นาซีเยอรมนี52°31′N 13°24′E / 52.517°N 13.400°E
นาซีเยอรมนี (อังกฤษ: Nazi Germany) บ้างเรียก ไรช์ที่สาม (เยอรมัน: Drittes Reich) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ ไรช์เยอรมัน (เยอรมัน: Deutsches Reich) คือชื่อเรียกประเทศเยอรมนีระหว่างปี 1933 ถึง 1945 อาณาจักรที่สามซึ่งแสดงให้เห็นภาพของนาซีที่มีต่อนาซีเยอรมนีว่าเป็นผู้สืบทอดของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (800-1806) และจักรวรรดิเยอรมันในปี 1871-1918 ประธานาธิบดีเยอรมนี เพาล์ ฟ็อน ฮินเดินบวร์ค แต่งตั้งฮิตเลอร์เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มกราคม 1933 ทำให้พรรคนาซีเริ่มกำจัดคู่แข่งทางการเมืองและรวบอำนาจ หลังจากที่ฮินเดินบวร์คถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 1934 ฮิตเลอร์กลายเป็นผู้นำเผด็จการแห่งเยอรมนีจากการรวมอำนาจและตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดี ในวันที่ 19 สิงหาคม 1934 มีการจัดการลงประชามติทั่วประเทศเพื่อทำให้ฮิตเลอร์เป็นฟือเรอร์ (ผู้นำ) เยอรมนีแต่เพียงผู้เดียว โดยมีอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งหมดรวมอยู่ในมือ และคำสั่งของเขาถือเป็นกฎหมายที่สูงสุด รัฐบาลมิได้เป็นหน่วยงานที่ร่วมมือประสานกัน หากแต่กระจัดกระจายแก่งแย่งอำนาจและความนิยมชมชอบจากฮิตเลอร์ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ นาซีฟื้นฟูเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและยุติการว่างงานขนานใหญ่โดยทุ่มไปกับรายจ่ายทางทหารและเศรษฐกิจแบบผสม[2] มีการดำเนินการนโยบายสาธารณะอย่างกว้างขวาง รวมถึงการก่อสร้างเอาโทบาน และการคืนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจช่วยส่งเสริมความนิยมในระบอบนาซีเพิ่มพูนขึ้น การเหยียดเชื้อชาติ (อังกฤษ: racism) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การต่อต้านยิว เป็นหัวใจหลักของอุดมการณ์นาซีเยอรมนี โดยถือว่ากลุ่มชนเจอร์แมนิกเป็นเชื้อสายอารยันที่บริสุทธิ์ที่สุด ฉะนั้นจึงเป็นชนชาติปกครอง (master race) การเลือกปฏิบัติและสังหารชาวยิวและชาวโรมานี (ชื่ออื่น: ยิปซี) เริ่มต้นขึ้นหลังจากการยึดครองอำนาจ ค่ายกักกันค่ายแรกสร้างขึ้นในเดือนมีนาคมปี 1933 ชาวยิวและคนกลุ่มอื่นที่ไม่เป็นที่พึงปรารถนาถูกคุมขัง กลุ่มคอมมิวนิสต์ สังคมนิยมและเสรีนิยมต่างถูกสังหาร คุมขัง หรือต้องลี้ภัย โบสถ์ของคริสเตียนและประชาชนที่ต่อต้านการปกครองโดยฮิตเลอร์ถูกกดขี่และแกนนำหลายคนถูกคุมขัง ด้านการศึกษาจะมุ่งเน้นไปที่ชีววิทยาเชื้อชาติ นโยบายประชากร และการเสริมสมรรถภาพทางกายสำหรับราชการทหาร โอกาสในอาชีพและการศึกษาของสตรีถูกลดทอน มีการจัดนันทนาการและการท่องเที่ยวผ่านโครงการความแข็งแรงผ่านความรื่นเริง (Strength Through Joy) มีการใช้โอลิมปิกฤดูร้อน 1936 เพื่อนำเสนอนาซีเยอรมนีในเวทีระหว่างประเทศ รัฐมนตรีโฆษณาการ โยเซฟ เกิบเบิลส์ ได้ใช้ภาพยนตร์ การชุมนุมมวลชน และวาทศิลป์จับจิตของฮิตเลอร์เพื่อควบคุมมติมหาชนอย่างได้ผล[3] รัฐบาลควบคุมการแสดงออกทางศิลปะ โดยสนับสนุนศิลปะบางรูปแบบ แต่ขัดขวางหรือห้ามศิลปะรูปแบบอื่น[4] เริ่มตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1930 นาซีเยอรมนีเรียกร้องดินแดนอย่างก้าวร้าวมากขึ้นเรื่อย ๆ และขู่ทำสงครามหากข้อเรียกร้องไม่ได้รับการตอบสนอง จนในที่สุดนาซีเข้ายึดออสเตรียและพื้นที่ของเชโกสโลวาเกียเกือบทั้งหมดในปี 1938 และ 1939 หลังจากนั้นฮิตเลอร์ทำสนธิสัญญาไม่รุกรานกับโจเซฟ สตาลิน และบุกครองโปแลนด์ในวันที่ 1 กันยายน 1939 เป็นการเปิดฉากสงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรป จนกระทั่งต้นปี 1941 นาซีเยอรมนีได้ควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในยุโรป ไรชส์ค็อมมิสซารีอาทเข้าไปควบคุมพื้นที่ที่นาซีเยอรมนียึดครอง มีการจัดตั้งรัฐบาลทั่วไปในส่วนที่เหลือของโปแลนด์ ขณะเดียวกันเยอรมนีก็ได้ยึดครองทรัพยากรและแรงงานจากพื้นที่ ๆ เข้าไปครอบครอง หลังการรุกรานสหภาพโซเวียตในปี 1941 นาซีเยอรมนีก็เริ่มเป็นรอง และปราชัยทางทหารสำคัญหลายครั้งในปี 1943 การทิ้งระเบิดทางอากาศต่อประเทศเยอรมนีทวีขึ้นในปี 1944 และฝ่ายอักษะถอยจากยุโรปตะวันออกและยุโรปใต้ หลังการบุกครองฝรั่งเศสของสัมพันธมิตร ประเทศเยอรมนีถูกโซเวียตจากทิศตะวันออกและฝ่ายสัมพันธมิตรจากทิศตะวันตกพิชิตและยอมจำนนในหนึ่งปี การที่ฮิตเลอร์ปฏิเสธยอมรับความปราชัยนำให้โครงสร้างพื้นฐานของเยอรมนีถูกทำลายล้างขนานใหญ่และการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสงครามเพิ่มในเดือนท้าย ๆ ของสงคราม ฝ่ายสัมพันธมิตรผู้กำชัยเริ่มนโยบายการขจัดนาซีและนำตัวผู้นำนาซีที่เหลือรอดหลายคนมาพิจารณาคดีอาชญากรรมสงครามในการพิจารณาคดีเนือร์นแบร์ค ส่วนนาซีเยอรมนีถูกฝ่ายสัมพันธมิตรยึดครองหลังสงครามเช่นเดียวกับจักรวรรดิญี่ปุ่น ชื่อชื่ออย่างเป็นทางการของรัฐ คือ ดอยท์เชิสไรช์ ("ไรช์เยอรมัน") ตั้งแต่ปี 1933 ถึง 1943 และโกรสดอยท์เชิสไรช์ ("ไรช์เยอรมันใหญ่") ตั้งแต่ปี 1943 ถึง 1945 ในภาษาอังกฤษมักแปลคำว่าดอยท์เชิสไรช์เป็นจักรวรรดิเยอรมัน[5] ซึ่งคำว่า "ไรช์" นี้มีความหมายว่า "แผ่นดิน" อันหมายถึงอาณาจักรของไกเซอร์ ส่วนคำว่า "ไรช์ที่สาม" นั้น พวกนาซีรับมา ใช้ครั้งแรกในนวนิยายเมื่อปี 1923 โดยอาร์ทัวร์ เมิลเลอร์ ฟัน เดน บรุค[6] ซึ่งนับจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในสมัยกลาง (962–1806) เป็นไรช์ที่หนึ่ง และจักรวรรดิเยอรมัน (ค.ศ. 1871–1918) เป็นไรช์ที่สอง ปัจจุบันชาวเยอรมันเรียกสมัยนี้ว่า ไซท์เดสนาซิโยนนัลโซซีอัลอิสมุส หรือย่อเป็น เอ็นเอส-ไซท์ ("สมัยชาติสังคมนิยม") หรือ นาซิโยนนัลโซซีอัลอิสทิสเชอ เกวัลแทร์ชัฟท์ ("ทรราชชาติสังคมนิยม") ประวัติศาสตร์
สมัยสาธารณรัฐไวมาร์เศรษฐกิจเยอรมนีถดถอยอย่างหนักหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยุติ บางส่วนเนื่องจากการจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามที่กำหนดภายใต้สนธิสัญญาแวร์ซายปี 1919 รัฐบาลพิมพ์เงินเพื่อชำระเงินและจ่ายคืนหนี้สงครามของประเทศ ภาวะเงินเฟ้อเกินที่เกิดตามมานำให้ราคาสินค้าบริโภคแพงขึ้น ความวุ่นวายทางเศรษฐกิจและการจลาจลอาหาร[7] เมื่อรัฐบาลไม่สามารถชำระค่าปฏิกรรมในเดือนมกราคม 1923 ทหารฝรั่งเศสยึดครองพื้นที่อุตสาหกรรมของเยอรมนีในเขตรูร์ เกิดความไม่สงบของประชาชนกว้างขวางตามมา[8] พรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมัน (พรรคนาซี) ที่เปลี่ยนชื่อมาจากพรรคกรรมกรเยอรมันซึ่งตั้งขึ้นในปี 1919 เป็นพรรคการเมืองขวาจัดพรรคหนึ่งที่ดำเนินการอยู่ในประเทศเยอรมนีขณะนั้น[9] แนวนโยบายของพรรค ได้แก่ การขจัดสาธารณรัฐไวมาร์ การปฏิเสธเงื่อนไขของสนธิสัญญาแวร์ซาย การต่อต้านยิวอย่างรุนแรง และการต่อต้านบอลเชวิค[10] นาซีสัญญาว่าจะตั้งรัฐบาลกลางที่เข้มแข็ง เพิ่มเลเบินส์เราม์ (พื้นที่อยู่อาศัย) สำหรับชนเจอร์แมนิก การสร้างชุมชนชาติที่ยึดเชื้อชาติ และการทำเชื้อชาติให้บริสุทธิ์โดยการปราบปรามยิวอย่างแข็งขัน ซึ่งชาวยิวจะถูกถอดความเป็นพลเมืองและสิทธิพลเมือง[11] นาซีเสนอการฟื้นฟูชาติและวัฒนธรรมโดยยึดขบวนการเฟิลคิช[12] ตั้งแต่ปี 1925 ถึงคริสต์ทศวรรษ 1930 รัฐบาลเยอรมันเปลี่ยนจากระบอบประชาธิปไตยเป็นรัฐอำนาจนิยม ชาตินิยมและอนุรักษนิยมภายใต้ประธานาธิบดี เพาล์ ฟ็อน ฮินเดินบวร์ค วีรบุรุษสงคราม ผู้ไม่นิยมระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยมอย่างในสาธารณรัฐไวมาร์[13] ผลการเลือกตั้งสหพันธรัฐในปี 1928 ปรากฏพรรคนาซีได้รับคะแนนเสียงต่ำมาก เพียง 12 ที่นั่ง เนื่องจากความเชื่อมโยงระหว่างฮิตเลอร์กับกบฏโรงเบียร์[14] เมื่อตลาดหลักทรัพย์ในสหรัฐตกเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 1929 ผลกระทบในเยอรมนีนั้นร้ายแรงมาก หลายล้านคนตกงาน และธนาคารหลักหลายแห่งล้มละลาย ฮิตเลอร์และพรรคนาซีเตรียมฉวยโอกาสจากภาวะฉุกเฉินนี้เพื่อให้พรรคได้รับการสนับสนุน พวกเขาสัญญาจะเสริมสร้างเศรษฐกิจและจัดหางาน[15] ผู้มีสิทธิเลือกตั้งตัดสินใจว่าพรรคนาซีสามารถฟื้นฟูระเบียบ ปราบปรามความไม่สงบ และปรับปรุงชื่อเสียงของเยอรมนีในระดับนานาชาติได้ หลังการเลือกตั้งสหพันธรัฐปี 1932 พรรคนาซีเป็นพรรคใหญ่สุดในไรช์ซทัก โดยครอง 230 ที่นั่ง และได้รับคะแนนเสียงคิดเป็นร้อยละ 37.4[16] การยึดอำนาจของนาซีแม้นาซีจะมีสัดส่วนคะแนนเสียงของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมากที่สุดในการเลือกตั้งทั่วไปไรชส์ทาคสองครั้งในปี 1932 แต่ก็ยังมิได้ครองเสียงข้างมาก ฉะนั้นฮิตเลอร์จึงนำรัฐบาลผสมที่มีอายุสั้นตั้งโดยพรรคนาซีและพรรคประชาชนแห่งชาติเยอรมัน (DNVP)[17] วันที่ 30 มกราคม 1933 ประธานาธิบดีฮินเดินบวร์ค ภายใต้แรงกดดันจากนักการเมือง นักอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจ แต่งตั้งฮิตเลอร์เป็นนายกรัฐมนตรีเยอรมนี เหตุการณ์ดังกล่าวรู้จักกันในชื่อ มัคท์แอร์ไกรฟุง ("การยึดอำนาจ") ในอีกหลายเดือนต่อมา พรรคนาซีใช้กระบวนการที่เรียก ไกลช์ชัลทุง ("การประสานงาน") เพื่อนำทุกแง่มุมของชีวิตมาอยู่ภายใต้การควบคุมของพรรคอย่างรวดเร็ว[18] องค์การพลเรือนทุกองค์การ รวมทั้งกลุ่มเกษตรกรรม องค์การอาสาสมัครและสโมสรกีฬา มีการเปลี่ยนตัวผู้นำเป็นผู้ฝักใฝ่นาซีหรือสมาชิกพรรค เมื่อถึงเดือนมิถุนายน 1933 องค์การที่ยังไม่อยู่ในการควบคุมของพรรคนาซีเหลือเพียงกองทัพและศาสนจักรเท่านั้น[19] คืนวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 1933 อาคารไรชส์ทาคถูกวางเพลิง มารีนึส ฟัน เดอร์ลึบเบอ ชาวดัตช์หัวคอมมิวนิสต์ ถูกวินิจฉัยว่ามีความผิดฐานวางเพลิง นาซีอ้างว่าเหตุลอบวางเพลิงดังกล่าวเป็นสัญญาณของการก่อการกำเริบของคอมมิวนิสต์ เกิดการปราบปรามคอมมิวนิสต์รุนแรงโดยชตวร์มอัพไทลุง (SA) ทั่วประเทศ และสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเยอรมนีสี่พันคนถูกจับ กฤษฎีกาเพลิงไหม้ไรชส์ทาค กำหนดเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1933 เพิกถอนเสรีภาพพลเมืองส่วนใหญ่ของเยอรมนีเพื่อปราบปรามคู่แข่งทางการเมือง รวมทั้งสิทธิในการชุมนุมและเสรีภาพสื่อ กฤษฎีกาดังกล่าวยังให้ตำรวจมีอำนาจกักขังบุคคลโดยไม่มีกำหนดโดยไม่ต้องมีการตั้งข้อหาหรือคำสั่งศาล กฎหมายนี้มีการโฆษณาชวนเชื่อซึ่งนำให้สาธารณะสนับสนุนมาตรการดังกล่าว[20] เดือนมีนาคม 1933 รัฐบัญญัติมอบอำนาจ ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเยอรมัน ผ่านความเห็นชอบของสภาไรชส์ทาคด้วยคะแนนเสียง 444 ต่อ 94[21] การแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวให้อำนาจฮิตเลอร์และคณะรัฐมนตรีผ่านกฎหมายซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญก็ได้ โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบของประธานาธิบดีหรือไรชส์ทาค[22] เนื่องจากร่างกฎหมายดังกล่าวต้องการฝ่ายข้างมากสองในสามจึงจะผ่าน นาซีจึงใช้บทบัญญํติแห่งกฤษฎีกาเพลิงไหม้ไรชส์ทาคกันมิให้ผู้แทนพรรคสังคมประชาธิปไตยเข้าร่วมประชุม โดยนักคอมมิวนิสต์ถูกห้ามไปก่อนแล้ว[23][24] วันที่ 10 พฤษภาคม รัฐบาลยึดทรัพย์สินของนักสังคมประชาธิปไตย และถูกห้ามในเดือนมิถุนายน[25] พรรคการเมืองที่เหลือถูกยุบ และในวันที่ 14 กรกฎาคม 1933 เยอรมนีกลายมาเป็นรัฐพรรคการเมืองเดียวโดยพฤตินัย เพราะมีการห้ามตั้งพรรคการเมืองใหม่[26] การเลือกตั้งต่อมาในปลายปี 1933, 1936 และ 1938 อยู่ใต้การควบคุมของนาซีโดยสมบูรณ์ และมีเพียงนาซีและนักการเมืองอิสระจำนวนน้อยที่ได้รับเลือกตั้ง รัฐสภารัฐภูมิภาคและไรช์สรัท (สภาสูงสหพันธรัฐ) ถูกยุบในเดือนมกราคม 1934[27] ระบอบนาซีเลิกสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐไวมาร์ รวมทั้งธงไตรรงค์ดำ-แดง-ทอง และใช้สัญลักษณ์นิยมจักรวรรดิที่ปรับปรุงใหม่ ไตรรงค์ดำ-ขาว-แดงสมัยจักรวรรดิเดิมถูกรื้อฟื้นเป็นหนึ่งในสองธงชาติอย่างเป็นทางการของเยอรมนี ธงที่สองนั้นเป็นธงสวัสดิกะของพรรคนาซี ซึ่งกลายเป็นธงชาติเยอรมันอย่างเดียวในปี 1935 เพลงประจำพรรคนาซี "เพลงฮอสท์ เว็สเซิล" กลายเป็นเพลงชาติเพลงที่สอง[28] ในสมัยนี้ ประเทศเยอรมนียังตกอยู่ในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เลวร้าย ประชาชนหลายล้านคนว่างงานและการขาดดุลการค้ายังน่ากลัว ฮิตเลอร์ทราบว่าการฟื้นฟูเศรษฐกิจสำคัญ ในปี 1934 มีการใช้โครงการโยธาสาธารณะขาดดุล ชาวเยอรมันรวม 1.7 ล้านคนถูกส่งไปทำงานในโครงการต่าง ๆ ในปี 1934 ปีเดียว[29] ค่าจ้างเฉลี่ยต่อชั่วโมงและต่อสัปดาห์เริ่มเพิ่มขึ้น[30] ข้อเรียกร้องเพิ่มอำนาจทางการเมืองและทหารของเอสเอก่อให้เกิดความกังวลในหมู่ผู้นำทางทหาร อุตสาหกรรมและการเมือง ฮิตเลอร์สนองโดยกวาดล้างผู้นำเอสเอทั้งหมดในคืนมีดยาว ซึ่งกินเวลาระหว่างวันที่ 30 มิถุนายนถึง 2 กรกฎาคม 1934 ฮิตเลอร์กำหนดแอร์นสท์ เริมและผู้นำเอสเออื่นเป็นเป้าหมาย ซึ่งบุคคลเหล่านี้ ตลอดจนศัตรูการเมืองของฮิตเลอร์อีกจำนวนหนึ่ง (เช่น เกรกอร์ ชตรัสเซอร์และอดีตนายกรัฐมนตรี ควร์ท ฟ็อน ชไลเชอร์) ถูกล้อมจับและยิง[31] วันที่ 2 สิงหาคม 1934 ประธานาธิบดีฮินเดินบวร์คถึงแก่อสัญกรรม แต่หนึ่งวันก่อน คณะรัฐมนตรีได้ตรา "กฎหมายว่าด้วยตำแหน่งรัฐสูงสุดแห่งไรช์" ซึ่งมีใจความว่า ครั้นฮินเดินบวร์คถึงแก่อสัญกรรม ตำแหน่งประธานาธิบดีจะถูกยุบและรวมอำนาจเข้ากับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ฉะนั้นฮิตเลอร์จึงกลายเป็นประมุขแห่งรัฐเช่นเดียวกับหัวหน้ารัฐบาล เขาได้รับแต่งตั้งเป็น "ฟือเรอร์และนายกรัฐมนตรีไรช์" อย่างเป็นทางการ บัดนี้ ประเทศเยอรมนีเป็นรัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จโดยมีฮิตเลอร์เป็นประมุข ในฐานะประมุขแห่งรัฐ ฮิตเลอร์ได้เป็นผู้บัญชาการสูงสุดแห่งแวร์มัคท์ กฎหมายใหม่เปลี่ยนคำสาบานความภักดีของทหารให้ยืนยันความภักดีต่อฮิตเลอร์ที่เป็นบุคคลมิใช่ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารหรือรัฐ วันที่ 19 สิงหาคม ผู้มีสิทธิออกเสียงร้อยละ 90 ลงประชามติอนุมัติการรวมตำแหน่งประธานาธิบดีกับนายกรัฐมนตรี ชาวเยอรมันส่วนใหญ่โล่งใจว่าความขัดแย้งและการต่อสู้ตามถนนในสมัยไวมาร์ได้ยุติลง ทั้งได้รับการโฆษณาชวนเชื่อที่โยเซฟ เกิบเบลส์เป็นผู้สั่งการ ซึ่งสัญญาสันติภาพและความบริบูรณ์แก่ประชาชนทุกคนในประเทศเอกภาพปลอดมากซิสต์โดยไม่มีข้อผูกมัดแห่งสนธิสัญญาแวร์ซาย มีการเปิดค่ายกักกันนาซีหลักแห่งแรกซึ่งเดิมใช้ขังนักโทษการเมืองที่ดาเคาในปี 1933[32] มีการตั้งค่ายเหล่านี้หลายร้อยแห่งหลากขนาดและหลากหน้าที่เมื่อสงครามสิ้นสุด[33] เมื่อยึดอำนาจ นาซีใช้มาตรการกดขี่ต่อการคัดค้านทางการเมืองและเริ่มการกีดกันอย่างกว้างขวางต่อบุคคลที่ถือว่าไม่พึงปรารถนาทางสังคม นาซีรวบอำนาจมหาศาลโดยใช้ข้ออ้างการต่อสู้ภัยคุกคามคอมมิวนิสต์บังหน้า นอกเหนือจากนี้ การรณรงค์ต่อชาวยิวที่อาศัยอยู่ในประเทศเยอรมนียังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน 1933 มีการเริ่มมาตรการต่าง ๆ ซึ่งนิยามสถานภาพยิวและสิทธิของยิวในระดับภูมิภาคและชาติ[34] การริเริ่มและการมอบอำนาจกฎหมายต่อชาวยิวลงเอยด้วยการจัดตั้งกฎหมายเนือร์นแบร์คปี 1935 ซึ่งริบสิทธิขั้นพื้นฐานของยิว[35] นาซีจะยึดความมั่งคั่ง การสมรสกับผู้มิใช่ยิว และสิทธิการเข้าทำงานในสาขาต่าง ๆ (เช่น ด้านกฎหมาย แพทยศาสตร์หรือเป็นครูอาจารย์) จนสุดท้ายประกาศว่ายิวไม่พึงปรารถนาที่จะอยู่ร่วมกับพลเมืองและสังคมเยอรมัน ซึ่งยิ่งลดความเป็นมนุษย์ของยิว อาจแย้งได้ว่า การกระทำเหล่านี้ทำให้ชาวเยอรมันเฉยชาถึงขั้นว่าทำให้ลงเอยด้วยฮอโลคอสต์ ชาติพันธุ์เยอรมันผู้ปฏิเสธการผลักไสยิวหรือแสดงสัญญาณใด ๆ ของการต่อต้านโฆษณาชวนเชื่อของนาซีจะถูกเกสตาโปตรวจตรา ถูกริบสิทธิ หรือถูกส่งไปค่ายกักกัน[36] นโยบายต่างประเทศแสนยนิยมเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 1933 ฮิตเลอร์ประกาศว่าจะต้องสร้างเสริมอาวุธยุทธภัณฑ์ โดยทีแรกกระทำในทางลับ เนื่องจากการดังกล่าวเป็นการละเมิดสนธิสัญญาแวร์ซาย ปีต่อมาเขาบอกผู้นำทหารว่าปี 1942 เป็นวันที่เป้าหมายสำหรับการเข้าสู่สงครามในทางตะวันออก[37] เขาพาประเทศเยอรมนีออกจากสันนิบาตชาติในปี 1933 โดยอ้างว่า ข้อกำหนดการลดกำลังรบขององค์การฯ ไม่ยุติธรรม เนื่องจากมีผลบังคับต่อเฉพาะประเทศเยอรมนี[38] ซาร์ลันท์ซึ่งถูกกำหนดภายใต้การควบคุมดูแลของสันนิบาตชาติเป็นเวลา 15 ปีหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งสิ้นสุด ออกเสียงลงคะแนนในเดือนมกราคม 1935 เป็นส่วนหนึ่งของประเทศเยอรมนี[39] ในเดือนมีนาคม 1935 ฮิตเลอร์ประกาศว่าไรช์สเวร์จะเพิ่มกำลังเป็น 550,000 นายและเขาจะตั้งกองทัพอากาศ[40] บริเตนเห็นชอบว่าชาวเยอรมนีควรได้รับอนุญาตให้สร้างกองทัพเรือโดยการลงนามความตกลงนาวีอังกฤษ-เยอรมันเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 1935[41] เมื่อการบุกครองเอธิโอเปียของอิตาลีนำสู่การประท้วงเพียงเล็กน้อยจากรัฐบาลบริเตนและฝรั่งเศส วันที่ 7 มีนาคม 1936 ฮิตเลอร์ใช้สนธิสัญญาความช่วยเหลือกันฝรั่งเศส-โซเวียตเป็นข้ออ้างในการสั่งกองทัพบกให้เคลื่อนกำลัง 3,000 นายเข้าสู่เขตปลอดทหารในไรน์ลันท์เป็นการละเมิดสนธิสัญญาแวร์ซาย[42] เนื่องจากดินแดนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเยอรมนี รัฐบาลบริเตนและฝรั่งเศสจึงไม่รู้สึกว่าการพยายามบังคับใช้สนธิสัญญาฯ จะคุ้มความเสี่ยงสงคราม[43] ในการเลือกตั้งพรรคเดียวซึ่งจัดในวันที่ 29 มีนาคม พรรคนาซีได้รับการสนับสนุนร้อยละ 98.9[43] ในปี 1936 ฮิตเลอร์ลงนามกติกาสัญญาต่อต้านโคมินเทิร์นกับประเทศญี่ปุ่น และความตกลงไม่รุกรานกับนายกรัฐมนตรีเบนิโต มุสโสลินี แห่งฟาสซิสต์อิตาลี ซึ่งไม่นานเรียกว่า "อักษะโรม-เบอร์ลิน"[44] ฮิตเลอร์ส่งหน่วยอากาศและยานเกราะสนับสนุนพลเอก ฟรันซิสโก ฟรังโก และกำลังชาตินิยมในสงครามกลางเมืองสเปนซึ่งปะทุในเดือนกรกฎาคม 1936 สหภาพโซเวียตส่งกำลังที่เล็กกว่าเข้าช่วยรัฐบาลสาธารณรัฐนิยม ฝ่ายชาตินิยมของฟรังโกชนะในปี 1939 และกลายเป็นพันธมิตรอย่างไม่เป็นทางการของนาซีเยอรมนี[45] ออสเตรียและเชโกสโลวาเกียในเดือนกุมภาพันธ์ 1938 ฮิตเลอร์เน้นย้ำความจำเป็นของเยอรมนีในการรักษาความปลอดภัยเขตแดนแก่นายกรัฐมนตรีออสเตรีย ควร์ท ชุชนิค ชุชนิคจัดการลงประชามติว่าด้วยเอกราชของออสเตรียในวันที่ 13 มีนาคม แต่ฮิตเลอร์เรียกร้องให้ยกเลิก วันที่ 11 มีนาคม ฮิตเลอร์ยื่นคำขาดแก่ชุชนิคเรียกร้องให้เขายื่นอำนาจทั้งหมดแก่พรรคนาซีออสเตรียหรือเผชิญการรุกราน แวร์มัคท์ยาตราเข้าออสเตรียวันรุ่งขึ้นและได้รับการต้อนรับอย่างกระตือรือร้นจากประชาชน[46] สาธารณรัฐเชโกสโลวาเกียเป็นที่พำนักของชนกลุ่มน้อยเยอรมันจำนวนพอสมควรซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในซูเดเทินลันด์ ภายใต้แรงกดดันจากกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในพรรคเยอรมันซูเดเทิน รัฐบาลเชโกสโลวาเกียเสนอสัมปทานเศรษฐกิจแก่ภูมิภาคดังกล่าว[47] ฮิตเลอร์ตั้งสินใจผนวกทั้งประเทศเชโกสโลวาเกียมิใช่เพียงซูเดเทินลันด์เข้าสู่ไรช์[48] นาซีดำเนินการรณรงค์โฆษณาชวนเชื่อเพื่อพยายามปลุกเร้าการสนับสนุนการบุกครอง[49] ผู้นำสูงสุดของกองทัพไม่เห็นชอบกับแผนดังกล่าวเพราะเยอรมนียังไม่พร้อมทำสงคราม[50] วิกฤตการณ์ดังกล่าวนำให้บริเตน เชโกสโลวาเกียและฝรั่งเศส (พันธมิตรของเชโกสโลวาเกีย) ตระเตรียมสงคราม ในความพยายามเลี่ยงสงคราม นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เนวิล เชมเบอร์ลินจัดการประชุมหลายครั้งซึ่งผลลัพธ์คือ ความตกลงมิวนิก ซึ่งลงนามในวันที่ 29 กันยายน 1938 รัฐบาลเชโกสโลวาเกียถูกบีบให้ยอมรับการผนวกซูเดเทินลันด์เข้ากับประเทศเยอรมนี เชมเบอร์ลินได้รับการต้อนรับด้วยเสียงสันบสนุนเมื่อเขาลงจอดในกรุงลอนดอน เขาว่าเป็น "สันติภาพสำหรับยุคของเรา"[51] ความตกลงดังกล่าวกินเวลาหกเดือนก่อนฮิตเลอร์ยึดดินแดนเช็กเกียที่เหลือในเดือนมีนาคม 1939[52] มีการตั้งรัฐหุ่นในสโลวาเกีย[53] สมัยสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อวันที่ 1 กันยายน 1939 การบุกครองโปแลนด์เริ่มต้นขึ้น อีกสองวันถัดมา สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสประกาศสงครามต่อเยอรมนี แต่ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน โปแลนด์ก็ถูกแบ่งออกเป็นเขตการยึดครองของเยอรมนีและสหภาพโซเวียต ตามข้อตกลงลับในสนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอพซึ่งลงนามไว้ก่อนหน้านี้[54] ไม่มีการเผชิญหน้าทางทหารระหว่างเยอรมนีกับฝ่ายสัมพันธมิตรราว 6 เดือนหลังจากโปแลนด์พ่าย[55] จนกระทั่งการทัพนอร์เวย์ ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 9 เมษายน 1940 เยอรมนีได้ขยายดินแดนไปทางเหนือ ตามด้วยการรุกรานฝรั่งเศสและกลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำ ในเดือนพฤษภาคม ในยุทธการแห่งบริเตน ซึ่งเป็นการเตรียมการสำหรับการบุกครองเกาะอังกฤษทางบก[56] การทิ้งระเบิดใส่กรุงลอนดอนโดยอุบัติเหตุซึ่งขัดคำสั่งของฮิตเลอร์ ได้เปลี่ยนเส้นทางของสงคราม[57] อังกฤษตอบโต้ด้วยการทิ้งระเบิดกรุงเบอร์ลิน ทำให้ฮิตเลอร์โกรธมาก จึงได้สั่งให้มีการทิ้งระเบิดตามหัวเมืองอังกฤษอย่างหนัก[58] ซึ่งได้เปิดโอกาสให้แก่กองทัพอากาศอังกฤษ ความพ่ายแพ้เหนือน่านฟ้าอังกฤษเป็นความพ่ายแพ้ครั้งแรกของเยอรมนี[59] ฮิตเลอร์จึงหันไปให้ความสนใจในการโจมตีสหภาพโซเวียตแทน[60] ในช่วงปี 1940-1941 เยอรมนีสามารถยึดครองเกือบทุกประเทศในทวีปยุโรป โดยส่งทหารรุกรานยูโกสลาเวีย กรีซ เกาะครีตและในแถบคาบสมุทรบอลข่าน[61] ในทวีปแอฟริกา กองทัพเยอรมันรุกเข้าไปถึงอียิปต์[62] ด้วยสภาวะเช่นนี้ เยอรมนีต้องทำศึกหลายด้าน หากแต่แผนการรุกรานสหภาพโซเวียตยังคงดำเนินการต่อไป ซึ่งนับว่าผิดหลักยุทธศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง หากแต่มีความคืบหน้าอย่างรวดเร็ว ช่วงปลายปีปี 1941 กองทัพเยอรมันรุกเข้าไปในสหภาพโซเวียตถึง 1,689 กิโลเมตร[63] ล้อมชานนครเลนินกราด[64] แต่ก็ถูกหยุดยั้งที่มอสโกในฤดูหนาวที่โหดร้าย[65] อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่สหรัฐอเมริกาเข้าสู่สงครามโดยอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร ในปี 1942 การโจมตีโต้กลับของกองทัพแดงในแผ่นดินโซเวียตได้ขับไล่กองทัพอักษะออกจากชานเมืองกรุงมอสโก ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ กองทัพฝ่ายอักษะได้โจมตีทุ่งปิโตรเลียมแถบเทือกเขาคอเคซัสและแม่น้ำวอลกาครั้งใหญ่ หากแต่ความพ่ายแพ้ในยุทธการที่สตาลินกราดได้สร้างความสูญเสียครั้งมโหฬารจนไม่สามารถรุกคืบต่อไปได้อีก ในปีเดียวกัน ทางด้านตะวันตก เยอรมนีเผชิญกับการทิ้งระเบิดทางอากาศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสร้างความเสียหายแก่พลเมืองและสาธารณูปโภค[66] พอถึงปี 1943 ในการทัพแอฟริกาเหนือ กองทัพอักษะล่าถอยจากอียิปต์ไปจนถึงตูนิเซีย[67] และเกาะซิซิลีของอิตาลี และในแนวรบด้านตะวันออก กองทัพเยอรมันก็ถูกผลักดันออกมาจากเลนินกราดและสตาลินกราด[68] เช่นเดียวกับความพยายามที่ล้มเหลวในการตีโต้ที่เคิสก์[69] และในปี 1944 ปฏิบัติการขนาดใหญ่ของฝ่ายสัมพันธมิตร – ปฏิบัติการบากราติออนและปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด – ส่งผลให้กองทัพแดงรุกถึงโปแลนด์ในแนวรบด้านตะวันออก[70] และฝ่ายสัมพันธมิตรรุกถึงแม่น้ำไรน์ในแนวรบด้านตะวันตก[71] ปฏิบัติการในการยับยั้งกองทัพสัมพันธมิตรล้วนแต่ประสบความล้มเหลว และราวเดือนเมษายน 1945 กองทัพสัมพันธมิตรได้รุกเข้าสู่เยอรมนีทั้งทางตะวันตกและทางตะวันออก กรุงเบอร์ลินตกอยู่ใต้วงล้อมของกองทัพโซเวียต ฮิตเลอร์เครียดหนักและตัดสินใจฆ่าตัวตาย[72] โดยส่งมอบอำนาจต่อให้แก่พลเรือเอก คาร์ล เดอนิทซ์[73] ยอมจำนนและล่มสลายเดอนิตช์พยายามที่จะติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตรเพื่อขอยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไข[74] เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 1945 ได้มีการยอมจำนนอย่างเป็นทางการ[75] ซึ่งนำไปสู่การสิ้นสุดการคงอยู่ของนาซีเยอรมนี[76] ในเดือนสิงหาคม ได้มีการจัดการประชุมพ็อทซ์ดัมระหว่างผู้นำมหาอำนาจฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อกำหนดข้อตกลงและแนวทางสำหรับอนาคตของเยอรมนี รวมทั้งเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของเยอรมนีอีกครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับการพิจารณาคดีอาชญากรสงครามผู้นำและนายทหารระดับสูงของนาซีที่เนือร์นแบร์ค[77] จำเลยทั้งหมดถูกพิจารณาคดีเกี่ยวกับข้อกล่าวหาอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ซึ่งมีจำนวนหนึ่งที่ถูกตัดสินประหารชีวิตและบางส่วนถูกตัดสินจำคุก การแบ่งแยกปกครองเยอรมนีเริ่มต้นขึ้นภายใต้การจัดตั้งสภาควบคุมฝ่ายสัมพันธมิตร และแบ่งเยอรมนีและกรุงเบอร์ลินออกเป็น 4 ส่วน ให้อยู่ในการควบคุมของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และสหภาพโซเวียต โดยส่วนที่ปกครองโดยสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส รวมตัวกันเป็นเยอรมนีตะวันตก และส่วนที่สหภาพโซเวียตปกครองกลายมาเป็นเยอรมนีตะวันออก เยอรมนีทั้งสองเป็นสนามรบของสงครามเย็นในทวีปยุโรป ก่อนที่จะมีการรวมประเทศอีกครั้งในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 ภูมิศาสตร์เยอรมนีตั้งอยู่ในเขตที่ราบต่ำตอนกลางทวีปยุโรป[78] มีลักษณะภูมิประเทศที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนอยู่สามแห่ง ได้แก่ เขตที่ราบต่ำตอนเหนือ เขตภูเขาตอนกลาง และเขตที่ราบสูงและลุ่มแม่น้ำทางใต้ ดินทางตอนเหนือนั้นมีคุณค่าทางเศรษฐกิจมาก และมีป่าสนกินอาณาเขตกว้างขวางตามตีนเขาของเทือกเขาที่ลากผ่านตอนกลางของประเทศ[79] ด้านการคมนาคม ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองอุบัติ เยอรมนีมีทางน้ำในประเทศความยาวรวมกว่า 7,000 ไมล์ ซึ่งในจำนวนนี้มีความสำคัญทางเศรษฐกิจถึง 4,830 ไมล์[80] มีเมืองท่าที่สำคัญ คือ ดืสบวร์ค-รูรอร์ท ฮัมบวร์ค และเบอร์ลิน[80] เช่นเดียวกับคลองคีล ซึ่งมีสินค้าผ่านคลองกว่า 9.4 ล้านตันต่อปี ในปี 1936[81] นอกจากนั้น เยอรมนียังมีทางรถไฟยาวกว่า 43,000 ไมล์[81]; ในปี 1937 เยอรมนีมีโครงข่ายถนนยาว 134,000 ไมล์ และทางหลวงพิเศษ (เอาโทบาน) ยาว 3,150 ไมล์ ในปี 1939[82] เกษตรกรรมในประเทศประสบความสำเร็จอย่างมาก และสามารถปลูกพืชได้หลายชนิด ในปี 1936 ราว 61% ของพื้นที่ทั้งประเทศเป็นพื้นที่เพาะปลูก[83] โดยพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ข้าวไรย์ มันฝรั่ง ชูการ์บีต และไม้องุ่น[84] มีทรัพยากรแร่ธาตุที่สำคัญ ได้แก่ ถ่านหิน ปิโตรเลียม[85] ทองแดง สังกะสี และดีเกลือ[86] การเปลี่ยนแปลงดินแดนก่อนสงครามผลจากความปราชัยในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสนธิสัญญาแวร์ซายซึ่งติดตามมา ประเทศเยอรมนีเสียอัลซาซ-ลอแรน นอร์เทิร์นชเลสวิชและเมเมล ซาร์ลันท์เป็นรัฐในอารักขาของประเทศฝรั่งเศสชั่วคราว โดยมีเงื่อนไขว่าภายหลังผู้อยู่อาศัยจะลงประชามติตัดสินว่าจะเข้ากับประเทศใด ประเทศโปแลนด์แยกออกมาเป็นอีกประเทศหนึ่งและได้ทางออกสู่ทะเลโดยการสถาปนาฉนวนโปแลนด์ ซึ่งคั่นปรัสเซียจากประเทศเยอรมนีส่วนที่เหลือ ดันท์ซิชกลายเป็นเสรีนคร[87] ประเทศเยอรมนีเข้าควบคุมซาร์ลันท์อีกครั้งผ่านการลงประชามติซึ่งจัดขึ้นในปี 1935 และผนวกออสเตรียในอันชลุสส์ปี 1938[88] ความตกลงมิวนิกปี 1938 ทำให้เยอรมนีได้ควบคุมซูเดเทินลันด์และยึดเชโกสโลวาเกียส่วนที่เหลืออีกหกเดือนต่อมา[51] ภายใต้คำขู่การบุกครองทางทะเล ประเทศลิทัวเนียยอมยกเขตเมเมลในเดือนมีนาคม 1939[89] ระหว่างปี 1939 ถึง 1941 กองทัพเยอรมันบุกครองประเทศโปแลนด์ ฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์และสหภาพโซเวียต[90] มุสโสลินียกตรีเยสเต เซาท์ไทรอลและอิสเตรียให้ประเทศเยอรมนีในปี 1943 มีการจัดตั้งเขตหุ่นเชิดสองเขตในพื้นที่ คือ เขตปฏิบัติการลิตโตรัลเอเดรียติก (Operational Zone of the Adriatic Littoral) และเขตปฏิบัติการตีนเขาแอลพ์ (Operational Zone of the Alpine Foothills)[91] การขยายอาณาเขตยามสงครามก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่สอง พื้นที่ซึ่งมีพลเมืองชาวเยอรมันอาศัยอยู่ อย่างเช่น ออสเตรีย ซูเดเทินลันด์, ดินแดนมาเมล รวมทั้งดินแดนซึ่งผนวกรวมภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองอุบัติ ได้แก่ ออยเปน-เอท-มัลเมอดี, อัลซาซ-ลอร์เรน, ดันท์ซิช และดินแดนของโปแลนด์ นอกจากนั้น ระหว่างปี 1939-1945 แคว้นโบฮีเมียและโบราเวีย ถูกปกครองในฐานะรัฐในอารักขาของไรช์[92] ซึ่งเยอรมนีมีอำนาจควบคุมและบริหารประเทศ แต่ยังอนุญาตให้มีเงินตราของตัวเอง เช็กไซลีเชียรวมเข้ากับจังหวัดไซลีเชียในช่วงเวลาเดียวกัน ในปี 1942 ลักเซมเบิร์กถูกผนวกรวมกับเยอรมนีโดยตรง[93] โปแลนด์ตอนกลางและแคว้นกาลิเซียถูกปกครองโดยเจอเนอรัลโกอูเวอร์เนเมนท์ (เยอรมัน: Generalgouvernement) ที่เยอรมนีบริหาร[94] ท้ายสุด ชาวโปแลนด์จะถูกอพยพ และจัดให้ชาวเยอรมันห้าล้านคนเข้าไปอาศัยอยู่แทน ปลายปี 1943 นาซีเยอรมนีพิชิตเซาธ์ไทรอล และอิสเตรีย ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ก่อนปี 1919 และยึดตรีเยสเตหลังรัฐบาลฟาสซิสต์อิตาลี (ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรฝ่ายอักษะ) ยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร เขตการปกครองหุ่นเชิดสองเขตถูกจัดตั้งขึ้นแทนที่ การเปลี่ยนแปลงหลังสงครามพรมแดนโดยพฤตินัยของนาซีเยอรมนีเปลี่ยนแปลงมานานก่อนการล่มสลายในเดือนพฤษภาคม 1945 เพราะกองทัพแดงคืบหน้ามาทางตะวันออก พร้อมกับที่ประชากรเยอรมันหลบหนีมายังแผ่นดินเยอรมนี และสัมพันธมิตรตะวันตกรุกคืบมาทางตะวันออกจากฝรั่งเศส เมื่อสงครามยุติ มีเพียงผืนดินเล็ก ๆ จากออสเตรียถึงโบฮีเมียและโมราเวีย และภูมิภาคที่ถูกโดดเดี่ยวอื่น ๆ เท่านั้นที่ยังไม่ถูกฝ่ายสัมพันธมิตรยึดครอง ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาสถาปนาเขตยึดครอง ดินแดนเยอรมนีก่อนสงครามทางตะวันออกของแนวโอเดอร์-นีซเซ (อันประกอบด้วย ปรัสเซียตะวันออก ไซลีเชีย ปรัสเซียตะวันตก ราวสองในสามของพอเมอเรเนีย และบางส่วนของบรันเดินบวร์ค) และสเทททิน และบริเวณโดยรอบ (เกือบ 25% ของดินแดนเยอรมนีก่อนสงครามเมื่อปี 1937) อยู่ภายใต้การปกครองของโปแลนด์และโซเวียต โดยแบ่งให้โปแลนด์และโซเวียตผนวก นอกจากนี้ ฝรั่งเศสยังได้ยึดครองดินแดนส่วนใหญ่ของแคว้นซาร์ ซึ่งเป็นแหล่งอุตสาหกรรมถ่านหินที่สำคัญของเยอรมนีที่เหลืออีกด้วย ดินแดนส่วนใหญ่ที่เยอรมนีเสียไปนี้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ยกเว้น อัปเปอร์ไซลีเชีย ซึ่งเป็นศูนย์อุตสาหกรรมหนักที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของเยอรมนี ฝ่ายสัมพันธมิตรขับไล่ผู้อยู่อาศัยชาวเยอรมัน ในปี 1947 สภาควบคุมฝ่ายสัมพันธมิตรยุบเลิกปรัสเซียด้วยกฎหมาย ที่ 46 (20 พฤษภาคม 1947) ตามการประชุมพ็อทซ์ดัม ดินแดนปรัสเซียทางตะวันออกของแนวโอเดอร์-นีซเซถูกแบ่งแยกและปกครองโดยโปแลนด์และมณฑลคาลินินกราด ตามสนธิสัญญาสันิภาพขั้นสุดท้าย ภายหลัง โดยการลงนามสนธิสัญญากรุงวอร์ซอ (ค.ศ. 1970) และสนธิสัญญาว่าด้วยการตกลงขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับดินแดนเยอรมนี (ค.ศ. 1990) เยอรมนีสละการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนที่เสียไประหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง การเปลี่ยนแปลงดินแดนดังกล่าวส่งผลกระทบให้ชาวเยอรมันราว 14 ล้านคน[95] ถูกขับออกจากดินแดนซึ่งอยู่นอกพรมแดนประเทศเยอรมนีใหม่ มีผู้เสียชีวิตระหว่างเหตุการณ์นี้ประมาณ 1-2 ล้านคน[95] เช่นเดียวกับเมืองใหญ่น้อยทั้งหลาย เช่น ชเท็ททิน, เคอนิชส์แบร์ค, เบร็สเลา, เอ็ลบิง และดันท์ซิช ที่ได้ขับชาวเยอรมันออกจากเมืองเช่นกัน การเมืองการปกครองไรช์ยกย่องฮิตเลอร์ว่าเป็น ฟือเรอร์ ที่รวมศูนย์อำนาจทั้งหมดไว้ในมือ การโฆษณาชวนเชื่อนาซีมีศูนย์กลางอยู่ที่ฮิตเลอร์และสร้างสิ่งที่นักประวัติศาสตร์เรียกว่า "เรื่องปรัมปราฮิตเลอร์" คือ ฮิตเลอร์เป็นผู้รู้แจ้งและความผิดพลาดหรือความล้มเหลวใด ๆ ของผู้อื่นจะถูกแก้ไขให้ถูกต้องหากเขาให้ความสนใจ แต่ในความเป็นจริง ฮิตเลอร์มีความสนใจแคบ และการวินิจฉัยสั่งการกระจายกันระหว่างศูนย์อำนาจที่ซ้ำซ้อนและขัดแย้งกัน ฮิตเลอร์ไม่มีปฏิกิริยาในบางประเด็น เพียงแต่เห็นพ้องกับแรงกดดันจากผู้ใดก็ตามที่เขารับฟัง ข้าราชการระดับสูงรายงานตรงต่อฮิตเลอร์และปฏิบัติตามนโยบายพื้นฐาน แต่ยังมีความเป็นอิสระในงานประจำวันพอสมควร ผ่านการบรรจุสมาชิกพรรคนาซีในตำแหน่งหน้าที่รัฐบาลส่วนใหญ่ จนถึงปี 1935 รัฐบาลแห่งชาติเยอรมันและพรรคนาซีก็แทบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน จนถึงปี 1938 ผ่านนโยบายไกลช์ชัลทุง รัฐบาลท้องถิ่นและรัฐสูญเสียอำนาจนิติบัญญัติทั้งหมดและสนองตอบผู้นำพรรคนาซีในการปกครอง ซึ่งเรียกว่า "เกาไลเทอร์" การแบ่งเขตการปกครองในไรช์เพื่อให้การควบคุมเยอรมนีของฮิตเลอร์เป็นไปโดยรัดกุมยิ่งขึ้น ในปี 1935 ระบอบนาซีแทนที่การปกครองแลนเดอร์ (เยอรมัน: länder) ด้วย "เกา" (เยอรมัน: gau) ซึ่งนำโดยผู้ว่าการที่ตอบสนองต่อรัฐบาลกลางในกรุงเบอร์ลิน การจัดระเบียบใหม่นี้ทำให้ปรัสเซียอ่อนแอลงในทางการเมือง ซึ่งในอดีตปรัสเซียเคยครอบงำการเมืองเยอรมนี เริ่มแรกนั้น เยอรมนีแบ่งออกเป็น 32 เกา และระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง นาซีเยอรมนีสามารถยึดครองดินแดนอื่นได้[96] จึงได้จัดระเบียบการปกครองขึ้นใหม่ เรียกว่า "ไรชส์เกา" (เยอรมัน: reichsgau) กระทั่งปี 1945 นาซีเยอรมนีมีเขตการปกครองรวมทั้งสิ้น 42 เกา[97] โครงสร้างรัฐบาลไรช์นาซีเยอรมนีประกอบขึ้นจากหลายโครงสร้างอำนาจที่แข่งขันกัน ทั้งหมดล้วนพยายามสร้างความประทับใจแก่ฟือเรอร์ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ฉะนั้นกฎหมายที่มีอยู่หลายฉบับจึงได้รับผลกระทบและถูกแทนที่ด้วยการตีความสิ่งที่ฮิตเลอร์ต้องการ ข้าราชการระดับสูงของพรรคหรือรัฐบาลคนใดสามารถนำหนึ่งในความเห็นของฮิตเลอร์และเปลี่ยนให้เป็นกฎหมายใหม่ได้ ซึ่งฮิตเลอร์อาจอนุมัติหรือไม่อนุมัติอย่างไม่เป็นทางการ จึงกลายมาเป็นที่รู้จักกันว่า "การทำงานมุ่งสู่ฟือเรอร์" เพราะรัฐบาลมิได้เป็นองค์การที่ประสานร่วมมือกัน หากเป็นการรวมปัจเจกบุคคลที่ต่างพยายามสร้างความประทับใจและมีอิทธิพลเหนือฟือเรอร์ บ่อยครั้งจึงทำให้รัฐบาลสับสนยุ่งยากและแตกแยกกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนโยบายที่กำกวมของฮิตเลอร์ในการสร้างตำแหน่งหน้าที่ที่คล้ายกันโดยมีอำนาจทับซ้อนกัน ขบวนการนี้ทำให้นาซีที่ไม่ซื่อสัตย์และทะเยอทะยานกว่าออกไปนำอุดมการณ์ส่วนที่หัวรุนแรงและสุดโต่งกว่าของฮิตเลอร์ เช่น ต่อต้านยิว ทำให้ได้รับความประทับใจทางการเมือง โดยได้รับการปกป้องจากจักรกลโฆษณาชวนเชื่อทรงประสิทธิภาพอย่างยิ่งของเกิบเบิลส์ ซึ่งพรรณารัฐบาลว่าเป็นชุดที่อุทิศตัว รับผิดชอบต่อหน้าที่และมีประสิทธิภาพ การแข่งขันอย่างรุนแรงและการตรากฎหมายอันยุ่งเหยิงจึงสามารถบานปลายได้ ความคิดเห็นทางประวัติศาสตร์แตกกันระหว่าง "กลุ่มเจตนา" ซึ่งเชื่อว่าฮิตเลอร์สร้างระบบนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นวิถีทางเดียวในการประกันทั้งความจงรักภักดีสมบูรณ์และการอุทิศตนของผู้สนับสนุนเขาและการพ้นวิสัยการคบคิด และ "กลุ่มโครงสร้างนิยม" ที่เชื่อว่าระบบนี้พัฒนาขึ้นเอง และเป็นการจำกัดอำนาจที่ควรจะเผด็จการเบ็ดเสร็จของฮิตเลอร์ คณะรัฐบาลไรช์ดำรงอยู่เป็นเวลา 12 ปี ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 1933 ถึงวันที่ 30 เมษายน 1945 หลังฮิตเลอร์ยิงตัวตายในฟือเรอร์บุงเคอร์ เขาส่งต่ออำนาจให้แก่จอมพลเรือ คาร์ล เดอนิทซ์ ผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพเรือ ด้วยความปรารถนาที่จะสืบทอดเจตนารมณ์ของเขาต่อไปอีก โครงสร้างและผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมืองในรัฐบาลไรช์ ประกอบด้วย
รัฐบาลเฟล็นส์บวร์ค (1945)คณะรัฐบาลเฟล็นส์บวร์คเป็นรัฐบาลชั่วคราวของไรช์หลังวันที่ 30 เมษายน 1945 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้แต่งตั้งจอมพลเรือคาร์ล เดอนิทซ์ เป็นประธานาธิบดีไรช์ เดอนิทซ์ย้ายที่ทำการรัฐบาลจากกรุงเบอร์ลินไปยังเฟล็นส์บวร์ค ใกล้กับชายแดนเยอรมนี-เดนมาร์ก เป้าหมายของเขาก็คือ การยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อกองทัพสัมพันธมิตรที่รุกมาทางตะวันตก มิใช่กับกองทัพโซเวียตผู้รุกรานมาทางทิศตะวันออก คณะรัฐบาลเฟล็นส์บวร์คสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 1945 และคณะรัฐมนตรีทั้งหมดถูกจับกุมตัวโดยกองทัพสัมพันธมิตรเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 1945 คณะรัฐมนตรีแห่งรัฐบาลเฟล็นส์บวร์ค ประกอบด้วยความโง่
อุดมการณ์ของไรช์ชาติสังคมนิยมมีองค์ประกอบอุดมการณ์สำคัญบางอย่างของลัทธิฟาสซิสต์ซึ่งเดิมพัฒนาขึ้นในอิตาลีภายใต้เบนิโต มุสโสลินี อย่างไรก็ดี นาซีไม่เคยประกาศอย่างเป็นทางการว่าตนเป็นฟาสซิสต์ อุดมการณ์ทั้งสองเกี่ยวข้องกับการใช้แสนยนิยม ชาตินิยม ต่อต้านคอมมิวนิสต์และกำลังกึ่งทหารในทางการเมือง และทั้งคู่ตั้งใจจะสร้างรัฐเผด็จการ แต่นาซีจะมีปัจจัยทางด้านเชื้อชาติ(อย่างมีนัยสำคัญ)มากกว่าฟาสซิสต์ในอิตาลี โปรตุเกส และสเปน นาซียังเจตนาสร้างรัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จอย่างสมบูรณ์ ไม่เหมือนกับฟาสซิสต์อิตาลีที่แม้จะสนับสนุนรัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ แต่อนุญาตให้มีเสรีภาพส่วนบุคคลแก่พลเมืองของตนมากกว่า ข้อแตกต่างนี้ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์อิตาลียังดำรงอยู่ได้และมีพระราชอำนาจอย่างเป็นทางการบางอย่าง อย่างไรก็ดี นาซีลอกสัญลักษณ์นิยมของตนจำนวนมากจากฟาสซิสต์ในอิตาลี เช่น การลอกการทำความเคารพแบบโรมันมาเป็นการทำความเคารพแบบนาซี การใช้การชุมนุมมวลชน ทั้งคู่ใช้กำลังกึ่งทหารในเครื่องแบบที่อุทิศตนต่อพรรค (เอสเอในเยอรมนีและเชิ้ตดำในอิตาลี) ทั้งฮิตเลอร์และมุสโสลินีถูกเรียกว่า "ผู้นำ" (ฟือเรอร์ในภาษาเยอรมัน ดูเชในภาษาอิตาลี) ทั้งคู่ต่อต้านคอมมิวนิสต์ ทั้งคู่ต้องการรัฐที่ขับเคลื่อนทางอุดมการณ์ และทั้งคู่สนับสนุนทางสายกลางระหว่างทุนนิยมและคอมมิวนิสต์ ซึ่งรู้จักกันทั่วไปว่า บรรษัทนิยม ตัวพรรคเองปฏิเสธการจัดอยู่ในกลุ่มฟาสซิสต์ โดยอ้างว่าชาติสังคมนิยมเป็นอุดมการณ์เอกลักษณ์เฉพาะของเยอรมนี ลักษณะรวบอำนาจเบ็ดเสร็จของพรรคนาซีเป็นหนึ่งในหลักสำคัญของพรรค นาซียืนยันว่าทุกความสำเร็จลุล่วงอันยิ่งใหญ่ในอดีตของชาติและประชาชนชาวเยอรมันล้วนเกี่ยวข้องกับอุดมคติชาติสังคมนิยม ก่อนที่อุดมการณ์นั้นจะมีขึ้นจริง ๆ เสียอีก การโฆษณาชวนเชื่อถือว่าการรวบรวมอุดมคตินาซีและความสำเร็จของระบอบเป็นของฟือเรอร์ของระบอบ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้ถูกพรรณาว่าเป็นอัจฉริยะเบื้องหลังความสำเร็จของพรรคนาซีและผู้ช่วยให้รอดของเยอรมนี "ปัญหาเยอรมัน" ที่มักกล่าวถึงในหมู่นักวิชาการอังกฤษ มุ่งประเด็นการปกครองภูมิภาคเยอรมนีในยุโรปเหนือและยุโรปกลาง ซึ่งเป็นแก่นสำคัญตลอดประวัติศาสตร์เยอรมนี[98] "ตรรกะ" การรักษาให้เยอรมนีมีพื้นที่เล็ก ๆ ได้รับการสนับสนุนจากคู่แข่งเศรษฐกิจรายสำคัญ และเป็นแรงขับในการสร้างรัฐโปแลนด์ขึ้นใหม่ เป้าหมายคือ เพื่อ "ถ่วงดุลอำนาจของเยอรมนี" นาซีสนับสนุนมโนทัศน์กรอสส์ดอยท์ชลันด์ หรือมหาเยอรมนี และเชื่อว่าการรวมชาวเยอรมันอยู่ในชาติเดียวเป็นก้าวสำคัญสู่ความสำเร็จแห่งชาติของตน การสนับสนุนมโนทัศน์มหาเยอรมนีอย่างหลงใหลของนาซีนี้เองที่นำไปสู่การขยายอาณาเขตของเยอรมนี ที่ให้ความชอบธรรมและการสนับสนุนที่จำเป็นแก่ไรช์ที่สามในการเดินหน้าพิชิตดินแดนที่ประชากรมิใช่ชาวเยอรมันเป็นส่วนใหญ่ที่เสียไปนานมาแล้ว เช่น อดีตดินแดนที่ปรัสเซียเคยได้ในโปแลนด์และเสียให้แก่รัสเซียในคริสต์ศตวรรษที่ 19 หรือเพื่อเข้ายึดดินแดนที่มีประชากรชาวเยอรมันเช่นออสเตรียบางส่วน มโนทัศน์เลเบินส์เราม์ หรือที่เจาะจงกว่านั้น ความจำเป็นในการขยายประชากรชาวเยอรมัน ก็ถูกระบอบนาซีอ้างเป็นเหตุในการขยายอาณาเขตดินแดน สองประเด็นสำคัญ คือ การบริหารให้ฉนวนโปแลนด์และดันท์ซิชเข้าสู่ไรช์ ขณะที่นโยบายเชื้อชาติขยายขึ้น โครงการเลเบินส์เราม์ก็เชื่อมโยงกับผลประโยชน์คล้ายกัน นาซีกำหนดว่ายุโรปตะวันออกจะถูกตั้งถิ่นฐานโดยชาติพันธุ์เยอรมัน และประชากรสลาฟที่เข้ามาตรฐานเชื้อชาติของนาซีจะถูกกลืนเข้าสู่ไรช์ ส่วนผู้ที่ไม่เหมาะกับมาตรฐานเชื้อชาติจะถูกใช้เป็นแรงงานกรรมกรราคาถูกหรือเนรเทศไปทางตะวันออก เป้าหมายที่สำคัญสำหรับพรรคนาซีได้แก่การยุบรวมเอาฉนวนโปแลนด์และเสรีนครดันท์ซิชเข้าสู่ไรช์ที่สาม ซึ่งเป็นอีกก้าวหนึ่งของนโยบายการแบ่งแยกเชื้อชาติของนาซี แผนการ Lebensraum มีส่วนที่เกี่ยวข้องกันหลายประการ กล่าวคือ พรรคนาซีเชื่อว่ายุโรปตะวันออกควรจะเป็นดินแดนที่อยู่อาศัยของชาวเยอรมัน และประชาชนชาวสลาฟที่อยู่ในแผ่นดินของนาซีเยอรมนี พวกเขาเหล่านั้นจะถูกใช้เป็นแรงงานราคาถูกหรือถูกเนรเทศไปทางทิศตะวันออกต่อไป[99] การเหยียดสีผิวและคตินิยมเชื้อชาติเป็นมุมมองสำคัญของสังคมในไรช์ที่สาม นาซีรวมการต่อต้านยิวเข้ากับอุดมการณ์ต่อต้านคอมมิวนิสต์ โดยพิจารณาขบวนการลัทธิอยู่ร่วมกันระหว่างประเทศฝ่ายซ้าย เช่นเดียวกับทุนนิยมตลาดระหว่างประเทศ ว่าเป็นผลงานของ "ยิวที่สมรู้ร่วมคิด" นาซียังเอ่ยถึงขบวนการเช่นนี้ด้วยคำอย่าง "การปฏิวัติของพวกต่ำกว่ามนุษย์ยิว-บอลเชวิค"[100] แนวนโยบายดังกล่าวออกมาในรูปการย้ายประชากร การกักกันและการกำจัดประชากร 11–12 ล้านคนอย่างเป็นระบบระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งราวครึ่งหนึ่งเป็นยิวที่ถูกเป้าหมายในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ที่เรียกว่า ฮอโลคอสต์ ชาติพันธุ์โปแลนด์ 3 ล้านคนเสียชีวิตด้วยผลของการสงคราม พันธุฆาต การตอบโต้ แรงงานเกณฑ์หรือทุพภิกขภัย[101] และอีก 100,000–1,000,000 คนเป็นชาวโรมานี ที่ถูกฆ่าใน Porajmos เหยื่ออื่น ๆ ของการเบียดเบียนโดยนาซี รวมถึงพวกคอมมิวนิสต์ คู่แข่งทางการเมืองทั้งหลาย, ผู้ที่ถูกขับออกจากสังคม, รักร่วมเพศ, นักคิดเสรี, ผู้คัดค้านศาสนา เช่น ผู้นับถือพยานพระยะโฮวา, คริสตาเดลเฟียน, คริสตจักรสารภาพและฟรีเมสัน[102] กฎหมายโครงสร้างการศาลและประมวลกฎหมายส่วนใหญ่ของสาธารณรัฐไวมาร์ยังคงใช้อยู่ระหว่างและหลังไรช์ที่สาม แต่มีการเปลี่ยนแปลงในประมวลการศาล (judicial code) เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงสำคัญในคำวินิจฉัยของศาล พรรคนาซีเป็นพรรคการเมืองตามกฎหมายพรรคเดียวในเยอรมนี และพรรคการเมืองอื่นทั้งหมดถูกห้าม สิทธิมนุษยชนส่วนมากในรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐไวมาร์ถูกระงับโดยไรช์ซเกเซทเซอ ("กฎหมายของไรช์") หลายฉบับ ชนกลุ่มน้อยจำนวนมาก เช่น ยิว นักการเมืองฝ่ายตรงข้าม และเชลยศึกถูกเพิกถอนสิทธิและความรับผิดชอบส่วนใหญ่ แผนการเพื่อผ่านโฟล์คซซทรัฟเกเซทซบุค ("ประมวลกระบวนการยุติธรรมทางอาญาประชาชน") มีขึ้นไม่นานหลังปี 1933 แต่ไม่ได้นำปมาใช้จริงกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองยุติ มีการตั้งศาลประเภทใหม่ โฟล์คซดกริชท์ชอฟ ("ศาลประชาชน") ขึ้นในปี 1934 เพียงเพื่อจัดการกับคดีที่มีความสำคัญทางการเมืองเท่านั้น ตั้งแต่ปี 1934 – กันยายน 1944 ศาลมีคำสั่งประหารชีวิต 5,375 คน ไม่นับรวมโทษประหารชีวิตตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 1944 – เมษายน 1945 ซึ่งประเมินที่ 2,000 คน ตุลาการคนที่โดดเด่นที่สุด คือ โรลันด์ ไฟรซเลอร์ หัวหน้าศาลตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1942 – กุมภาพันธ์ 1945 เศรษฐกิจเมื่อพรรคนาซีเป็นรัฐบาลใหม่ ๆ นั้น ปัญหาทางเศรษฐกิจที่กดดันมากที่สุด คือ อัตราการว่างงานที่สูงถึงประมาณ 30%[103] ในตอนเริ่มต้น นโยบายเศรษฐกิจของไรช์ที่สามเป็นแนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์ ดร. ยัลมาร์ ชัคท์ ประธานไรช์บังค์ (ค.ศ. 1933) และรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ (ค.ศ. 1934) ผู้ช่วยนายกรัฐมนตรีอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ในการนำนโยบายการพัฒนาใหม่ของนาซี การกลับมาปรับให้เป็นอุตสาหกรรม และการสร้างเสริมอาวุธยุทธภัณฑ์ ในอดีต เขาเคยเป็นผู้ตรวจการเงินตราสาธารณรัฐไวมาร์และประธานไรช์บังค์[104] ในตำแหน่งหน้าที่รัฐมนตรีเศรษฐกิจ ชัคท์เป็นหนึ่งในรัฐมนตรีจำนวนน้อยที่ใช้ประโยชน์จากเสรีภาพด้านการบริหารที่เป็นผลจากการถอนเงินตราไรช์มาร์คจากมาตรฐานทองคำ เพื่อรักษาอัตราดอกเบี้ยต่ำ และการขาดดุลงบประมาณสูง การโยธาอย่างกว้างขวาง เช่น เอาโทบาน การลดการว่างงาน เป็นนโยบายเงินทุนขาดดุล[104] ผลการบริหารของรัฐมนตรีเศรษฐกิจชัคท์ทำให้อัตราการว่างงานลดลงอย่างมาก ถือว่าเร็วที่สุดในทุกประเทศระหว่างภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่[104] ท้ายสุด นโยบายเศรษฐศาสตร์สำนักเคนส์นี้ได้รับการสนับสนุนโดยการเพิ่มอุปสงค์การผลิตของการสงคราม การเพิ่มงบประมาณทางการทหาร และเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐบาล ไรช์เวร์ ซึ่งเดิมมีทหาร 100,000 นายในกองทัพบก ขยายเป็นหลายล้านนาย และถูกเปลี่ยนชื่อเป็นแวร์มัคท์ในปี 1935[104][105] ขณะที่รัฐแทรกแซงเศรษฐกิจอย่างเข้มงวด และนโยบายการสร้างเสริมแสนยานุภาพขนานใหญ่ เกือบทำให้มีการจ้างงานเต็มอัตราระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1930 (แต่สถิติไม่นับรวมผู้ที่มิใช่พลเมืองหรือสตรี) ค่าจ้างแท้จริงในเยอรมนีลดลงราว 25% ระหว่างปี 1933 ถึง 1938[104] สหภาพแรงงานถูกยกเลิก เช่นเดียวกับการร่วมเจรจาต่อรองกับสิทธิในการนัดหยุดงาน[104] สิทธิในการลาออกก็หายไปเช่นกัน มีการริเริ่มสมุดแรงงาน (labour book) ในปี 1935 และต้องการความยินยอมของผู้ว่าจ้างคนก่อนเพื่อได้รับการว่าจ้างในตำแหน่งงานใหม่[104] การควบคุมธุรกิจของนาซีจำกัดการลงทุนแรงกระตุ้นกำไรลดลง ซึ่งถูกควบคุมด้วยการวางระเบียบทางเศรษฐกิจที่ประนีประนอมการทำหน้าที่ของบริษัทกับข้อกำหนดการผลิตแห่งชาติของไรช์ กระทั่งการคลังภาครัฐกลายมาครอบงำการลงทุนเอกชน ในช่วงปี 1933–34 สัดส่วนหลักทรัพย์เอกชนลดลงจากกว่า 50% ของทั้งหมด ลงเหลือประมาณ 10% ในช่วงปี 1935–38 ภาษีกำไรมหาศาลจำกัดบริษัทที่จัดหาเงินทุนเอง และในทางปฏิบัติ บริษัทขนาดใหญ่ที่สุด (ซึ่งโดยปกติเป็นผู้รับจ้างรัฐบาล) ส่วนใหญ่กำไรได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี ปีเตอร์ เทมิน เขียนว่า การควบคุมของรัฐบาลอนุญาต "เพียงเปลือกกรรมสิทธิ์เอกชน" ในเศรษฐกิจไรช์ที่สามเท่านั้น[106] ในทางตรงข้าม คริสตอฟ บุชไฮม์ และโยนัส แชร์แนร์ แย้งว่า แม้การควบคุมภาครัฐ ธุรกิจยังมีเสรีภาพในการผลิตและการวางแผนการลงทุนอยู่มาก ขณะที่เศรษฐกิจยังถูกควบคุมทางการเมืองเป็นส่วนใหญ่ ก็ "ไม่จำเป็นต้องหมายความว่า กรรมสิทธิ์การประกอบการของเอกชนจะไม่มีความสำคัญใด ๆ [...] เพราะแม้กิจกรรมวางระเบียบอย่างกว้างขวางโดยการบริหารรัฐกิจแบบเข้าแทรกแซง แต่บริษัทห้างร้านยังสงวนภาวะอิสระของตนอยู่มากแม้ภายใต้ระบอบนาซี"[107] ในปี 1937 แฮร์มันน์ เกอริงเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจแทนฮยัลมาร์ ชัคท์ และเสนอแผนสี่ปีเพื่อทำให้เศรษฐกิจเยอรมันสามารถพึ่งตนเองได้จนสามารถก่อสงคราม โดยลดการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ตรึงค่าจ้างและราคา ซึ่งผู้ละเมิดจะถูกนำตัวไปกักกันที่ค่าย เงินปันผลหลักทรัพย์ถูกจำกัดที่ 6% ของทุนบัญชี ฯลฯ เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ คือ เพื่อให้บรรลุโดยไม่สนใจราคา ดังเช่นในเศรษฐกิจโซเวียต ฉะนั้น จึงมีการสร้างโรงงานยางสังเคราะห์ โรงงานเหล็กกล้า โรงงานสิ่งทออัตโนมัติ ฯลฯ อย่างรวดเร็ว[104] แผนสี่ปีมีการอภิปรายในรายงานฮอสส์บัค (5 พฤศจิกายน 1937) การประชุมสรุปของฮิตเลอร์และผู้นำทางทหารและนโยบายต่างประเทศที่วางแผนทำสงครามรุกราน ถึงกระนั้น เมื่อนาซีเยอรมนีเปิดฉากสงครามโลกครั้งที่สองในเดือนกันยายน 1939 แผนสี่ปียังไม่หมดอายุกระทั่งปี 1940 รัฐมนตรีเศรษฐกิจ เกอริง ตั้งสำนักงานแผนสี่ปีเพื่อควบคุมเศรษฐกิจไรช์ เศรษฐกิจยามสงครามและแรงงานเกณฑ์เช่นเดียวกับการผสานความเชื่อทางการเมืองของฟาสซิสต์ เศรษฐกิจสงครามของนาซีเป็นเศรษฐกิจแบบผสมระหว่างตลาดเสรีกับการวางแผนจากส่วนกลาง นักประวัติศาสตร์ ริชาร์ด โอเวรี รายงานว่า "เศรษฐกิจเยอรมนีอยู่ระหว่างม้านั่งสองตัว ไม่มีการบัญชาเศรษฐกิจเพียงพอจะทำอย่างที่ระบบโซเวียตทำได้ แต่ก็ไม่เป็นทุนนิยมเพียงพอจะพึ่งพาการสรรหาวิสาหกิจเอกชนอย่างของอเมริกา"[108] ค.ศ. 1942 หลังการเสียชีวิตของฟริทซ์ ทอดท์ ฮิตเลอร์แต่งตั้งสถาปนิกคนโปรด อัลแบร์ท ชแปร์ ให้บัญชาเศรษฐกิจภายในประเทศ[109] ชแปร์สถาปนาเศรษฐกิจสงครามในนาซีเยอรมนี ซึ่งลดการบริโภคของพลเรือนและทำให้เศรษฐกิจสงครามมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น[110] จนถึงปี 1944 สงครามกิน 75% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเยอรมนี เทียบกับ 60% ในสหภาพโซเวียต 55% ในอังกฤษ และ 45% ของสหรัฐอเมริกา[111] ลำดับความสำคัญสูงสุดตกแก่การผลิตเครื่องบินรบ ซึ่งมีการประสานงานอย่างเลวและพึ่งพาแรงงานฝีมือที่ขาดแคลนมากเกินไป ชแปร์ทำให้การผลิตเพิ่มขึ้นมากหลังปี 1942 วิธีการของเขารวมถึงการจัดองค์การเส้นกระแส คือ การใช้เครื่องจักรวัตถุประสงค์เดี่ยวที่เดินโดยแรงงานไร้ฝีมือ การจัดสรรวิธีการผลิตให้เหมาะสม และการประสานงานที่ดีขึ้นระหว่างหลายรูปแบบที่ประกอบขึ้นจากองค์ประกอบหลายหมื่นชนิด โรงงานถูกย้ายให้ห่างจากลานรถไฟซึ่งเป็นเป้าหมายการทิ้งระเบิด ท้ายสุด ระบบนี้ตามทันการผลิตของอังกฤษในปี 1944 แต่ถึงขณะนั้น ก็สายเกินไปและปริมาณแกโซลีนที่เหลืออยู่น้อยหมายความว่า เครื่องบินรบใหม่มีเวลาการบินสั้น[112][113] ขณะนี้ เศรษฐกิจพึ่งพาการจัดหาผู้ใช้แรงงานเกณฑ์ขนานใหญ่ เพื่อช่วยปฏิบัติงานโรงงานและไร่นา เยอรมนีจึงนำประชากร 12 ล้านคน จากราว 20 ประเทศยุโรป เข้าประเทศ ประมาณ 75% เป็นชาวยุโรปตะวันออก[114] ผู้ใช้แรงงานเกณฑ์ทำงานเป็นเวลานาน โดยทั่วไปในโรงงานยุทโธปกรณ์ หลายคนได้รับมอบหมายให้เก็บกวาดซากอาคารหลังการตีโฉบฉวยทิ้งระเบิด พวกเขาได้รับการคุ้มครองการตีโฉบฉวยทางอากาศที่เลว และหลายคนเสียชีวิตจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตร สภาพความเป็นอยู่ที่เลวมากทำให้มีอัตราการเจ็บป่วย บาดเจ็บและเสียชีวิตสูง เช่นเดียวกับการก่อวินาศกรรมและการก่ออาชญากรรม[115] สตรีมีบทบาทใหญ่เพิ่มขึ้น ฮาเกมันน์รายงานว่า ในปี 1944 สตรีกว่าครึ่งล้านคนเป็นกองหนุนในกองทัพเยอรมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน่วยต่อต้านอากาศยานของลุฟท์วัฟเฟอ กว่าครึ่งล้านคนทำงานในการป้องกันทางอากาศพลเรือน และ 400,000 คนเป็นพยาบาลอาสาสมัครในโรงพยาบาล สตรีจำนวนมากแทนที่บุรุษที่ถูกเกณฑ์ในเศรษฐกิจยามสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไร่นาและร้านค้าขนาดเล็กที่เป็นกิจการของครอบครัว[116] การทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์อย่างหนักมากโดยสหรัฐอเมริกาและอังกฤษมุ่งไปยังระบบขนส่งของเยอรมนี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลานรถไฟ[117] คลองและโรงกลั่นผลิตน้ำมันสังเคราะห์และแกโซลีน ลุฟท์วัฟเฟอพยายามป้องกันเป้าหมายเหล่านี้แต่กลับถูกทำลายเสียเองเพราะเนื่องจากความแข็งแกร่งของกองทัพอากาศสัมพันธมิตรทำให้สามารถยึดครองน่านฟ้ายุโรปได้ น้ำมัน ดีเซลและแกโซลีนสำรองหมดไปในปลายปี 1944 และทางรถไฟถูกรบกวนเสียจนเศรษฐกิจกลายเป็นเกลียวมรณะ[118] โอเวรีแย้งว่า การทิ้งระเบิดไม่เพียงแต่สร้างความแตกแยกทางสังคมครั้งใหญ่เท่านั้น แต่ยังสร้างการสนองเชิงรับที่ขึงเศรษฐกิจสงครามของเยอรมนีและบังคับให้เยอรมนีหันเหกำลังคนและอุตสาหกรรมถึงหนึ่งในสี่ไปกับทรัพยากรต่อต้านอากาศยาน โอเวรีสรุปว่าการทัพทิ้งระเบิดอาจย่นระยะเวลาของสงคราม[119] ฮิตเลอร์ได้พยายามแก้ไขปัญหาในเรื่องของน้ำมันซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญมากในการทำศึกสงครามต่อไปในระยะยาวได้และต้องฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจของเยอรมนีในช่วงสงคราม ดังนั้นจึงตัดสินใจทำการบุกโจมตีสหภาพโซเวียตในปฏิบัติการบาร์บารอสซาเพื่อบุกเข้ายึดแหล่งน้ำมันในเทือกเขาคอเคซัสทางตอนใต้ของสหภาพโซเวียตและคาดหวังจะใช้ผลประโยชน์จากดินแดนโซเวียตและแรงงานทาสของประชากรชาวรัสเซียเพื่อนำมาแก้ไขปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ แต่กองทัพเยอรมันกลับไม่สามารถเข้ายึดได้สำเร็จและต้องประสบความปราชัยในที่สุด ในช่วงปลายสงคราม กองทัพสัมพันธมิตรได้รุกมาจากแนวรบตะวันตกและตะวันออกทำให้เยอรมนีต้องรับศึกอย่างหนักและปราชัยอย่างต่อเนื่อง ฮิตเลอร์ได้ทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดที่มีนำไปใช้ในการป้องกันการรุกของฝ่ายสัมพันธมิตรและทำการวิจัยเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น รถถังทีเกอร์ 2, จรวดวี-2 และอื่นรวมไปถึงการวิจัยในการสร้างระเบิดปรมาณูเพื่อหาทางให้ได้มาซึ่งชัยชนะแก่อาณาจักรไรช์ที่สามที่เขาสร้างมากับมือแต่ทว่ากลับต้องประสบความล้มเหลวและทรัพยากรก็ถูกล้างผลาญไปจนเกือบหมด เมื่อวิกฤตของไรช์ที่สามได้มาถึง เมื่อกองทัพสัมพันธมิตรได้รุกเข้าสู่เยอรมนีและกรุงเบอร์ลินถูกล้อม ฮิตเลอร์ได้ออกคำสั่งแก่อัลแบร์ท ชแปร์ ให้ทำลายโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งหมดในกรุงเบอร์ลินและเยอรมนีเพื่อไม่ให้ไปตกอยู่ในมือของสัมพันธมิตร แต่ชแปร์กลับขัดคำสั่งของฮิตเลอร์และแจ้งให้ฮิตเลอร์ทราบแต่ฮิตเลอร์กลับไม่ได้ต่อว่าและรู้สึกเฉย ๆ เหมือนกลับปลงทุกสิ่ง จนกระทั่งฮิตเลอร์กระทำอัตวินิบาตกรรมและเยอรมนียอมแพ้สงคราม โรงงานและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในเยอรมนีทั้งตะวันตกและตะวันออกถูกยึดครองโดยสี่ประเทศคือสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐฝรั่งเศส และสหภาพโซเวียต การทหารในปี 1935 ฮิตเลอร์ได้เปลี่ยนชื่อกองทัพเยอรมันจาก ไรชส์แวร์ ไปเป็น แวร์มัคท์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นกองทัพของเยอรมนีตั้งแต่ปี 1935–1945 โดยมีแฮร์ (กองทัพบก) ครีกซมารีเนอ (กองทัพเรือ) ลุฟท์วัฟเฟอ (กองทัพอากาศ) และองค์การกึ่งทหาร วัฟเฟิน-เอ็สเอ็ส ซึ่งโดยพฤตินัยเป็นเหล่าทัพที่สี่ของแวร์มัคท์ สนธิสัญญาแวร์ซายกำหนดให้กองกำลังทางบก (ไรชส์แฮร์) มีกำลังพลได้ไม่เกิน 100,000 นาย แต่ฮิตเลอร์แอบสร้างเสริมแสนยานุภาพอย่างลับ ๆ จากนั้นก็สั่งระดมพลทั่วประเทศในปี 1935 ซึ่งชาวเยอรมันอายุตั้งแต่ 18–45 ปีต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร รวมถึงจัดตั้งกองทัพอากาศในปีเดียวกันด้วย ทว่า อังกฤษและฝรั่งเศสต่างไม่ได้ต่อต้านแต่ประการใด เพราะเชื่อมั่นว่าฮิตเลอร์ปรารถนาสันติภาพ ต่อมา ก็มีการทำข้อตกลงการเดินเรืออังกฤษ–เยอรมัน ซึ่งเป็นการขยายขนาดกองทัพเรือเยอรมัน
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง พรรคนาซีใช้กองทัพในฮอโลคอสต์[120] ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีตั้งแต่นายทหารชั้นสัญญาบัตรจนถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูง[121] และยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมและการสังหารหมู่ประชาชนในเขตยึดครอง[122] ซึ่งถือว่าเป็นอาชญากรรมสงครามต่อมวลมนุษยชาติ การพัฒนาทางด้านการทหารของนาซีเยอรมนีเจริญไปจนถึงขั้นมีโครงการทดลองระเบิดปรมาณูของตัวเอง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สองคน ออทโท ฮานและฟริทซ์ สทรัซซ์มันน์ ซึ่งได้ยืนยันผลการทดลองขั้นแรกของตนเมื่อวันที่ 13 มกราคม 1939[123] [124] แต่ทว่าเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สองยุติลงด้วยความพ่ายแพ้ของเยอรมนี ดังนั้นการทดลองจึงยังไม่สัมฤทธิ์ผล[125] สังคมการศึกษาการศึกษาภายใต้ระบอบนาซีเยอรมนีมุ่งเน้นชีววิทยาเชื้อชาติ นโยบายประชากร วัฒนธรรม ภูมิศาสตร์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมรรถภาพทางกาย[126] การศึกษาทางทหารกลายมาเป็นองค์ประกอบศูนย์กลางของพลศึกษาเพื่อเตรียมพร้อมชาวเยอรมันในการสงครามทั้งทางจิตใจ จิตวิญญาณ และร่างกาย[127] ตำราเรียนวิทยาศาสตร์นำเสนอการคัดเลือกโดยธรรมชาติในแง่ที่เน้นมโนทัศน์ความบริสุทธิ์ของเชื้อชาติ[128] นโยบายต่อต้านยิวนำไปสู่การขับครู ศาสตราจารย์และเจ้าหน้าที่ชาวยิวทั้งหมดจากระบบการศึกษาในปี 1933 ครูที่ไม่พึงปรารถนาทางการเมือง เช่น นักสังคมนิยม ถูกขับเช่นกัน โดยเป็นส่วนหนึ่งของ "กฎหมายเพื่อการฟื้นฟูรัฐการพลเรือน" ครูส่วนมากถูกกำหนดให้เป็นสมาชิกของสมาคมครูชาติสังคมนิยม" ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยทุกคนถูกกำหนดให้เป็นสมาชิกน่าเชื่อถือของสมาคมผู้บรรยายมหาวิทยาลัยชาติสังคมนิยม[129] วิธีการสอนที่ระบอบชาติสังคมนิยมสนับสนุนนั้นเป็นเชิงประสบการณ์และมีประสิทธิภาพในการแนะแนว อย่างไรก็ดี ส่วนใหญ่เป็นการต่อขยายทัศนคติต่อต้านสติปัญญาของผู้นำนาซี และมิใช่ความพยายามหลักเพื่อทดลองกับวิธีการคำสอน ในการแสวงหนทางเพื่อให้การศึกษาเป็นนามธรรมลดลง ใช้สติปัญญาลดลงและห่างไกลจากเด็กลดลง นักการศึกษาจึงเรียกร้องให้บทบาทภาพยนตร์ขยายขึ้นมาก ไรช์ซฟิลมินเทนดันท์และหัวหน้าส่วนภาพยนตร์ในกระทรวงโฆษณาการ ฟริทซ์ ฮิพเพลอร์ เขียนว่า ภาพยนตร์กระทบต่อประชาชน "ส่วนใหญ่ในระดับสายตาและอารมณ์ นั่นคือ ระดับที่ไม่ใช่สติปัญญา"[130] ผู้นำนาซียังมองภาพยนตร์ว่าเป็นสื่อที่ตนสามารถพูดคุยกับเด็กได้โดยตรง ดร. แบร์นฮาร์ด รุสท์ มองภาพยนตร์ว่าเป็นเครื่องมือสำคัญ โดยกล่าวว่า "รัฐชาติสังคมนิยมทำให้ภาพยนตร์เป็นเครื่องส่งอุดมการณ์ของรัฐอย่างแน่นอนและโดยไตร่ตรอง"[131] สวัสดิภาพสังคมงานวิจัยล่าสุดโดยนักวิชาการเช่นเกิทซ์ อาลือ ได้เน้นบทบาทของโครงการสวัสดิภาพสังคมขนานใหญ่ของนาซีซึ่งมุ่งจัดหางานแก่พลเมืองเยอรมันและประกันมาตรฐานการครองชีพขั้นต่ำสุด ที่มุ่งเน้นอย่างหนัก คือ ความคิดชุมชนสัญชาติเยอรมันหรือโฟลค์ซเกไมน์ชัฟท์[132] เพื่อช่วยเพิ่มความรู้สึกของชุมชน ประสบการณ์กรรมกรและความบันเทิงของชาวเยอรมัน จากเทศกาล ถึงการเดินทางวันหยุดและโรงหนังกลางแปลง ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ "ความแข็งแรงผ่านความรื่นเริง" (Kraft durch Freude, KdF) การนำบริการกรรมกรแห่งชาติ (National Labour Service) และองค์การยุวชนฮิตเลอร์ไปปฏิบัติโดยบังคับให้เป็นสมาชิกสำคัญต่อการสร้างความจงรักภักดีและมิตรภาพ นอกเหนือจากนี้ ยังมีการดำเนินโครงการสถาปัตยกรรมจำนวนหนึ่ง คาเดเอฟสร้างคาเดเอฟวาเกน ที่ภายหลังรู้จักกันในชื่อ ฟ็อลคส์วาเกิน ("รถของประชาชน") ซึ่งได้รับการออกแบบมาให้เป็นรถยนต์ที่พลเมืองเยอรมันทุกคนสามารถซื้อได้ เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองปะทุ รถดังกล่าวถูกแปลงเป็นพาหนะทางทหารและการผลิตฝ่ายพลเรือนถูกหยุดลง อีกโครงการแห่งชาติหนึ่ง คือ การก่อสร้างเอาโทบาน เป็นระบบถนนไม่จำกัดความเร็วแห่งแรกของโลก การรณรงค์บรรเทาฤดูหนาวไม่เพียงเป็นการรวบรวมเงินบริจาคแก่ผู้อาภัพเท่านั้น แต่ยังเป็นเสมือนพิธีกรรมเพื่อสร้างอารมณ์สาธารณะ[133] ส่วนหนึ่งของการรวมศูนย์อำนาจนาซีเยอรมนี ใบปิดประกาศกระตุ้นให้ประชาชนบริจาคแทนที่จะให้ขอทานโดยตรง[134] สาธารณสุขนาซีเยอรมนีให้ความสำคัญด้านสาธารณสุขอย่างมาก ต่างจากที่หลายคนเข้าใจ[135] จากการศึกษาวิจัยของโรเบิร์ต เอ็น. พร็อกเตอร์ ในหนังสือ The Nazi War on Cancer ของเขา[136][137] นาซีเยอรมนีอาจเป็นประเทศที่มีการต่อต้านบุหรี่อย่างหนักที่สุดในโลกก็ว่าได้ คณะวิจัยเกี่ยวกับโทษของบุหรี่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างแข็งขัน[138] และนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันสามารถพิสูจน์ได้ว่าควันพิษจากบุหรี่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งเป็นครั้งแรกของโลก[139][140][141][142] ต่อมา การวิจัยบุกเบิกด้านระบาดวิทยาเชิงทดลองนำไปสู่งานวิจัยโดยฟรันซ์ ฮา มึลเลอร์ในปี 1939 และงานวิจัยโดยเอเบอร์ฮาร์ด ไชแรร์ และเอริช เชอนีแกร์ในปี 1943 ซึ่งแสดงให้เห็นแน่ชัดว่าการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปอด[143] รัฐบาลกระตุ้นให้แพทย์ชาวเยอรมันให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วยต่อต้านการสูบบุหรี่ การวิจัยของเยอรมนีต่ออันตรายของบุหรี่เงียบหายไปหลังสงครามยุติ และอันตรายของบุหรี่กลับมาถูกค้นพบอีกโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันและอังกฤษในต้นคริสต์ทศวรรษ 1950[135] โดยมีความลงรอยทางการแพทย์เกิดขึ้นในต้นคริสต์ทศวรรษ 1960 นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันยังพิสูจน์ว่าแร่ใยหินมีอันตรายต่อสุขภาพ และในปี 1943 เยอรมนีรับรองโรคที่เกิดจากใยหิน เช่น มะเร็งปอด เป็นโรคจากการประกอบอาชีพที่มีคุณสมบัติได้รับเงินชดเชย ซึ่งนับเป็นชาติแรกในโลกที่เสนอประโยชน์นี้ ในส่วนหนึ่งของการรณรงค์สาธารณสุขทั่วไปในนาซีเยอรมนี น้ำประปาถูกทำให้สะอาดขึ้น ตะกั่วและปรอทถูกนำออกจากสินค้าผู้บริโภค และสตรีถูกกระตุ้นให้เข้ารับการตรวจมะเร็งเต้านมเป็นประจำ[136][137] ระบบสาธารณสุขของนาซียังถือเป็นแนวคิดกลางของมโนทัศน์สุพันธุศาสตร์ คนบางกลุ่มถูกมองว่าเป็นพวก "ด้อยพันธุ์" และตกเป็นเป้าถูกกำจัดผ่านการทำหมันผ่านคำสั่งศาลอนามัยวงศ์ตระกูล (Erbgesundheitsgericht) หรือถูกฆ่าหมดสิ้นด้วยมาตรการ T4 ผู้เชี่ยวชาญข้อมูลทางการแพทย์ใช้ขบวนการและเทคโนโลยีใหม่ เช่น ระบบบัตรเจาะรูและการวิเคราะห์ราคา เพื่อช่วยในขบวนการและคำนวณประโยชน์ต่อสังคมจากการฆ่าเหล่านี้[144]( นโยบายเชื้อชาติเป็นที่ประจักษ์ว่าชุมชนยิวในเยอรมนีเป็นเป้าแห่งความเกลียดชังตั้งแต่การปราศรัยและงานเขียนแรก ๆ ของฮิตเลอร์ อุดมการณ์นาซีวางกฎเข้มงวดเกี่ยวกับว่าใครเป็นหรือไม่เป็นสายเลือด "อารยัน" บริสุทธิ์ มีการกำหนดการปฏิบัติเพื่อทำให้เชื้อชาติอารยันบริสุทธิ์ ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นหนึ่งเดียวกับเชื้อชาตินอร์ดิก ตามด้วยเชื้อชาติรองที่เล็กกว่าของเชื้อชาติอารยันเพื่อเป็นตัวแทนของเชื้อชาติปกครองที่เป็นอุดมคติและบริสุทธิ์ ผลของนโยบายสังคมนาซีในเยอรมนีแบ่งแยกระหว่างผู้ที่ถูกมองว่าเป็น "อารยัน" กับ "มิใช่อารยัน" ยิว หรือส่วนหนึ่งของกลุ่มชนกลุ่มน้อยอื่น สำหรับเชื้อชาติอารยัน การดำเนินโยบายสังคมจำนวนมากที่เอื้อประโยชน์ต่อคนกลุ่มนี้โดยระบอบนาซีเพิ่มขึ้นตามกาล รวมถึงการคัดค้านการสูบบุหรี่โดยรัฐ การล้างมลทินแก่เด็กอารยันที่เกิดแก่บิดามารดานอกสมรส เช่นเดียวกับการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ครอบครัวเยอรมันอารยันที่ให้กำเนิดบุตร[145] วันที่ 1 เมษายน 1933 ฮิตเลอร์ประกาศคว่ำบาตรสถานประกอบธุรกิจยิวทั้งประเทศ ครอบครัวยิวจำนวนมากเตรียมตัวออกนอกประเทศ แต่อีกหลายครอบครัวหวังว่าการดำรงชีพของพวกตนและทรัพย์สินจะปลอดภัย เพราะตนเป็นพลเมืองเยอรมัน พรรคนาซีดำเนินนโยบายเชื้อชาติและสังคมผ่านการเบียดเบียนและการสังหารผู้ที่ถูกมองว่าเป็นผู้ที่สังคมไม่พึงปรารถนาหรือ "ศัตรูแห่งไรช์" ที่ตกเป็นเป้าพิเศษ คือ ชนกลุ่มน้อยเช่น ยิว โรมานี (หรือยิปซี) ผู้นับถือพยานพระยะโฮวาห์[146] ผู้ที่มีความพิการทางจิตหรือทางกาย และพวกรักร่วมเพศ ในคริสต์ทศวรรษ 1930 แผนเพื่อโดดเดี่ยวและกำจัดยิวอย่างสมบูรณ์ในเยอรมนีท้ายสุด เริ่มจากการก่อสร้างเกตโต ค่ายกักกัน และค่ายใช้แรงงาน โดยมีการก่อสร้างค่ายกักกันดาเชาเป็นแห่งแรกในปี 1933 เมื่อไฮน์ริช ฮิมเลอร์อธิบายอย่างเป็นทางการว่าเป็น "ค่ายกักกันศัตรูทางการเมืองแห่งแรก" [147] ช่วงปีหลังนาซีเถลิงอำนาจ ยิวหลายคนถูกกระตุ้นให้เดินทางออกนอกประเทศและทำเช่นนั้น ในปี 1935 มีการตรากฎหมายเนือร์นแบร์คขึ้น มีใจความเพิกถอนสัญชาติเยอรมันของยิว และปฏิเสธการจ้างงานภาครัฐ ขณะนี้ชาวยิวส่วนมากที่ชาวเยอรมันว่าจ้างเสียตำแหน่งงาน ซึ่งถูกแทนที่โดยชาวเยอรมันที่ว่างงาน นอกจากนี้ การสมรสระหว่างยิวกับอารยันถูกห้าม ยิวสูญเสียสิทธิเพิ่มขึ้นในช่วงอีกไม่กี่ปีถัดมา ยิวถูกแยกออกไปจากหลายวิชาชีพ และมิให้จับจ่ายซื้อของในร้านค้าจำนวนมาก หลายเมืองติดป้ายห้ามมิให้ยิวเข้า ที่โดดเด่น คือ ความพยายามของรัฐบาลในการส่งชาวยิวเยอรมันที่มีเชื้อสายโปแลนด์ 17,000 คนกลับประเทศโปแลนด์ จนทำให้ในเดือนพฤศจิกายน 1938 แฮร์เชล กรึนซพัน ชายหนุ่มชาวยิวในกรุงปารีส ลอบสังหารแอร์นสท์ ฟอม รัท เอกอัครราชทูตเยอรมัน เพื่อเป็นการประท้วงการปฏิบัติต่อครอบครัวของเขาในเยอรมนี พรรคนาซีใช้ความพยายามดังกล่าวปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังชุมชนยิวในเยอรมนี เป็นบริบทของโพกรมเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 1938 ซึ่งเจาะจงธุรกิจยิวเป็นพิเศษ เอสเอได้รับมอบหมายให้โจมตีสุเหร่ายิวและทรัพย์สินของยิวทั่วประเทศเยอรมนี ระหว่างคริสทัลล์นัคท์ ("คืนกระจกแตก" หรือความหมายตามตัวอักษรว่า คืนคริสตัล) เหตุที่ใช้การเกลื่อนคำดังกล่าวเพราะหน้าต่างที่แตกจำนวนมากทำให้ถนนมองดูเหมือนปกคลุมด้วยคริสตัล เหตุการณ์นี้ทำให้มีชาวยิวเยอรมันเสียชีวิตอย่างน้อย 91 คน และทรัพย์สินยิวถูกทำลายถ้วนหน้า การกีดกันระยะนี้ทำให้เป็นที่ชัดเจนมากว่ายิวในเยอรมนีจะเป็นเป้าหมายในอนาคต เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ชุมชนยิวถูกปรับหนึ่งล้านมาร์คและได้รับการบอกกล่าวว่า พวกเขาจะไม่ได้รับเงินตอบแทนจากความสูญเสีย จนถึงเดือนกันยายน 1939 ยิวกว่า 200,000 คนเดินทางออกนอกประเทศเยอรมนี โดยรัฐบาลยึดทรัพย์สินใด ๆ ที่พวกเขาทิ้งไว้เบื้องหลัง นาซียังดำเนินโครงการที่พุ่งเป้าไม่ยังผู้ที่ "อ่อนแอ" หรือ "ไม่มีสมรรถภาพ" เช่น โครงการการุณยฆาตเท4 ซึ่งคร่าชีวิตผู้พิการและชางเยอรมันที่ป่วยหลายหมื่นคน ในความพยายามที่จะ "ธำรงความบริสุทธิ์ของเชื้อชาติปกครองอารยัน" (เยอรมัน: Herrenvolk) ดังที่นักโฆษณาของนาซีอธิบาย เทคนิคการสังหารจำนวนมากที่พัฒนาในความพยายามเหล่านี้ภายหลังถูกใช้ในฮอโลคอสต์ ภายใต้กฎหมายที่ผ่านในปี 1933 ระบอบนาซีดำเนินการบังคับทำหมันปัจเจกบุคคล 400,00 คน ที่ถูกหมายว่ามีความบกพร่องทางพันธุกรรม ซึ่งมีตั้งแต่การป่วยทางจิตไปจนถึงติดแอลกอฮอล์ อีกส่วนประกอบของโครงการสร้างความบริสุทธิ์ทางเชื้อชาติของนาซี คือ เลเบินส์เราม์ หรือ "น้ำพุแห่งชีวิต" ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1935 โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้ทหารเยอรมัน หรือเอ็สเอ็สเป็นหลัก สืบพันธุ์ ซึ่งรวมถึงการเสนอบริหารสนับสนุนครอบครัวเอ็สเอ็ส (รวมถึงการรับเลี้ยงเด็กที่มีเชื้อชาติบริสุทธิ์เข้าสู่ครอบครัวเอ็สเอ็สที่เหมาะสม) และจัดหาที่อยู่ให้สตรีที่มีคุณค่าทางเชื้อชาติ ที่ตั้งครรภ์เด็กของชายเอ็สเอ็สเป็นหลัก ในสถานพักฟื้นในเยอรมนีและทั่วยุโรปที่ถูกยึดครอง เลเบินส์เราม์ยังขยายไปครอบคลุมการฝากเด็กที่มีเชื้อชาติบริสุทธิ์ที่บังคับยึดมาจากประเทศที่ถูกยึดครอง เช่น โปแลนด์ กับครอบครัวชาวเยอรมัน ในปี 1941 เยอรมนีตัดสินใจทำลายชาติโปแลนด์อย่างสมบูรณ์และผู้นำเยอรมันตัดสินใจว่าในอีก 10 ถึง 20 ปี ชาวโปแลนด์ในรัฐโปแลนด์ภายใต้การยึดครองของเยอรมนีจะถูกกวาดล้างอย่างสมบูรณ์ และให้ผู้อยู่ในนิคมชาวเยอรมันเข้าไปตั้งถิ่นฐานแทน[148] นาซีมองว่า ยิว ชาวโรมานี ชาวโปแลนด์อยู่ในกลุ่มเดียวกับชนสลาฟ เช่น ชาวรัสเซีย ชาวยูเครน ชาวเช็ก และอีกหลายเชื้อชาติที่มิใช่ "ชาวอารยัน" ตามศัพทวิทยาเชื้อชาตินาซีร่วมสมัยเป็นด้อยมนุษย์ (Untermensch) แม้ชนสลาฟจำนวนมากจะถูกมองและได้รับการยอมรับว่าเป็นชาวอารยัน นาซีใช้เหตุผลตัดสินว่าชาวอารยันมีสิทธิทางชีววิทยาในการแทนที่ กำจัดและจับผู้ที่ด้อยกว่าเป็นทาส[149][150] หลังสงคราม ภายใต้ "แผนใหญ่" เจเนรัลพลันโอสท์ (เยอรมัน: Generalplan Ost) คาดการณ์การเนรเทศประชากรที่ไม่สามารถถูกแผลงเป็นเยอรมัน (non-Germanizable) 45 ล้านคนจากยุโรปตะวันออกไปยังไซบีเรียตะวันตกล่วงหน้า[151] และราว 14 ล้านคนจะยังอยู่ แต่จะถูกปฏิบัติเหมือนทาส[152][153] ส่วนชาวเยอรมันจะตั้งถิ่นฐานแทนที่ในเลเบินส์เราม์ที่ต่อขยายไปของจักรวรรดิพันปี[154] แฮร์แบร์ท บาเคอเป็นหนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังแผนความหิว (Hunger Plan) ซึ่งเป็นแผนให้ชนสลาฟหลายสิบล้านคนอดอยากเพื่อประกันเสบียงอาหารแก่ประชาชนและทหารเยอรมัน[155] ในระยะยาว นาซีต้องการกำจัดชนสลาฟราว 30–45 ล้านคน[156] ตามข้อมูลของมิคาเอล ดอร์แลนด์ "ดังที่นักประวัติศาสตร์เยล ทีโมธี ซไนเดอร์เตือนเรา หากนาซีประสบความสำเร็จในสงครามกับรัสเซีย การนำอีกสองมิติของฮอโลคอสต์ไปปฏิบัติ แผนความหิวและเจเนรัลพลันโอสท์ จะนำไปสู่การกำจัดคนอีก 80 ล้านคนในเบลารุส รัสเซียเหนือและสหภาพโซเวียตผ่านความอดอยาก"[157] ต้นสงครามโลกครั้งที่สอง ทางการเยอรมนีในเจเนรัลกออูแวร์เนเมนท์ในโปแลนด์ที่ถูกยึดครองสั่งให้ยิวทุกคนถูกบังคับใช้แรงงาน และผู้ที่ด้อยสมรรถภาพทางกาย เช่น หญิงและเด็ก ถูกกักกันอยู่ในเกตโต[158] สำหรับนาซีแล้ว มีหลายแนวคิดปรากฏขึ้นว่าจะตอบ "ปัญหาชาวยิว" อย่างไร วิธีหนึ่ง คือ การบังคับเนรเทศยิวขนานใหญ่ อดอล์ฟ ไอชมันน์เสนอให้ยิวถูกบังคับอพยพไปยังปาเลสไตน์[158] ฟรันซ์ ราเดมาแคร์เสนอให้ยิวถูกเนรเทศไปยังมาดากัสการ์ ข้อเสนอนี้ได้รับการสนับสนุนโดยฮิมเลอร์ และมีการถกโดยฮิตเลอร์และผู้เผด็จการอิตาลี เบนิโต มุสโสลินี แต่ภายหลังล้มเลิกไปเพราะเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติเมื่อปี 1942[158] ความคิดการเนรเทศต่อเนื่องไปยังโปแลนด์ที่ถูกยึดครองถูกผู้ว่าการ ฮันส์ ฟรังค์แห่งเจเนรัลกออูแวร์เนเมนท์ ปฏิเสธ เพราะแฟรงค์ปฏิเสธจะยอมรับการเนรเทศยิวมาเพิ่มยังดินแดนที่มียิวจำนวนมากอยู่แล้ว[158] ในปี 1942 ที่การประชุมวันน์เซ เจ้าหน้าที่นาซีตัดสินใจกำจัดยิวทั้งหมด ดังที่อภิปราย "การแก้ปัญหาชาวยิวครั้งสุดท้าย" ค่ายกักกันเช่นเอาชวิทซ์ ถูกแปลงและใช้ห้องรมแก๊สเพื่อสังหารยิวให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ จนถึงปี 1945 ค่ายกักกันจำนวนหนึ่งถูกกองทัพสัมพันธมิตรปลดปล่อย และพวกเขาพบว่าผู้รอดชีวิตขาดอาหารอย่างรุนแรง ฝ่ายสัมพันธมิตรยังพบหลักฐานว่า นาซีค้ากำไรจากการสังหารหมู่ยิวไม่เพียงแต่โดยการยึดทรัพย์สินและสิ่งของมีค่าส่วนบุคคลแล้ว แต่ยังโดยการแยกสารอุดฟันทองคำจากร่างของยิวบางคนที่ถูกขังในค่ายกักกันด้วย บทบาทของสตรีและครอบครัวสตรีในนาซีเยอรมนีเป็นนโยบายสังคมเสาหลักของนาซี นาซีคัดค้านขบวนการคตินิยมสิทธิสตรี โดยอ้างว่ามีวาระฝ่ายซ้าย เทียบได้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ และแย่สำหรับทั้งหญิงและชาย ระบอบนาซีสนับสนุนสังคมอำนาจฝ่ายบิดา ขณะที่สตรีเยอรมันจะรับรองว่า "โลกเป็นสามีของเธอ ครอบครัวของเธอ ลูกของเธอและบ้านของเธอ"[159] ฮิตเลอร์อ้างว่า การที่สตรียึดอาชีพสำคัญจากบุรุษระหว่างภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่นั้นเป็นผลเสียต่อครอบครัวในทางเศรษฐกิจ เพราะสตรีได้รับค่าจ้างเพียง 66% ของที่บุรุษได้รับ[159] รัฐบาลเรียกร้องให้สตรีสนับสนุนรัฐในกิจการสตรีอย่างแข็งขัน พร้อมกับเรียกร้องให้สตรีเลิกทำงานนอกบ้าน ในปี 1933 ฮิตเลอร์แต่งตั้งแกร์ทรุด ชอลทซ์-คลิงก์เป็นผู้นำสันนิบาตสตรีชาติสังคมนิยม ซึ่งสอนสตรีว่าบทบาทหลักของพวกเธอในสังคม คือ ให้กำเนิดบุตรและสตรีจักรับใช้บุรุษ และเคยกล่าวว่า "ภารกิจของสตรีคือ จัดการสิ่งจำเป็นในชีวิตตั้งแต่การมีอยู่ขณะแรกจนขณะสุดท้ายของบุรุษในบ้านและในวิชาชีพ"[159] การคาดหมายนี้ยังใช้กับสตรีอารยันที่สมรสกับบุรุษยิว ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่จำเป็นในการประท้วงโรเซนซทรัสเซอในปี 1943 ซึ่งสตรีเยอรมัน 1,800 คน กับญาติอีก 4,200 คน ทวงรัฐนาซีให้ปล่อยตัวสามียิวของพวกเธอ ฐานะนี้ยึดถือกันรุนแรงเสียจนทำให้การเกณฑ์สตรีรับงานสงครามระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองยากยิ่ง[160] ระบอบนาซีกีดกันสตรีมิให้แสวงการศึกษาระดับสูงขึ้นในโรงเรียนมัธยมศึกษา มหาวิทยาลัยและวิทยาลัย จำนวนสตรีที่ได้รับอนุญาตให้ลงทะเบียนเรียนในมหาวิทยาลัยลดลงมากภายใต้ระบอบนาซี คือ จากประมาณ 128,000 คนในปี 1933 ลดเหลือ 51,000 คนในปี 1938 การลงทะเบียนเรียนของสตรีในโรงเรียนมัธยมศึกษาก็ลดลงจาก 437,000 คนในปี 1926 เหลือ 205,000 คนในปี 1937 อย่างไรก็ดี ด้วยการกำหนดให้ชายถูกเกณฑ์เข้าสู่กองทัพเยอรมันระหว่างสงคราม เมื่อถึงปี 1944 สตรีจึงคิดเป็นครึ่งหนึ่งของการลงทะเบียนเรียนในระบบการศึกษา[161] อีกด้านหนึ่ง สตรีถูกคาดหวังให้แข็งแรง มีสุขภาพดีและมีชีวิตชีวา ภาพถ่ายคำบรรยายใต้ภาพว่า "อนาคตมารดา" แสดงวัยรุ่นหญิงแต่งกายเล่นกีฬาและถือแหลน[162] สตรีชาวนาที่แข็งแกร่ง ซึ่งทำงานกับดินและให้กำเนิดบุตรที่แข็งแรง เป็นอุดมคติ และเป็นสาเหตุของการยกย่องสตรีคล้ายนักกีฬาที่ผิวเป็นสีแทนเพราะทำงานกลางแจ้ง[163] มีการจัดตั้งองค์การเพื่อปลูกฝังค่านิยมนาซีแก่สตรีเยอรมัน องค์การเหล่านี้อาทิ สันนิบาตเด็กหญิง (Jungmädelbund) สำหรับเด็กหญิงอายุตั้งแต่ 10 ถึง 14 ปี, สันนิบาตสาวเยอรมัน (Bund Deutscher Mädel) สำหรับเด็กสาววัย 14 ถึง 18 ปี เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีองค์กรอย่างสันนิบาตสตรีชาติสังคมนิยม (NS-Frauenschaft) ที่สามารถตีพิมพ์นิตยสารของตนเองซึ่งเป็นนิตยสารสตรีเพียงเล่มเดียวที่ผ่านการอนุมัติในนาซีเยอรมนี[164] กิจกรรมของเบเดเอ็มครอบคลุมพลศึกษา รวมถึงการวิ่ง กระโดดไกล ตีลังกา เดินบนลวด และว่ายน้ำ[165] ดัสดอยท์เชอแมเดลเน้นการผจญภัยน้อยกว่าแดร์พิมพฟ์ของเด็กชาย[166] แต่เน้นสตรีเยอรมันที่แข็งแรงและคล่องแคล่วกว่าในเอ็นเอส-เฟราเอน-วาร์เทอมาก[167] นอกจากนี้ ก่อนเข้างานอาชีพหรือการศึกษาระดับสูงใด ๆ เด็กหญิงต้องสำเร็จรัฐการทางบกก่อนหนึ่งปี เช่นเดียวกับเด็กชายในยุวชนฮิตเลอร์[168] แม้บทบาทของสตรีในสังคมเยอรมันจะลดลงไปมาก แต่สตรีบางคนก็ยังมีบทบาทสำคัญ จนการยกย่องสรรเสริญและประสบความสำเร็จในชีวิต เช่น ฮันนา ไรท์ช นักบินประจำตัวฮิตเลอร์ และเลนี ไรเฟนสทาล ผู้กำกับภาพยนตร์และดารา ในประเด็นกิจการทางเพศเกี่ยวกับสตรี บิดดิสคอมเบอแย้งว่า นาซีแตกต่างจากท่าทีจำกัดบทบาทของสตรีในสังคมอย่างมาก ระบอบนาซีสนับสนุนจรรยาบรรณเสรีนิยมที่คำนึงถึงประเด็นทางเพศ และเห็นใจสตรีที่เกิดลูกนอกสมรส[169] การล่มสลายของศีลธรรมคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในเยอรมนีถูกเร่งขึ้นระหว่างไรช์ที่สาม บางส่วนเป็นเพราะนาซี และส่วนใหญ่เนื่องมาจากผลของสงคราม การสำส่อนเพิ่มขึ้นมากเมื่อสงครามดำเนินไป ด้วยทหารที่ไม่แต่งงานมักสนิทสนมกับสตรีหลายคนพร้อมกัน สตรีที่สมรสแล้วมักข้องเกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับบุรุษหลายคนพร้อมกัน กับทั้งทหาร พลเรือนหรือผู้ใช้แรงงานทาส "หญิงดูแลไร่บางคนในเวือร์ทเทิมแบร์คเริ่มใช้เพศสัมพันธ์เป็นโภคภัณฑ์แล้ว โดยจ่ายรสชาติเนื้อหนังมังสาเป็นวิธีการได้งานเต็มวันจากกรรมกรต่างด้าว"[169] กระนั้น การโฆษณาชวนเชื่อนาซีคัดค้านการทำชู้และสนับสนุนความศักดิ์สิทธิ์ของการสมรสอย่างเปิดเผย[170] ภาพยนตร์หลายเรื่องที่ถ่ายทำในสมัยนี้เปลี่ยนแปลงวัสดุที่มา ให้สตรีเผชิญความตายจากการละเมิดทางเพศแทนที่จะเป็นชาย สะท้อนให้เห็นว่าความผิดเป็นของใคร[171] เมื่อมีความพยายามล้างมลทินแก่บุตรนอกกฎหมาย บ้านเลเบินส์เราม์ถูกนำเสนอแก่สาธารณะสำหรับสตรีสมรสแล้ว[172] ถ้อยแถลงต่อต้านการสมรสอย่างเปิดเผย เช่น ถ้อยแถลงของฮิมเลอร์เกี่ยวกับการดูแลเด็กนอกสมรสของทหารที่เสียชีวิต ได้รับการประท้วงเป็นเสียงตอบรับ[173] อิลซา แมคคีหมายเหตุว่า การบรรยายของยุวชนฮิตเลอร์และเบเดเอ็มเกี่ยวกับความจำเป็นในการผลิตเด็กเพิ่มขึ้นเพิ่มจำนวนเด็กนอกกฎหมายอย่างมาก ซึ่งมารดาหรือบิดาที่เป็นไปได้ต่างไม่ถูกมองว่าเป็นปัญหา[174] การสมรสหรือความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างบุคคลที่ถูกมองว่าเป็น "อารยัน" กับผู้ที่ไม่ถูกจัดเป็นรัสเนชันเดอถูกห้ามและมีบทลงโทษ อารยันที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดอาจถูกนำตัวไปกักขังในค่ายกักกัน ขณะที่ผู้ที่มิใช่อารยันอาจเผชิญโทษประหารชีวิต มีจุลสารสั่งให้สตรีเยอรมันทุกคนหลีกเลี่ยงเพศสัมพันธ์กับกรรมกรต่างด้าวทั้งหมดที่นำเข้ามาในประเทศเยอรมนีว่าเป็นอันตรายต่อเลือดของพวกเธอ[175] การทำแท้งถูกลงโทษอย่างหนักในนาซีเยอรมนีเว้นเสียแต่อยู่บนเหตุผลของ "สาธารณสุขเชื้อชาติ" ตั้งแต่ปี 1943 นักรีดลูกเผชิญโทษประหารชีวิต[176] การแสดงการคุมกำเนิดไม่ได้รับอนุญาต และฮิตเลอร์เองอธิบายการคุมกำเนิดว่าเป็น "การละเมิดธรรมชาติ เป็นการทำลายความเป็นหญิง ความเป็นแม่และความรัก"[177] สิ่งแวดล้อมนิยมในปี 1935 รัฐบาลนาซีตรากฎหมาย "รัฐบัญญัติคุ้มครองธรรมชาติไรช์" แม้มิใช่กฎหมายนาซีบริสุทธิ์ เพราะบางส่วนได้รับอิทธิพลมาก่อนนาซีเถลิงอำนาจ กระนั้นกฎหมายนี้ก็สะท้อนอุดมการณ์นาซี มโนทัศน์เดาแอร์วัลด์ (น่าจะแปลได้ว่า ป่านิรันดร์) ซึ่งรวมมโนทัศน์อย่างการจัดการป่า และการคุ้มครองได้รับการสนับสนุน ตลอดจนมีความพยายามจัดการกับมลพิษทางอากาศ[178][179] ในทางปฏิบัติ กฎหมายและนโยบายที่ได้รับการตราเผชิญกับการขัดขืนจากหลายกระทรวงที่มุ่งบั่นทอนกฎหมายและนโยบายเหล่านี้ และจากลำดับความสำคัญที่ความพยายามของสงครามมาก่อนการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม นโยบายการคุ้มครองสัตว์นาซีมีส่วนซึ่งสนับสนุนสิทธิสัตว์ สวนสัตว์และสัตว์ป่า[180] และดำเนินหลายมาตรการเพื่อประกันการคุ้มครองสัตว์[181] ในปี 1933 รัฐบาลตรากฎหมายคุ้มครองสัตว์ที่เข้มงวด[182][183] ผู้นำพรรคนาซีหลายคน รวมทั้งฮิตเลอร์และเกอริง เป็นผู้สนับสนุนการคุ้มครองสัตว์ นาซีหลายคนเป็นนักสิ่งแวดล้อมนิยม (ที่โดดเด่น คือ รูดอล์ฟ เฮสส์) และการคุ้มครองสปีชีส์และสวัสดิภาพสัตว์เป็นประเด็นสำคัญในระบอบนาซี[184] ฮิมเลอร์พยายามห้ามการล่าสัตว์[185] เกอริงเป็นคนรักสัตว์และนักอนุรักษ์[186] กฎหมายสวัสดิภาพสัตว์ปัจจุบันในเยอรมนีก็รับมาจากกฎหมายที่ริเริ่มขึ้นในระบอบนาซี[187] แม้มีการตรากฎหมายหลายฉบับเพื่อการคุ้มครองสัตว์ แต่ก็ขาดการบังคับใช้ ตามข้อมูลของพฟูแกร์สอาร์คิฟเฟือร์ไดเกซัมเทฟีซิโอโลจี (กรุสรีรวิทยาทั้งหมดพฟูแกร์ส) วารสารวิทยาศาสตร์ในขณะนั้น มีการทดลองกับสัตว์หลายการทดลองระหว่างระบอบนาซี[188] ระบอบนาซียุบองค์การไม่เป็นทางการจำนวนหนึ่งที่สนับสนุนสิ่งแวดล้อมนิยมและการคุ้มครองสัตว์ เช่น เฟรนด์สออฟเนเจอร์[189] วัฒนธรรมศิลปะระบอบนาซีมุ่งฟื้นฟูค่านิยมดั้งเดิมในวัฒนธรรมเยอรมัน ศิลปวัฒนธรรมที่นิยามสมัยสาธารณรัฐไวมาร์ถูกปราบปราม ทัศนศิลป์ถูกเฝ้าสังเกตอย่างเข้มงวดและเป็นแบบประเพณี เน้นยกตัวอย่างแก่นเยอรมัน ความบริสุทธิ์ของเชื้อชาติ แสนยนิยม คตินิยมวีรบุรุษ อำนาจ ความเข้มแข็งและความเชื่อฟัง ศิลปะนามธรรมสมัยใหม่และศิลปะอาวองการ์ดถูกนำออกจากพิพิธภัณฑ์ และถูกจัดแสดงเป็นพิเศษว่าเป็น "ศิลปะเสื่อม" ที่ซึ่งผลงานเหล่านี้จะถูกเยาะหยัน ในตัวอย่างที่โดดเด่นครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 1937 ฝูงชนขนาดใหญ่ยืนเข้าแถวเพื่อชมการจัดแสดงพิเศษ "ศิลปะเสื่อม" ในมิวนิก รูปแบบศิลปะที่ถูกมองว่าเสื่อม มีคติดาด บาศกนิยม ลัทธิสำแดงพลังอารมณ์ คติโฟวิสต์ ลัทธิประทับใจ ปรวิสัยใหม่ และลัทธิเหนือจริง วรรณกรรมที่เขียนโดยชาวยิว ชนที่มิใช่อารยันอื่น พวกรักร่วมเพศหรือผู้ประพันธ์ที่คัดค้านนาซีจะถูกรัฐบาลทำลาย การทำลายวรรณกรรมที่ฉาวโฉ่ที่สุด คือ การเผาหนังสือโดยนักเรียนเยอรมันในปี 1933 แม้ความพยายามอย่างเป็นทางการในการสร้างวัฒนธรรมเยอรมันบริสุทธิ์ พื้นที่หลักหนึ่งของศิลปะและสถาปัตยกรรมภายใต้การชี้นำส่วนตัวของฮิตเลอร์เป็นลัทธิคลาสสิกใหม่ ซึ่งเป็นรูปแบที่อิงสถาปัตยกรรมโรมโบราณ รูปแบบนี้ขัดและค้านรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ใหม่กว่า เป็นเสรีนิยมกว่า และได้รับความนิยมกว่าในสมัยนั้นอย่างอลังการศิลป์ อาคารโรมันจำนวนมากได้รับการพิจารณาโดยสถาปนิกของรัฐ อัลแบร์ท ชแปร์ สำหรับแบบสถาปัตยกรรมของอาคารรัฐ ชแปร์ก่อสร้างอาคารขนาดมหึมาและโอ่อ่า เช่น ในลานชุมนุมพรรคนาซีในเนือร์นแบร์คและอาคารทำเนียบนายกรัฐมนตรีไรช์หลังใหม่ในกรุงเบอร์ลิน แบบหนึ่งที่ไม่ได้สร้างจริงเป็นพาร์เธนอนในกรุงโรม เรียกว่า "โฟล์คชัลเลอ" เป็นศูนย์กลางกึ่งศาสนาของระบอบนาซีในกรุงเบอร์ลินที่เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "เยอรมาเนีย" ซึ่งจะเป็น "เมืองหลวงของโลก" (เวลเทาพท์สทัดท์) นอกจากนี้ ที่จะก่อสร้าง คือ ประตูชัยที่ใหญ่กว่าในกรุงปารีสหลายเท่า ซึ่งอาศัยแบบคลาสสิกเช่นกัน การออกแบบจำนวนมากสำหรับเยอรมาเนียไม่สามารถก่อสร้างได้จริง เพราะขนาดและดินเลนใต้กรุงเบอร์ลิน ภายหลัง วัสดุที่จะใช้ก่อสร้างถูกเปลี่ยนไปใช้ในความพยายามของสงครามแทน ภาพยนตร์และสื่อภาพยนตร์เยอรมันแห่งยุคส่วนมากตั้งใจให้เป็นผลงานการบันเทิงเป็นหลัก การนำเข้าภาพยนตร์ถูกกฎหมายห้ามหลังปี 1936 และอุตสาหกรรมเยอรมัน ซึ่งถูกโอนเป็นของรัฐในปี 1937 จำต้องชดเชยสำหรับภาพยนตร์ต่างประเทศที่ขาดไป การบันเทิงยิ่งทวีความสำคัญยิ่งขึ้นในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อโรงภาพยนตร์เป็นสิ่งหย่อนใจจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรและความพ่ายแพ้ติด ๆ กันของเยอรมนี ในปี 1943 และ 1944 การยอมรับโรงภาพยนตร์ในเยอรมนีเกินหนึ่งพันล้าน[190] และภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดยามสงคราม คือ ดีกรอเซอลีเบอ (1942) และวุนชคอนแซร์ท (1941) ซึ่งทั้งสองเรื่องประกอบด้วยส่วนที่เป็นดนตรี นิยายวีรคติยามสงครามและโฆษณาชวนเชื่อรักชาติ เฟราเอนซินด์ดอคเบสเซเรอดีโพลมาเทน (1941) ดนตรีตลกซึ่งเป็นหนึ่งในภาพยนตร์สีเรื่องแรก ๆ ของเยอรมนี และวีนแนร์บลุท (1942) การดัดแปลงจุลอุปรากรตลกของโยฮันน์ สเทราสส์ ความสำคัญของโรงภาพยนตร์ในฐานะเครื่องมือของรัฐ ทั้งคุณค่าการโฆษณาชวนเชื่อ และความสามารถในการทำให้ประชาชนได้รับความบันเทิงอย่างต่อเนื่อง พบเห็นได้ในประวัติการถ่ายทำภาพยนตร์ โคลแบร์ก (1945) ของไฟท์ ฮาร์ลัน ภาพยนตร์ที่แพงที่สุดแห่งยุค สำหรับการถ่ายทำ ซึ่งทหารหลายหมื่นนายถูกเปลี่ยนจากตำแหน่งทางทหารมาแสดงเป็นตัวประกอบ แม้การอพยพออกนอกประเทศของผู้ผลิตภาพยนตร์จำนวนมากและการจำกัดทางการเมือง แต่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของเยอรมนีก็มิได้ขาดนวัตกรรมทางเทคนิคและสุนทรีย์ การริเริ่มการผลิตภาพยนตร์อักฟาโคลอร์เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นอันหนึ่ง ความสำเร็จทางเทคนิคและสุนทรีย์ยังอาจมาถึงคราวสิ้นสุดในไรช์ที่สามได้เหมือนกัน ที่เห็นได้ชัดในผลางานของเลนี รีเฟนสทาล ไทรอัมฟ์ออฟเดอะวิล (1935) ของรีเฟนสทาล ซึ่งบันทึกเหตุการณ์การชุมนุมที่เนือร์นแบร์ค (1934) และโอลิมเปีย (1938) ที่บันทึกเหตุการณ์โอลิมปิกฤดูร้อน 1936 บุกเบิกเทคนิคการเคลื่อนไหวกล้องและการตัดต่อที่มีอิทธิพลต่อภาพยนตร์สมัยหลังจำนวนมาก ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไททรอัมฟ์ออฟเดอะวิล ยังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างสูง เพราะคุณค่าสุนทรีย์นั้นแยกขาดจากการโฆษณาชวนเชื่ออุดมคติชาติสังคมนิยมไม่ได้ ศิลปินที่ไม่สามารถแทนกันได้ที่ดูเหมาะกับอุดมคติชาติสังคมนิยม เช่น มารีคา รอคค์ และโยฮันเนส เฮสแทร์ส ถูกนำขึ้นรายการกอทท์เบกนาเดเทน ("ผู้มีพรสวรรค์จากพระเจ้า") โดยเกิบเบิลส์ระหว่างสงคราม[191] ศาสนาสำมะโนประชากรเยอรมนี เดือนพฤษภาคม 1939 บ่งชี้ว่า ชาวเยอรมัน 54% มองว่าตนเองนับถือนิกายโปรแตสแตนต์ และ 40% มองว่าตนนับถือคาทอลิก โดยมีเพียง 3.5% เท่านั้นที่อ้างว่าเป็น "ผู้เชื่อในพระเจ้า" เพเกินใหม่ และ 1.5% ไม่เชื่อในพระเจ้า สำมะโนนี้ออกมาหลังเข้าสู่ยุคนาซีมาแล้วหกปี[192] การกีฬากีฬามีบทบาทศูนย์กลางในเป้าหมายการสร้างนักกีฬาหนุ่มสาวที่เข้มแข็งของนาซี เพื่อสร้างเชื้อชาติที่ "ดีเลิศ" และช่วยสร้างเยอรมนีเป็นมหาอำนาจทางกีฬา สัญนิยมทางการเมืองมวลชนที่มีร่างกายเกือบเปลือยบุรุษเพศครอบครองพื้นที่สาธารณะเข้ากับระบบการโฆษณาชวนเชื่ออย่างง่ายดาย โดยมีตัวอย่างคือ ภาพยนตร์ "โอลิมเปีย" ในปี 1938 ซึ่งมีเนื้อหากล่าวถึงโอลิมปิกฤดูร้อนกรุงเบอร์ลิน 1936[193] "สันนิบาติชาติสังคมนิยมแห่งไรช์เพื่อกายบริหาร" (NSRBL) เป็นองค์การดูแลกีฬาระหว่างไรช์ที่สาม มีการจัดแสดงศิลปะและวัฒนธรรมเยอรมันสองครั้งหลักที่มหกรรมโอลิมปิกฤดูร้อน 1936 และที่ศาลาเยอรมันที่นิทรรศการระหว่างประเทศในปี 1937 โอลิมปิกฤดูร้อน 1936 ตั้งใจให้แสดงให้โลกเห็นความเหนือกว่าชาติอื่นของเยอรมนี นักกีฬาเยอรมันได้ถูกคัดสรรอย่างมาอย่างดีไม่เพียงแต่พละกำลังเท่านั้น แต่ยังรวมถึงลักษณะภายนอกที่เป็นอารยันด้วย[194] อ้างอิงหมายเหตุ
อ้างอิง
บรรณานุกรม
แหล่งข้อมูลอื่น
|