พระนางเชงสอบู
พระนางเชงสอบู (พม่า: ရှင်စောပု, ออกเสียง: [ʃɪ̀ɰ̃.sɔ́.bṵ]; มอญ: မိစဴဗု, ; อักษรโรมัน: Shin Sawbu; ในราชาธิราชทับศัพท์เป็น แสจาโป) หรือ พระนางพระยาท้าว, ตละเจ้าปุ, พระนางพญาท้าว[1], ตละเจ้าท้าว และ นางพระยาตละเจ้าท้าว[2] (พม่า: ဗညားထောဝ်; มอญ: ဨကရာဇ်ဗြဲဗညာထဴ, ; อักษรโรมัน: Binnya Thau) เป็นสมเด็จพระราชินีนาถเพียงพระองค์เดียวที่ปกครองอาณาจักรมอญเป็นเวลา 17 ปี (ค.ศ. 1454–1471) และถือเป็นกษัตริย์ในราชวงศ์ฟ้ารั่วองค์สุดท้ายที่ปกครองอาณาจักรมอญ พระองค์เป็นพระราชธิดาในพระเจ้าราชาธิราช หลังจากพระเจ้าราชาธิราชเสด็จสวรรคต ได้มีกษัตริย์สืบต่อมาอีกหลายพระองค์จนสิ้นรัชทายาทที่เป็นบุรุษ จึงได้ยกพระนางขึ้นปกครองแทน พระราชประวัติพระนางเชงสอบู เป็นพระราชธิดาในพระเจ้าราชาธิราชแห่งอาณาจักรหงสาวดี เมื่อพระราชบิดาคือพระเจ้าราชาธิราชสวรรคต ผู้ที่ได้สืบราชสมบัติต่อมาคือพญาธรรมราชา แต่พระอนุชาของพระองค์ พระยาราม และพระยาแคง (พญาเกียรติ์) ไม่พอพระทัย จึงไปสวามิภักดิ์พระเจ้าสีหตูแห่งกรุงอังวะ พญาธรรมราชาไม่ปรารถนาที่จะรบพุ่งกับพม่า พระองค์จึงได้ประนีประนอมกับพระอนุชาโดยให้พระยารามเป็นมกุฎราชกุมารไปครองเมืองพะสิม และพระยาแคง (พญาเกียรติ์) ไปครองเมืองเมาะตะมะ ครั้นถึงสมัยรัชกาลของพระยาราม พระองค์ได้นำพระขนิษฐาคือพระนางเชงสอบูส่งไปถวายแก่พระเจ้าสีหตูแห่งกรุงอังวะ ซึ่งเป็นการตอบแทนที่ได้ช่วยเหลือพระองค์ในการครองราชย์ที่กรุงหงสาวดี ขณะนั้นพระองค์มีพระชนมายุ 29 พรรษา เป็นแม่ม่ายมีพระโอรส 1 พระองค์ และพระธิดา 2 พระองค์ ได้แก่พญาพะโร (Binnya Waru), เนตาคาตอ (Netaka Taw) และเนตาคาถิน (Netaka Thin)[3] ความขัดแย้งพระเจ้าสีหตูมีความหลงใหลเสน่หาแก่พระองค์เป็นอย่างยิ่ง ทำให้พระนางชีนโบ่แม พระมเหสีเก่าซึ่งมีสายสัมพันธ์กับทางไทใหญ่เกิดความอาฆาตริษยา พระนางชีนโบ่แมจึงไปสมคบคิดกับไทใหญ่ให้ยกทัพมาตีอังวะกลายเป็นสงครามที่รุนแรง พระเจ้าสีหตูทรงออกรบเองจนสวรรคตใน ค.ศ. 1425 พระเจ้ามี่นละแง กษัตริย์องค์ต่อมาก็สวรรตเพราะถูกพระนางชีนโบ่แมวางยาพิษ พระเจ้ากะเล่เจ้ตองโญ พระปิตุลาของพระเจ้ามี่นละแงจึงได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน ต่อมาพระเจ้าโม่ญี่นตะโด้ได้โค่นล้มพระเจ้ากะเล่เจ้ตองโญกับพระนางชีนโบ่แมแล้วตั้งตนเป็นกษัตริย์กรุงอังวะ คืนสู่หงสาวดีพระนางเชงสอบูทรงได้นิมนต์สามเณรแห่งวัดศรีปรางค์เข้ามาแสดงพระธรรมเทศนาในพระราชวังเป็นประจำ สามเณรท่านนี้เทศนาได้ดี เป็นที่พอพระทัยของพระองค์ จึงได้รับมาเป็นบุตรบุญธรรม ต่อมาเมื่อสามเณรท่านนี้มีอายุครบที่จะอุปสมบทได้แล้ว พระองค์ก็ทรงจัดงานอุปสมบทขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติตามธรรมเนียมของเชื้อพระวงศ์ (บุตรบุญธรรม) และได้รับสมญานามว่า "พระมหาปิฏกธร" พระมหาปิฎกธร ทราบถึงความวุ่นวายทางการเมืองภายในอังวะ และพระนางเชงสอบูไม่สามารถกลับคืนสู่เมืองหงสาวดีได้ จึงพาศิษย์สี่คนคิดกลอุบายพาพระนางเชงสอบูกลับสู่เมืองหงสาวดีได้สำเร็จ พระมหาปิฎกธรมีความรู้สึกไม่สบายใจที่ตนเข้าไปมีส่วนร่วมในการคิดกลอุบายดังกล่าวจึงขอลาสิกขา ต่อมาพญาพะโร พระโอรสของพระนางเชงสอบูที่เกิดจากพระสวามีเก่า ได้ครองเมืองหงสาวดีในปี ค.ศ. 1446[note 1] อยู่ในราชสมบัติได้เพียง 4 ปีจึงสวรรคต ขณะนั้นไม่เหลือเชื้อสายของพระเจ้าราชาธิราชที่เป็นชายสืบสกุล พระนางเชงสอบูจึงได้ขึ้นเสวยราชย์[4] และได้ตั้งพระมหาปิฎกธรเป็นรัชทายาท พระองค์อยู่ในราชสมบัติ 7 ปี ต่อมาได้มอบราชสมบัติให้พระมหาปิฎกธรเป็นกษัตริย์หงสาวดี และมีพระนามตามจารึกกัลยานีว่า พระเจ้ารามาธิบดี แต่พงศาวดารรามัญเรียกว่า พระเจ้าธรรมเจดีย์ หรือ พระมหาปิฎกธร [5] พระราชกรณียกิจพระนางเชงสอบูทรงเป็นพุทธมามกะซึ่งศรัทธาในพระพุทธศาสนา อีกทั้งในวัยเยาว์ก็มีพระทัยมุ่งมั่นในการศึกษาพระไตรปิฏก จึงทำให้ในรัชสมัยของพระองค์พระพุทธศาสนาในเมืองหงสาวดีเจริญรุ่งเรืองมาก พระองค์ยังได้บริจาคทองคำเท่าน้ำหนักตัวของพระองค์เพื่อตีเป็นแผ่นหุ้มเจดีย์ชเวดากอง[6] แม้หลังสละราชสมบัติแล้วพระองค์ยังทำนุบำรุงศาสนาพุทธต่อ จนกระทั่งพระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อปี ค.ศ. 1471 หมายเหตุ
อ้างอิง
[Summarizing the "Thaton-hnwe-mun Yazawin" below, but also giving the slightly different chronology of the Burmese chronicle "Hmannan Yazawin"]
แหล่งข้อมูลอื่น
|