ตำบลคุ้งตะเภา
ตำบลคุ้งตะเภา เป็นตำบลหนึ่งในอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ตำบลคุ้งตะเภาเป็นตำบลขนาดใหญ่ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่าสองร้อยปี[2] เดิมการปกครองของตำบลคุ้งตะเภาขึ้นอยู่กับตำบลท่าเสา อำเภอบางโพ (อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ในปัจจุบัน) ต่อมาในปี พ.ศ. 2490 จึงได้แยกการปกครองจากตำบลท่าเสามาตั้งเป็นตำบลใหม่[3] ปัจจุบันแบ่งหน่วยการปกครองเป็นหมู่บ้าน 6 หมู่บ้าน มีประชากร 8,735 คน เป็นชาย 4,265 คน หญิง 4,470 คน[4] ประชากรตำบลคุ้งตะเภาส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท มีศาสนสถานในเขตตำบล 7 แห่ง สถานีอนามัยประจำตำบล 1 แห่ง และ โรงเรียนระดับพื้นฐาน 6 โรง มีแหล่งน้ำอุปโภคบริโภคที่สำคัญคือ แม่น้ำน่าน เส้นทางคมนาคมหลักคือ ถนนสายเอเชีย (ทางหลวงหมายเลข 11) ด้านเศรษฐกิจ ชาวบ้านประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ ปัจจุบัน นายสมชาย สำเภาทอง เป็นกำนันตำบลคุ้งตะเภา [5] ซึ่งในปัจจุบันตำบลคุ้งตะเภามีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับ เทศบาลตำบล มีพื้นที่ตลอดทั้งตำบลคุ้งตะเภา ประวัติและที่มาของชื่อคุ้งตะเภา มีความหมายว่า "คุ้งเรือสำเภา"[6] มาจากศัพท์ "คุ้ง" ส่วนเว้าโค้งเข้าไปของฝั่งน้ำฯ [7] และ "ตะเภา" แผลงมาจากศัพท์เดิมคือ "สำเภา" (เรือชนิดหนึ่ง) ความเป็นมาชื่อคุ้งตะเภา มีที่มาจากคำบอกเล่าที่กล่าวกันมาว่า เคยมีเรือสำเภาล่ม[8]บริเวณโค้งแม่น้ำน่านหน้าวัด (วัดคุ้งตะเภา) ชาวสวนที่อาศัยทำไร่นาอยู่แถบนั้นจึงเรียกบริเวณนั้นว่า โค้งสำเภาล่ม ต่อมามีคนมาอาศัยอยู่มากขึ้นและเพื่อความสะดวกปาก จึงกลายเป็น คุ้งสำเภา มาตลอดสมัยอยุธยาตอนปลาย ต่อมา เมื่อปีขาล โทศก จุลศักราช 1132 (พ.ศ. 2313) ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์เสด็จขึ้นมาปราบปรามชุมนุมเจ้าพระฝางเมืองสวางคบุรี และประทับชำระคณะสงฆ์จัดการหัวเมืองฝ่ายเหนือใหม่ตลอดฤดูน้ำ ดังปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ระหว่างจลาจล[9] พระองค์ได้มีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผู้คนในแถบคุ้งสำเภาที่อพยพลี้ภัยสงคราม ได้ย้ายกลับมาตั้งครัวเรือนเหมือนดังเดิม ทรงสร้างวัดและศาลาการเปรียญขึ้นใหม่ ณ ริมคุ้งสำเภาล่ม พร้อมทั้งตรัสเรียกชื่อวัดที่ตั้งขึ้นใหม่นี้ว่า "วัดคุ้งตะเภา"[10][11][12] ปัจจุบันทางราชการได้นำชื่อวัดคุ้งตะเภาไปใช้ตั้งเป็นชื่อหมู่บ้านและชื่อตำบลคุ้งตะเภาสืบมาจนปัจจุบัน จากข้อมูลคำประพันธ์ในขุนช้างขุนแผน พบหลักฐานว่า คนทั่วไปยอมรับนามวัด ที่ได้รับพระราชทานเมื่อคราวตั้งวัดคุ้งตะเภา เมื่อ จุลศักราช 1132 มาเรียกหมู่บ้านนี้ว่า คุ้งตะเภา มาตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์แล้ว[6] ดังปรากฏในเสภาตอนหนึ่ง[13]ใน ขุนช้าง–ขุนแผน ดังนี้
ซึ่งตอนนี้เป็นตอนที่สมเด็จพระพันวษา พระราชทานนักโทษฉกาจให้แก่ขุนแผนเพื่อนำร่วมทัพไปรบกับเมืองเชียงใหม่ ซึ่งมี "อ้ายกุ้ง (ชาว) คุ้งตะเภา" ปรากฏตัวในรายชื่อ 35 นักโทษด้วย และเนื่องจากข้อความในขุนช้างขุนแผนดังกล่าว เป็นวรรณคดีที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ ให้แต่งขึ้นในสมัยของพระองค์ โดยมีเค้าโครงเรื่องเดิมจากสมัยอยุธยา เขตตำบลที่ตั้งของแถบคุ้งตะเภานั้นตั้งอยู่ทิศตะวันออกของแม่น้ำน่าน ตรงข้ามกับตำบลท่าเสา อันเป็นย่านชุมชนการค้าขนาดใหญ่ที่สำคัญของภาคเหนือ แต่ในฝั่งคุ้งตะเภานั้นนับว่ายังไม่มีความเจริญนัก เพราะที่ริมฝั่งแม่น้ำน่านจะมีสภาพเป็นเป็นที่ราบลุ่มมีน้ำท่วมในช่วงน้ำหลากเสมอ ประกอบกับแถบนี้ยังมีป่าไม้เป็นส่วนใหญ่ และมีเพียงหมู่บ้านขนาดเล็กเป็นกลุ่มย่อม ๆ เรียงกันไปตามฝั่งแม่น้ำน่านทิศตะวันออก โดยในแถบหมู่บ้านตรงข้ามบ้านท่าเสาเมื่อวัดจากเส้นทางคมนาคมทางน้ำระหว่างหมู่บ้านที่ตั้งอยู่แถบริมฝั่งแม่น้ำน่านทิศตะวันออกในเขตตำบลท่าเสาในสมัยนั้น จะมีทุ่งบ้านคุ้งตะเภา ตั้งอยู่เกือบกึ่งกลางในแถบตำบลนี้และหมู่บ้านคุ้งตะเภานับเป็นหมู่บ้านที่เก่าแก่ที่สุดที่ตั้งมาตั้งแต่สมัยอยุธยาและมีประชากรมากที่สุดกว่าบ้านอื่นที่ตั้งอยู่ในแถบแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออกในอดีต และด้วยเหตุที่หมู่บ้านคุ้งตะเภาตั้งมานานกว่า ประกอบกับในสมัยก่อนยังไม่มีหมู่บ้านอื่นในแถบนี้ คนทั่วไปจึงได้ใช้ชื่อคุ้งตะเภาเรียกขานย่านบริเวณตำบลแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออกว่าย่านตำบลคุ้งตะเภามาตั้งแต่อดีต ดังปรากฏหลักฐานว่ามีการเรียกแถบตำบลนี้ว่า "ตำบลคุ้งตะเภา" มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว โดยในสมัยนั้นตำบลคุ้งตะเภา อยู่ในเขตการปกครองของอำเภออุตรดิฐ แขวงเมืองพิชัย มณฑลพิษณุโลก[14] จนต่อมาช่วงหลัง ทางการได้รวมเขตปกครองตำบลคุ้งตะเภาเข้ากับตำบลท่าเสา อำเภอบางโพ อำเภออุตตรดิตถ์ เป็นระยะเวลาหนึ่ง เพราะเดิมหมู่บ้านในแถบนี้ยังไม่เจริญนัก และตำบลท่าเสานั้นนับเป็นย่านการค้าและชุมชนที่มีความเจริญมาตั้งแต่โบราณเหมาะแก่การเป็นศูนย์กลางในการดูแลหมู่บ้านในเขตปกครอง จนมาในปี พ.ศ. 2490 ทางกระทรวงมหาดไทยจึงได้แบ่งเขตการปกครองในแถบนี้แยกออกจากตำบลท่าเสากลับมาตั้งเป็นตำบลคุ้งตะเภาเหมือนเดิม และได้ใช้ชื่อ คุ้งตะเภา มาตั้งเป็นชื่อตำบลเช่นเดิมสืบมาจนปัจจุบัน[15] ภูมิศาสตร์ตำบลคุ้งตะเภาตั้งอยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัดอุตรดิตถ์ประมาณ 10 กิโลเมตร ตำบลคุ้งตะเภามีสภาพเป็นที่ราบ มีแม่น้ำน่านไหลผ่านพื้นที่ มีหมู่บ้านจำนวน 8 หมู่บ้าน ย่านเจริญอยู่ทางทิศตะวันตกของตำบลติดกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 ส่วนด้านทิศตะวันออกเป็นแหล่งเกษตรกรรมหลักของตำบล[16] อาณาเขตตำบลคุ้งตะเภา มีอาณาเขตติดต่อกับพื้นที่ใกล้เคียง ดังนี้
สัญลักษณ์ตราสัญลักษณ์ประจำตำบลคุ้งตะเภาคือ รูปเรือสำเภาทอง โดยมีที่มาจากประวัติของชื่อคุ้งตะเภาที่กล่าวถึงเรือสำเภา และอนุโลมจากพระนามของหลวงพ่อสุวรรณเภตรา ที่แปลว่า หลวงพ่อสำเภาทอง พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของชาวตำบลคุ้งตะเภา สัญลักษณ์นี้ปรากฏในตราสัญลักษณ์ของหน่วยงานสำคัญในตำบลคุ้งตะเภา เช่น ตราสัญลักษณ์ของวัดคุ้งตะเภา องค์การบริหารส่วนตำบลคุ้งตะเภา ที่แม้ต่อมาเปลี่ยนฐานะเป็นเทศบาลตำบลคุ้งตะเภา ก็ยังนำสัญลักษณ์นี้มาใช้ด้วย คำขวัญ
คำขวัญดังกล่าว แสดงถึงจุดเด่นสำคัญของแหล่งท่องเที่ยวและสถานที่สำคัญที่เป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตำบลคุ้งตะเภา[17] โดยคำว่า "ลูกหลานชาวท่าเหนือ" แสดงถึง การที่ตำบลคุ้งตะเภามีประวัติความเป็นมายาวนานนับ 300 ปี ในที่ตั้งทางผ่านสำคัญของย่านการค้าขายของหัวเมืองฝ่ายเหนือ ที่ทำให้มีผู้มาตั้งรกรากในแถบย่านตำบลนี้จนกลายมาเป็นชาวบ้านลูกหลานชาวตำบลคุ้งตะเภาในปัจจุบัน คำว่า "ลือเลื่องภูมิปัญญา" หมายถึง ตำบลคุ้งตะเภาเป็นชุมชนที่มีทุนทางภูมิปัญญาที่เข้มแข็งในหลายด้าน เช่น ด้านบุคคล มีปราชญ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการอนุรักษ์ภูมิปัญญาโบราณ ด้านแพทย์แผนไทยโบราณ, ด้านดนตรีและการละเล่นไทย, และนักภูมิปัญญาประดิษฐ์ในพิธีสำคัญทางศาสนาในแต่ละหมู่บ้าน เป็นต้น ซึ่งรวมถึงในด้านสถานที่ด้วย เช่น มีศูนย์การเรียนรู้สมุนไพรไทยวัดคุ้งตะเภา ที่มีการอนุรักษ์สมุนไพรไทยหายากไว้กว่า 400 ชนิด แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งทางภูมิปัญญาโบราณของตำบลคุ้งตะเภาเป็นอย่างดี คำว่า "สองพระปฏิมาคู่บ้าน" สื่อความหมายถึง องค์หลวงพ่อสุวรรณเภตรา และ หลวงพ่อสุโขทัยสัมฤทธิ์ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์โบราณอายุกว่า 800 ปี ที่เป็นพระพุทธรูปสำคัญศูนย์รวมจิตใจของชาวตำบลคุ้งตะเภา และชาวจังหวัดอุตรดิตถ์มาช้านาน คำว่า "หาดน้ำน่านงามตา" หมายถึง สถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจสำคัญของตำบลคุ้งตะเภา คือสวนสาธารณะหาดริมน้ำน่านบ้านคุ้งตะเภา แหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนสำคัญที่เป็นที่นิยมแห่งหนึ่งของอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ คำว่า "พิพิธภัณฑ์วัดคุ้งตะเภาล้ำค่า" หมายถึง ตำบลคุ้งตะเภามีทุนทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมความเป็นมาที่ยาวนาน มีพิพิธภัณฑ์ชุมชนเป็นของตนเองในวัดคุ้งตะเภา เป็นแหล่งศูนย์กลางรูปธรรมที่แสดงออกซึ่งความเป็นมาและความเจริญทางวัตถุรวมถึงความเจริญทางจิตใจในอดีตของชาวตำบลคุ้งตะเภา คำว่า "เลิศล้ำประเพณีงาม ๙ เดือน" หมายความถึง การอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมดังเดิมที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวหมู่บ้านคุ้งตะเภาที่มีประเพณีสำคัญในแต่ละเดือนถึง 9 เดือน ตั้งแต่เดือน 3 ถึงเดือน 12 แสดงออกถึงความเจริญทางจิตใจและความผูกพันกับพระพุทธศาสนาของชาวตำบลคุ้งตะเภา และยังเป็นสิ่งที่แสดงออกถึงทุนวัฒนธรรมที่เข้มแข็งของชาวตำบลคุ้งตะเภาอีกด้วย เพลงเพลงประจำตำบลคือ "คุ้งตะเภารำลึก"
วิกิซอร์ซ มีงานต้นฉบับเกี่ยวกับ:
ชาวคุ้งตะเภาได้มีการจัดทำเพลงประจำตำบลขึ้น โดยมี นายวิเชียร ครุฑทอง ปราชญ์ชุมชนของตำบลคุ้งตะเภา เป็นผู้แต่งบทเพลง - ทำนองเพลง รวมทั้งเป็นผู้ขับร้อง ซึ่งได้มีการบันทึกเสียงดนตรีที่ห้องบันทึกเสียงคณะดนตรีวง "ไทไท" ในปี พ.ศ. 2547 เพลงที่นายวิเชียร ครุฑทอง แต่งขึ้นมี 2 บทเพลง ทั้งสองเพลงเป็นเพลงขับร้องแบบลูกทุ่ง โดยมีชื่อตามลำดับดังนี้
ปัจจุบันทั้งสองเพลงได้มีการเปิดบรรเลงตาม "เสียงตามสาย" ของหมู่บ้านคุ้งตะเภา ก่อนการประชาสัมพันธ์กิจกรรมของหมู่บ้าน เป็นเพลงที่คุ้นหู และเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งของหมู่บ้านคุ้งตะเภามาจนปัจจุบัน[6]
ประชากรจำนวนประชากรรวม 8,735 คน แบ่งเป็น ชาย 4,265 คน หญิง 4,470 คน [18] การปกครองตำบลคุ้งตะเภา แบ่งการปกครองตามรูปแบบหมู่บ้านออกเป็น 8 หมู่ คือ
กำนันทำเนียบรายนามกำนันตำบลคุ้งตะเภา นับแต่สมัยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จนถึงปัจจุบัน มีดังนี้[19]
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเทศบาลตำบลคุ้งตะเภา เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กินพื้นที่ตลอดตำบลคุ้งตะเภา เทศบาลตำบลคุ้งตะเภาได้เปลี่ยนแปลงฐานะจากองค์การบริหารส่วนตำบล เป็นเทศบาลตำบล ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย [20] เมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2551 ปัจจุบันมี นายรุ่งศักดิ์ เลี้ยงประเสริฐ เป็นนายกเทศมนตรี การศึกษา
การสาธารณสุขเนื่องจากตำบลคุ้งตะเภาอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองอุตรดิตถ์ ทำให้การเข้ารับรักษาพยาบาลของคนในตำบลสามารถเดินทางไปได้โดยสะดวก อย่างไรก็ตาม เทศบาลตำบลคุ้งตะเภา มีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ 1 แห่ง คือ
นอกจากนี้ เทศบาลตำบลคุ้งตะเภา ยังมีอาสาสมัครสาธารณสุขชุมชน เพื่อช่วยในการดูแลรักษาคนในชุมชนอีกด้วย โดยกระจายไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ และมีลูกบ้านนั้น ๆ เป็นอาสาสมัคร การคมนาคมถนนเศรษฐกิจ
ศาสนสถานเนื่องจากประชากรส่วนใหญ่ในตำบลคุ้งตะเภา นับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท จึงปรากฏวัดในพระพุทธศาสนาอยู่ในทุกหมู่บ้าน (ไม่ปรากฏศาสนสถานของศาสนาอื่น) ซึ่งวัดโดยส่วนใหญ่ตั้งตามชื่อของหมู่บ้านดังนี้
วัฒนธรรมประเพณีประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธเถรวาท ประเพณีต่าง ๆ ยึดถือปฏิบัติเหมือนกันกับาวพุทธเถรวาทในแถบภาคกลางตอนบน เช่น บวชพระ ประเพณีแต่งงาน งานศพ ฯลฯ สถานที่สำคัญหลวงพ่อสุวรรณเภตรา วัดคุ้งตะเภาหลวงพ่อสุวรรณเภตรา เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย พุทธลักษณะสมัยสุโขทัย ประดิษฐานอยู่ ณ อุโบสถวัดคุ้งตะเภา มีพุทธลักษณะงดงามยิ่ง สร้างโดยหลวงพ่อพระครูธรรมกิจจาภิบาล (กลม) เกจิอาจารย์รูปสำคัญของเมืองอุตรดิตถ์ (ยุคก่อนหลวงปู่ทองดำ) ในปี พ.ศ. 2489 ชาวบ้านคุ้งตะเภานับถือกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มาก หลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์ วัดคุ้งตะเภาหลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์ เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์บริสุทธิ์ สร้างในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี สกุลช่างสุโขทัยยุคต้น-เชียงแสนปลาย มีอายุประมาณ 800 ปี เป็น 1 ใน 9 พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์สำคัญแห่งเมืองอุตรดิตถ์ สวนสาธารณะหาดน้ำน่านสวนสาธารณะหาดน้ำน่าน หรือ ลานเอนกประสงค์หาดน้ำน่าน ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านคุ้งตะเภาริมแม่น้ำน่านทางด้านเหนือสุดของตำบล ติดกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 เดิมบริเวณที่แห่งนี้เป็นหาดแม่น้ำกว้างสวยงาม เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของชุมชนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 ในปี พ.ศ. 2545 องค์การบริหารส่วนตำบลคุ้งตะเภา โดยการนำของนายเอกสิทธิ์ พรหมน้อย นายกองค์การบริหารส่วนตำบลคุ้งตะเภา ได้ขอรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลในการปรับปรุงภูมิทัศน์และก่อสร้างสาธารณูปโภคต่าง ๆ มีการจัดระเบียบร้านค้า จัดสร้างกำแพงกั้นและมีการจัดเก็บเงินค้าบำรุงสำหรับประชาชนที่มาพักผ่อนในช่วงเทศกาลสำคัญ[ต้องการอ้างอิง] รวมทั้งมีการฟื้นฟูกิจกรรมประเพณีต่าง ๆ เช่น ประเพณีลอยกระทง ประเพณีสงกรานต์ รดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ ประเพณีเทศน์มหาชาติ เป็นต้น[21] ด้วยความสวยงามของภูมิทัศน์และความสะดวกสะบายในการเดินทาง ปัจจุบัน สวนสาธารณะหาดน้ำน่านได้รับความสนใจจากประชาชนมาพักผ่อนหย่อนใจและออกกำลังกายเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลสำคัญ ๆ ต่าง ๆ เช่น เทศกาลสงกรานต์ เทศกาลลอยกระทง พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นวัดคุ้งตะเภาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นวัดคุ้งตะเภา หรือ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดคุ้งตะเภา ตั้งอยู่ที่ กุฏิปั้นหยา วัดคุ้งตะเภา เป็นสถานที่จัดแสดงเอกสารและวัตถุโบราณของชุมชนคนบ้านคุ้งตะเภา เพื่อให้คนในท้องถิ่นได้ศึกษาขนบวัฒนธรรมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ในอดีตของบรรพบุรุษ และเพื่อให้คนในท้องถิ่นได้รับรู้และเกิดความภาคภูมิใจในมรดกและความเป็นมาของชุมชนบ้านคุ้งตะเภาที่มีอายุความเป็นมายาวนานมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นวัดคุ้งตะเภา ตั้งอยู่ที่อาคารอสีติวัสสายุมงคลมหาศาลาการเปรียญ ภายในวัดคุ้งตะเภา ใกล้กับจุดตัดสี่แยกคุ้งตะเภา ติดทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 ทางผ่านสำคัญก่อนขึ้นสู่จังหวัดแพร่ เปิดให้ประชาชนได้เข้าชมทุกวันธรรมสวนะ ตั้งแต่เวลา 8.20 - 17.30 น. โดยไม่เก็บค่าเข้าชม พุทธมณฑลจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนา อยู่ในอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ มีเนื้อที่ 72 ไร่ สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ฉลองวาระพุทธชยันตี 2600 ปี แห่งการตรัสรู้ เริ่มดำเนินการเมื่อ พ.ศ. 2549 ปัจจุบันมีพระพุทธรูปปางตรัสรู้ ขนาดหน้าตัก 10 เมตร เป็นพระประธานประจำพุทธมณฑลจังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งได้รับประทานนามจากเจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระพุทธรูปองค์นี้สร้างเสร็จและฉลอง เมื่อ พ.ศ. 2563 คราวสมโภชวัดคุ้งตะเภาครบ 250 ปี[22] พุทธมณฑลอุตรดิตถ์ในปัจจุบันนอกจากจะเป็นศูนย์รวมการจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาและจัดประเพณีกิจกรรมต่าง ๆ แล้ว ยังเป็นสวนสาธารณะเขตอภัยทานติดริมแม่น้ำน่าน ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ทางพุทธประวัติขนาดใหญ่ ที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปพักผ่อนได้อีกด้วย ดูเพิ่มอ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ Settlements in Khung Taphao Subdistrict
|