื่อผลักดันข้อราชการของพระองค์[1] ซึ่งตามธรรมนูญแห่งปรัสเซียแล้ว มุขมนตรีมีหน้าที่รับผิดชอบต่อกษัตริย์โดยตรง ไม่ใช่ต่อสภา บิสมาร์คเป็นขุนนางหัวอนุรักษ์นิยมที่มีความจงรักภักดี เขารับใช้องค์กษัตริย์เสมือนบ่าวรับใช้เจ้านาย อย่างไรก็ตาม บิสมาร์คกลับกลายเป็นดั่ง "รัฐบาลหนึ่งบุรุษ" และเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อองค์กษัตริย์มาก เมื่อใดที่ขัดแย้งกับองค์กษัตริย์ บิสมาร์คมักจะขู่องค์กษัตริย์ว่าจะลาออกอยู่ร่ำไป และนั่นก็ทำให้พระองค์ต้องยอมบิสมาร์คเสมอมา[4] ระหว่างที่ทรงราชย์ พระเจ้าวิลเฮ็ล์มที่ 1 ทรงเป็นผู้บัญชาการสูงสุดแห่งกองทัพปรัสเซียในสงครามชเลสวิชครั้งที่สองกับประเทศเดนมาร์กในปีค.ศ. 1864 และสงครามออสเตรีย-ปรัสเซียในปีค.ศ. 1866 ในช่วงปลายสงครามครั้งหลังนี้ พระองค์ถึงกับคิดจะยกทัพไปกรุงเวียนนาแล้วผนวกออสเตรียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ความคิดดังกล่าวถูกคัดค้านโดยบิสมาร์คและมกุฎราชกุมารฟรีดริช[1] บิสมาร์คต้องการจบสงครามโดยเร็ว และยังต้องการรักษาไมตรีกับออสเตรียไว้เผื่อจะได้เป็นพันธมิตรกันในอนาคต บิสมาร์คขู่ว่าจะลาออกถ้าทรงยืนกรานจะยกทัพไปตีเวียนนา พระองค์จึงต้องยอมบิสมาร์ค ค.ศ. 1867 ปรัสเซียได้ตั้งสหภาพระหว่างบรรดาแคว้นเยอรมันเหนือกับเยอรมันตอนกลางที่ชื่อว่าสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือขึ้นมา โดยมีพระเจ้าวิลเฮ็ล์มที่ 1 ทรงเป็นองค์ประธานสมาพันธ์ (Bundespräsidium) เปรียบได้กับตำแหน่งประมุขแห่งรัฐโดยพฤตินัย รัฐธรรมนูญแห่งสมาพันธ์ยังกำหนดให้ทรงเป็น "จอมทัพสมาพันธ์" (Bundesfeldherr) ผู้มีอำนาจบัญชากองทัพสมาพันธ์ทั้งหมด ในปี 1870 ทรงเป็นแม่ทัพกองทัพผสมเยอรมันในยุทธการที่เซด็องในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย จักรพรรดิเยอรมันในช่วงสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย บรรดารัฐเยอรมันทางใต้เข้าร่วมกับสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือ สมาพันธ์ถูกเปลี่ยนชื่อทางการเป็นไรช์เยอรมัน (Deutsches Reich) และตำแหน่งองค์ประธานสมาพันธ์ (Bundespräsidium) ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของตำแหน่งจักรพรรดิเยอรมัน (Deutscher Kaiser) นี่เป็นข้อมติร่วมกันของสภาไรชส์ทาคและสภาบุนเดินรัท ซึ่งพระเจ้าวิลเฮ็ล์มตกลงตามข้อมตินี้ในวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 1870 รัฐธรรมนูญเยอรมันฉบับใหม่และตำแหน่งจักรพรรดิเริ่มมีผลเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1871[5] พระราชบุตรจักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 1 และพระนางเอากุสทา มีพระราชบุตรด้วยกันสองพระองค์คือ:
ฐานันดรและพระอิสริยยศ
พงศาวลีอ้างอิง
|