พระยาอธิกรณ์ประกาศ (หลุย จาติกวณิช)
พลตำรวจโท พระยาอธิกรณประกาศ เป็นอธิบดีกรมตำรวจคนที่ 2 ของประเทศไทย และต้นสกุลจาติกวณิช โดยเป็นนามสกุลพระราชทานลำดับที่ 1211 [1] พระยาอธิกรณ์ประกาศ มีชื่อจริงว่าว่า หลุย จาติกวณิช (ชื่อเดิม: ซอ เทียนหลุย) เกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2419 ตรงกับวันเสาร์ ที่บ้านตำบลตลาดน้อย อำเภอสัมพันธวงศ์ จังหวัดพระนคร เป็นบุตรของนายปาน และ นางฮ้อ จาติกวณิช มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 8 คน ในวัยเยาว์ ได้ศึกษาวิชา ณ โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก สอบไล่ได้หลักสูตรชั้นที่ 5 แล้วจึงออกจากโรงเรียนไปทำงานเป็นเสมียนที่ห้างบอเนียว 4 ปี ต่อมาเมื่ออายุ 18 ปี บิดาถึงแก่กรรม จึงได้ลาออกจากห้างบอเนียว เมื่อ พ.ศ. 2441 มารับราชการในตำแหน่งล่ามภาษาอังกฤษ กรมกองตระเวน กระทรวงนครบาล หลังจากนั้นจึงได้เลื่อนยศและตำแหน่ง ดังนี้ ยศ
บรรดาศักดิ์
ตำแหน่ง
ราชการพิเศษ
รับตำแหน่งสูงสุดเป็น อธิบดีกรมตำรวจ (ปัจจุบันคือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ) เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2472 เงินเดือน 1,100 บาท ตราบจนกระทั่งเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี พ.ศ. 2475 จึงถูกพักราชการ ถึงวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ปลดออกราชการ[18]รับพระราชทานเบี้ยบำนาญ มีอายุราชการได้ 33 ปี 7 เดือน 18 วัน ครอบครัวด้านชีวิตครอบครัว ได้สมรสกับ คุณหญิงองุ่น อธิกรณ์ประกาศ มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ
และมีบุตรเกิดจากภรรยา ชื่อเสงี่ยม อีก 6 คน คือ
การเมืองและชีวิตหลังบำนาญก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ไม่นาน พระยาอธิกรณ์ประกาศ ในฐานะอธิบดีกรมตำรวจและข้าราชบริพารใกล้ชิด สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ผู้รักษาพระนคร และเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้ถวายรายงานต่อพระองค์ท่านถึงรายชื่อบุคคลต่าง ๆ ในคณะราษฎร ที่มีพฤติการณ์น่าสงสัยว่าจะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อบ้านเมือง แต่พระองค์ท่านไม่ทรงเชื่อ ด้วยทรงเห็นว่าบุคคลเหล่านี้ไม่น่ามีศักยภาพเพียงพอ แต่ทางตำรวจโดยพระยาอธิกรณ์ประกาศ ก็ยังได้ส่งตำรวจภูบาล (ตำรวจสันติบาล ในปัจจุบัน) เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของบุคคลต่าง ๆ ในคณะราษฎรอย่างใกล้ชิดถึงบริเวณหน้าบ้านพัก ในเช้าวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 อันเป็นวันที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พระยาอธิกรณ์ประกาศ ได้ทราบรายงานเรื่องการปฏิวัติ ขณะที่นอนหลับอยู่ในบ้านพัก เมื่อสายตำรวจรายงานเข้ามาว่า มีบุคคลกลุ่มหนึ่งเข้าทำการยึดกรมไปรษณีย์โทรเลข และตัดสายโทรศัพท์ โทรเลข ไว้ได้หมดแล้ว จึงเดาเรื่องราวทั้งหมดออก และตัดสินใจเดินทางเข้าสู่วังบางขุนพรหมทันที พร้อมกำลังตำรวจ เพื่อเข้าเฝ้าถวายรายงานแด่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ฯ[19] เมื่อพระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น) เป็นผู้นำกองกำลังในการบุกเข้ามายังวังบางขุนพรหม เมื่อทรงทราบ และกำลังจะทรงหนีทางท่าน้ำหลังวังพร้อมด้วยครอบครัวและข้าราชบริพารจำนวนหนึ่ง แต่ยังทรงลังเลเมื่อมีเรือตอร์ปิโดหาญทะเลของทหารเรือฝ่ายคณะราษฎรที่ควบคุมโดย เรือโท จิบ ศิริไพบูลย์ คอยลาดตระเวนดูอยู่ เมื่อทางพระประศาสน์ฯมาถึง พระยาอธิกรณ์ประกาศจะชักปืนยิง แต่ทางหลวงนิเทศกลกิจ (กลาง โรจนเสนา) ทหารเรือฝ่ายคณะราษฎรได้กระโดดเตะปืนจากมือของพระยาอธิกรณ์ประกาศกระเด็นลงพื้นเสียก่อน จึงยิงไม่สำเร็จ [20] หลังจากนั้น พระยาอธิกรณ์ประกาศได้ถูกควบคุมตัวในพระที่นั่งอนันตสมาคม อันเป็นที่บัญชาการของคณะราษฎร เฉกเช่นเจ้านายพระองค์อื่น และบุคคลสำคัญต่าง ๆ ด้วย และถือเป็นข้าราชการคนแรกที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งในวันเดียวกันนั้นเอง โดยคำสั่งของผู้รักษาพระนคร คือ พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) หัวหน้าคณะราษฎร และได้ประกาศให้ พระยาบุเรศผดุงกิจ (รวย พรหโมบล) ขึ้นมารักษาการตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจแทน[21] ต่อมาในวันที่ 2 กรกฎาคม ปีเดียวกัน ก็ได้รับการปลดให้พ้นจากราชการโดยพระบรมราชโองการ เมื่อออกรับพระราชบำนาญแล้ว ได้ใช้ชีวิตอยู่กับบ้านด้วยการทำงานอดิเรก คือ ปลูกต้นไม้ และเลี้ยงไก่ จนถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2497 จึงป่วยเป็นไตพิการกำเริบ แพทย์รักษาสุดความสามารถ จนถึงอนิจกรรม เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2498 สิริอายุได้ 78 ปี เครื่องราชอิสริยาภรณ์
อ้างอิง
|